บทที่ 75 บุคคลอันดับหนึ่งของนอกสำนัก
ร่างกายมีเส้นชีพจรขาดไปยี่สิบเอ็ดแห่ง ปราณแท้มิอาจขับเคลื่อนโคจรมหาจักรวาล ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์โดยทั่วไปแล้ว หากไม่อาจหาของล้ำค่าที่สามารถต่อชีพจรได้ ทั้งชีวิตนี้นับว่าสิ้นสุดแล้ว ไม่อาจฝึกฝนกำลังภายในได้อีกต่อไป
ตอนนี้เขาทำลายผลการฝึกตนของจางห่าย ก็ใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกัน
และอาการบาดเจ็บบนร่างกายของหลัวซิว นอกจากเส้นชีพจรแตกหักแล้ว ยังมีกระแสพลังอันเหน็บหนาวคลื่นไหวไปทั่วร่างกาย กัดกร่อนเส้นชีพจรที่ยังสมบูรณ์อยู่อย่าต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าไม่มีวิธีกำจัดกระแสพลังนี่ออกไปได้ เส้นชีพจรทั่วร่างของเขาล้วนต้องขาดสะบั้น การเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ไปทันที ต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต!
บนเวทีประลองยุทธ์ จางหลู่เหลียงไม่กล้าเอาชีวิต แต่เขาทำเช่นนี้ สำหรับคนที่ฝึกยุทธ์แล้ว กายเป็นคนพิการ มันยากเกินที่จะรับได้ยิ่งกว่าโดนฆ่าตายเสียอีก
“เอี๊ยด”
ในเวลานี้เอง ประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ลู่เมิ่งเหยาในชุดสีขาว ท่วงท่างดงามอ่อนช้อยดุจดั่งเทพธิดาลงมาจุติเดินเข้ามา
“หลัวซิว เจ้าฟื้นแล้ว?”
เมื่อเห็นหลิวซิวนอนลืมตาอยู่บนแคร่ไม้ ลู่เมิ่งเหยาก็มีทางท่าปีติยินดี
ผ่านทางปากของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวได้รู้ว่าตัวเองนั้นสิ้นสติไปหนึ่งวัน
การทดสอบเลือกศิษย์เข้าสำนักนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์เป็นไปอย่างที่คาดหมาย เขาหวางช่าน และสวีผิงได้กลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาโดยสมบูรณ์
“หลัวซิวพื้นแล้วรึ?”
มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตูอีกครั้ง ลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักท่าทางทระนงองอาจ เดินเข้ามา
“ท่านพ่อ”
“ท่านเจ้าสำนัก”
หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาเอ่ยพร้อมกัน
ลู่เฟยเฉินพยักหน้า พลิกมือล้วงเอาขวดหยกสีเขียวออกมายื่นให้กับหลัวซิว
“ในขวดหยกสีเขียวนี่ คือยาผนึกเสือหนึ่งเม็ด เป็นยาระดับ4 เพียงแค่ทานเข้าไป ทำให้เส้นชีพจรที่ขาดของเจ้าต่อกันได้อย่างรวดเร็ว”
“สำหรับกระแสพลังที่นับหนาวในร่างกายของเจ้า มีสาเหตุมาจากวิชาหมัดครึ้มเยือกที่จางหลู่เหลียงฝึกฝน รอหลังจากที่เส้นชีพจรของเจ้าฟื้นคืน ข้าจะให้คนมาช่วยเจ้าขับมันออกไป”
เป็นที่ประจักษ์ ลู่เฟยเฉินได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลัวซิวตั้งแต่แรกแล้ว และได้จัดเตรียมวิธีฟื้นฟูให้กับเขา
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณ ยื่นมือออกไปรับเอาขวดหยกสีเขียวมา
แท้ที่จริงแล้วสำหรับหลัวซิว ชีพจรขาดสะบั้นมิได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร อาศัยฝีมือที่สามารถฟื้นฟูเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตได้ ต่อให้ได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้ เขาก็สามารถฟื้นฟูได้
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือกระแสพลังเย็นที่วิชาหมัดครึ้มเยือกได้ทิ้งเอาไว้ อาศัยผลการฝึกตนของเขายากนักที่จะขับไล่มันไป
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เป็นเจ้าที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเมิ่งเหยาให้หายดี นับเป็นผู้มีประคุณของนาง ข้าในฐานะบิดา ช่วยเจ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ถือว่าสมควร”
ลู่เฟยเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้กล่าวอะไรอีก กล่าวเพียงว่าให้หลัวซิวพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย จากนั้นก็กลับไป
หลู่เมิ่งเหยาได้กลับไปพร้อมกับลู่เฟยเฉิน ในวันนี้นางไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสือของสำนักชิงหยุนอีกต่อไป แต่เป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักนอกสำนักเซียวเหยา อยู่ที่นี่พูดได้ว่าใต้คนหนึ่งคน เหนือคนนับหมื่น
หลัวซิวสามารถดูออก ลู่เฟยเฉิงเหมือนดั่งจงใจไม่อยากให้ลู่เมิ่งเหยาอยู่กับตนเองเพียงลำพัง ก็คงเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างฐานะเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับลู่เฟยเฉินแล้ว มูลค่าของยาระดับ4 ที่สามารถต่อชีพจรได้นั้นไม่อาจประเมินราคาได้ เพียงพอที่จะทดแทนบุญคุณที่หลัวซิวช่วยรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ
สำหรับจุดนี้ หลัวซิวไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟให้ลู่เมิ่งเหยา เขาก็ไม่เคยคิดต้องการผลตอบแทนใด ๆ
เหตุที่เขามานอกสำนักเซียวเหยา ด้านหนึ่งคือเพื่อแสวงหาวิถีแห่งยุทธ์ของตน อีกด้านก็คือสัญญาระหว่างเขากับลูเมิ่งเหยา
ภายในห้องที่เงียบสงัด หลัวซิวหยิบเอายาผนึกเสือยาระดับ4 นั่นออกมา ยาเม็ดนี้สกัดมาจากไขกระดูกของปีศาจเสือชั้น4 จิตวิญญาณที่แฝงอยู่นั้นทรงพลังและอ่อนโยน ไม่เพียงนำมาให้จอมยุทธ์แดนเทพยุทธ์ลงไปใช้เพื่อต่อชีพจร ยังสามารถทำให้ยอดฝีมือแดนเทพยุทธ์ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้มากเลยทีเดียว
ยาระดับ4 ชนิดนี้สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่หรือจอมยุทธ์พรสวรรค์ เป็นของล้ำค่าที่สามารถคุ้มครองชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าในมือของหลัวซิว ยาที่ดีกว่ายาผนึกเสือยารักษาแผลระดับ5 ใช่ว่าเขาจะไม่มี
ด้วยเหตุนี้ สำหรับหลัวซิวแล้ว ยาผนึกเสือเม็ดนี้ไม่นับว่าล้ำค่าด้วยซ้ำ และหลัวซิวฟื้นฟูชีพจรที่ขาดสะบั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บใด ๆ
สามวันหลังจากนั้น หลัวซิวออกมาจากที่พักเป็นครั้งแรก ชีพจรทั้งยี่สิบเอ็ดแห่งที่ขาดสะบั้น ได้ฟื้นฟูจนหมดแล้ว
ในสามวันมานี้ ลู่เมิ่งเหยาได้มาเยี่ยมเขาวันละครั้ง แต่ละครั้งอยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็จะถูกเจ้าสำนักลู่ผู้เป็นบิดาส่งคนมาเรียก สารพัดเหตุผลช่างพิลึกกึกกือ
เมื่อได้รับข่าวว่าหลัวซิวได้ฟื้นฟูแล้ว ลู่เมิ่งเหยาก็รีบมาอย่างฉับพลันทันที ที่มากับนางด้วยนั้น ยังมีผู้อาวุโสนอกสำนักท่านหนึ่ง เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์
ผู้อาวุโสท่านนี้มีนามว่าจ้าวฉีหยวน เป็นคนที่เจ้าสำนักลู่ส่งมาเพื่อช่วยเขาขับไล่กระแสพลังไอเย็นสายนั้น อาศัยการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์ ขับไล่วิชาหมัดครึ้มเยือกนั้นก็ง่ายเป็นธรรมดา
“พ่อหนุ่มน้อย แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะไม่เลว แต่ช่วงเวลาในการฝึกตนนั้นสั้นนัก ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ อย่าได้ใกล้ชิดกับเมิ่งเหยามากเกินไปจะดีกว่า” ก่อนจากไป ผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนกล่าวเป็นนัย ๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนในขณะที่รักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นตอนนี้ลู่เมิ่งเหยาได้รออยู่นอกประตู ดังนั้นจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองสนทนากัน
“ความหมายของท่านผู้อาวุโสก็คือฝีมือของข้ายังด้อยเกินไป ถูกต้องหรือไม่?” หลัวซิวยิ้มกล่าว
จ้าวฉีหยวนชะงักงัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก หากเจ้ามีฝีมือที่แข็งแกร่ง เจ้าคิดจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น บางทีเจ้าอาจจะคิดว่าอาศัยพรสวรรค์ที่เจ้ามีอยู่จะสามารถเป็นยอดฝีมือในอนาคตได้ แต่ยังไงนั่นมันก็เป็นอนาคต มิใช่ตอนนี้”
จากประสบการณ์ของเขามีหรือจะคาดเดาความคิดของหลัวซิวไม่ออก เพียงแต่ว่าจ้าวฉีหยวนไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ เขาหวังให้หลัวซิวถอนตัวไปเอง
“เจ้าสำหนักลู่ฝากข้าให้มาบอกเจ้า”
“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว”
“หากเจ้าสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของนอกสำนักได้ก่อนอายุสิบแปด นับว่าพอจะมีคุณสมบัติทัดเทียมบุตรสาวของข้าอยู่บ้าง”
จ้าวฉีหยวนเอ่ยคำพูดของลู่เฟยเฉินออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้น เปิดประตูเดินจากไป
“ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของนอกสำนักก่อนอายุสิบแปด?” หลัวซิวไตร่ตรองความตั้งใจที่ปรากฏออกมาจากประโยคนี้
เท่าที่เขาทราบมา ภายในนอกสำนักเซียวเหยานั้นมีผู้คนไม่น้อยที่ได้ข้าสู่แดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ขั้นสูง นั่นหมายความว่าข้อเรียกร้องของลู่เฟยเฉินที่มีต่อเขา คือภายในเวลาสี่ปี จะต้องสำเร็จวิชาชี่ไห่ขั้น9
ภายในสำนักทั้งสิบแปดเมืองในเขตการปกครองหยุนหลง สามารถทะลวงถึงขึ้นแดนชี่ไห่ได้ก่อนอายุสิบแปดปี นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว ทว่าลู่เฟยเฉินเรียกร้องให้เขาทะลวงถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปี?
“หลัวซิว!”
เสียงที่อ่อนโยนลอยมากกระทบหูหลัวซิว ลู่เมิ่งเหยาเดินเข้ามา ยิ้มกล่าว: “ผู้อาวุโสจ้าวช่ายเจ้าขับไอเย็นนั่นออกมาแล้วหรือ? เจ้าใจลอยอะไรอยู่?”
หลัวซิวได้สติกลับคืนมา เขายิ้มเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่ดวงตาปานสายน้ำในสารทฤดูของลู่เมิ่งเหยา ยิ้มกล่าว: “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ข้าต้องทำเยี่ยงไรถึงจะคู่ควรกับบุตรสาวเจ้าสำนักนอกสำนักอย่างเจ้า”
แม้ว่าการทะลวงถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปีนั้นจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ทว่าหลัวซิวมีความมั่นใจมากพอว่าตนสามารถทำได้
ได้ฟังคำกล่าวที่เป็นเหมือนดั่งคำสารภาพรักของหลัวซิว ลู่เมิ่งเหยาชะงักไปฉับพลันทันที รู้สึกหัวใจเต้นตึกตักขั้นมา แก้มโฉมสะคราญแดงปลั่งขึ้นมา