บทที่ 129

หลังจากจุดไฟเผาอย่างโหดเหี้ยม ถังหยินก็พากองทหารม้ากลับออกมาจากเมืองนี้พร้อมทั้งหันไปเรียกให้อัยเจียไปบอกพวกทหารที่ซุ่มอยู่ให้กลับได้

ขามาใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก หากแต่ขากลับนั้นเชื่องช้ายิ่งกว่าอะไรดี ด้วยเพราะสินทรัพย์ที่ปล้นสะดมมานั้นเยอะมากจนแทบขนไม่ไหว

ถังหยินเดินตรวจตรากองทัพตัวเอง ก่อนพบว่ามีทหารเฟิงจำนวนไม่น้อยเลยที่พาหญิงชาวมอร์ฟีสกลับมาด้วย “เจ้าพามาทำไม ?”

สีหน้าของทหารพวกนั้นดูเขินอายก่อนจะตอบ “พวกข้าก็แค่… อยากจะพานางกลับไปเป็นเมียขอรับ…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งกองทัพก็ถึงกับยิ้มออกมา ทำให้ทหารกลุ่มนั้นเขินอายมากกว่าเดิมจนชักดาบออกมา “แต่ถ้านายท่านต้องการ ข้าสามารถฆ่าทิ้งได้เลย !”

ชายหนุ่มห้ามไว้ “ตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำให้เคลื่อนพลช้าลง เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทหารพวกนั้นก็พลันตอบกลับด้วยท่าทีดีใจเป็นอันมาก “พวกเราเข้าใจแล้วขอรับนายท่าน”

ทว่า ไม่นานนักพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของถังหยิน “เมื่อพวกเรากลับไปแล้วก็ต้องปล่อยพวกนางไปนะ”

“หา ?” สีหน้าของพวกเขาหมองหม่นทันตาเห็น

“การมอบสิ่งที่พวกเราฉกชิงได้มา จะทำให้เจ้าได้รับความดีความชอบเทียบเท่าการฆ่าพวกมัน 5 คนเลยนะ”

คำพูดนี้ทำให้พวกทหารจิตใจลุกโชนขึ้นมาทันตาเห็น ลืมเรื่องอื่นไปหมด ในระหว่างทางกลับก็พากันพูดคุยกันสนุกสนาน พากันเปรียบเทียบกันว่าใครฆ่าอีกฝั่งได้มากสุด

ไม่นานนักพวกมูฉิงก็ตามมาสมทบ และตามที่ถังหยินได้คาดการณ์เอาไว้ ว่าพวกทหารที่หนีไปทางนั้นต่างไม่รอดเลยสักคน พวกมันต่างก็โดนมูฉิงดักทางไว้หมด และทหาร 3 ร้อยนายนั้นก็ถูกสังหารจนหมดสิ้น

เขารู้สึกประหลาดที่ไม่เห็นหลีเทียนตามมาด้วย “มูฉิง แล้วแม่ทัพหลีเล่า ?”

มูฉิงจึงรีบตอบกลับไป “เขาบอกว่าอยากจะอยู่ที่นี่ก่อนขอรับ !”

ถังหยินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“แม่ทัพหลีบอกว่าในเมื่อพวกเราทำการลอบโจมตีแบบนี้ พวกมอร์ฟีสที่เหลือน่าจะได้ข่าวแล้ว ดังนั้นจึงขออยู่ที่นี่ก่อนเผื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวอื่น แล้วจึงจะแจ้งให้ทราบในภายหลังถ้าได้เรื่องอะไรขอรับ”

“อย่างนี้นี่เอง” ถังหยินพยักหน้ารับด้วยความชื่นชมในความรอบคอบนี้

อัยเจียที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ นางรีบกล่าว “นายท่าน ข้าเองก็จะขออยู่ที่นี่เพื่อดักการเคลื่อนไหวของพวกมัน”

ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วตอบกลับไป “แค่แม่ทัพหลีก็พอแล้ว”

อัยเจียพลันเกิดอาการลนลานที่ได้ยินแบบนี้ “นายท่านไม่เชื่อในตัวข้าหรือ ?”

ถังหยินเข้าใจถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายดี ในเมื่อเป็นหญิงก็ย่อมมีความดื้อรั้นแฝงอยู่ ถ้าหากไม่ปล่อยไปเกรงว่าจะมีปัญหาในภายหลังได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวไปว่า “เอางี้ไหม แม่ทัพอัย เจ้าจงไปสอดแนมศัตรูที่เมืองอื่น เพื่อทำการโจมตีครั้งต่อไป !”

อัยเจียถามด้วยความประหลาดใจ “นายท่านต้องการจะทำศึกอีกหรือ ?”

“เมืองราชสีห์นั้นไม่มีค่าอะไรเลย และในเมื่อพวกเราสามารถทำลายล้างพวกมอร์ฟีสได้เมืองหนึ่ง งั้นแล้วทำไมถึงจะทำอีกรอบไม่ได้กัน ?” การบุกครั้งนี้สำเร็จผลยิ่งนัก ทำให้ได้เงินมาเติมคลังเลยทีเดียว

อัยเจียยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าให้ “น้อมรับบัญชา ! โปรดวางใจในตัวข้าน้อยได้เลย !”

ถังหยินหัวเราะออกมา “ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเมืองที่ติดชายแดนหรอกนะ เจ้าจะเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ย่อมได้ เพราะพวกมันจะได้หลาบจำและกลัวไปจนวันตาย !”

“น้อมรับบัญชา !”

อัยเจียกล่าวเสร็จ ก่อนจะรีบกลับไปยังรัฐเบสซ่าเพื่อเก็บข้อมูลร่วมกับหลีเทียน

ชัยชนะของถังหยินทำให้ทรัพยากรของเขาเพิ่มขึ้น ทั้งยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวบ้านในเมืองเฮิง ทำให้ทั้งถนนเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้และเสียงหัวเราะ

เมื่อเห็นแบบนี้ชายหนุ่มก็พลันยิ้มกว้างออกมา

ในโลกใบนี้ความแข็งแกร่งคือความถูกต้อง ยิ่งเก่งกาจมากเท่าใดโอกาสอยู่รอดก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น !

เมื่อเขามาถึงจวนตัวเองก็ลงจากม้า ก่อนได้รับการต้อนรับจากคนรับใช้และฟานหมิน

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายของถังหยินมีบาดแผลมากมาย ถึงจะได้รับการฟื้นฟูไปบ้างแล้ว หากแต่ก็ยังทิ้งร่องรอยบางส่วนเอาไว้ให้เป็นของดูต่างหน้าอยู่

“ท่านได้รับบาดเจ็บมาหรือ ?” ฟานหมินถามด้วยความห่วงใย

ถังหยินรู้ได้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายก็เป็นห่วงเขามากเช่นกัน ดังนั้นเมื่อลงจากหลังม้าแล้ว เขาจึงยิ้มตอบกลับไปว่า “ก็แค่บาดแผลธรรมดาเท่านั้น ไม่มีปัญหาใดหรอก”

หญิงสาวไม่เชื่ออยู่แล้ว ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลมากมายแบบนี้จะให้นางเชื่อว่าเขาปลอดภัยได้อย่างไร ดังนั้นนางดึงแขนถังหยินออกมา “ขอข้าดูหน่อยสิ !”

ถังหยินทำอะไรไม่ถูก เพราะวัฒนธรรมของแคว้นเฟิงบอกไว้ว่าชายหญิงไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันในที่สาธารณะแบบนี้ หากแต่เขาก็ถอดเสื้อตัวเองออกแล้วโชว์ร่างกายให้ดูแต่โดยดี “ข้าดูเป็นไง ?”

เมื่อเห็นร่างกายของเขาที่สามารถขยับได้อย่างไร้การขัดข้อง มันก็ทำให้ฟานหมินรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเริ่มเชื่อแล้วว่านางนั้นคิดไปเองเท่านั้น

เหมือนจะได้สติ ใบหน้าของหญิงสาวพลันแดงก่ำอย่างรวดเร็ว รีบทำตัวให้สำรวมที่สุด ก่อนจะเปิดปากถาม “เมืองของพวกมันเป็นยังไงบ้าง ?”

ถังหยินยักไหล่ “ต่ำต้อยและด้อยค่ายิ่งกว่าพวกเราเสียอีก จริง ๆ แล้วเมืองพวกมันนั้นจัดอยู่ในระดับที่ตกต่ำเกินกว่าที่จะปล้นสะดมเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันเป็นเมืองที่ต้องพึ่งพาการปล้นชิงเมืองรอบข้างเพื่อทำให้ตัวเองขยายใหญ่ขึ้นได้”

ระหว่างที่พูด เขาก็เดินเข้าไปในโถงหลักที่มีชิวเจิ้น หยวนจี้ และแม่ทัพอีกมากมายอยู่ในนั้น

เมื่อเห็นดังนั้น ฟานหมินจึงได้ขอตัวออกมาก่อนเพราะเห็นว่ากำลังจะมีการหารือเรื่องการศึกกัน แต่ก่อนจะออกไป นางก็ได้พูดทิ้งท้ายไว้ “ข้าจะกลับมาหาท่านทีหลังนะ !”

ชายหนุ่มพยักหน้า ถ้าหากนางไม่มาหา เขาก็จะไปหานางเองอยู่ดี เพราะการศึกครั้งนี้ทำให้เขาสามารถปล้นชิงสิ่งของต่าง ๆ มาจากพวกมอร์ฟีสได้มากมาย ดังนั้นจึงต้องหาทางระบายออกไป

เขาเงยหน้ามองทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ และหลังจากเงียบเช่นนั้นอยู่นาน ทำให้ชิวเจิ้นอดรนทนไม่ไหว เด็กหนุ่มเกาหัวและถาม “นายท่าน ท่านต้องเป็นคนพูดก่อนสิ”

ถังหยินเข้าใจคำพูดนั้นดี หากแต่หยวนจี้กลับชิงพูดก่อน “แม้ว่าตระกูลฟานจะไม่ใช่ขุนนางแต่ก็ร่ำรวยไม่น้อยเลย การให้นางช่วยเหลือย่อมดีในทุก ๆ ด้าน”

ทุกคนในห้องพากันพยักหน้าเป็นเสียงเดียวกัน

ชายหนุ่มเข้าใจในคำพูดนี้ดี ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาดังลั่น “พวกเจ้าเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ฟานหมินก็แค่มาอยู่ในบ้านข้าชั่วคราวแค่นั้นเอง”

“นายท่านไม่ต้องเขินไปหรอก จริง ๆ แล้วฟานหมินก็เหมาะสมกับท่านดีนะ” ชิวเจิ้นพูดสนับสนุนเต็มที่

แท้ที่จริงแล้วนั้น เด็กหนุ่มเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างถังหยินกับนางฟานหมินเป็นอย่างดี และอยากจะเห็นทั้งสองร่วมงานกันในอนาคต

ถ้าถังหยินมีความทะเยอทะยานอยากบินสูง เขาก็ต้องใช้เงิน และตระกูลฟานก็คือคำตอบที่จะช่วยอุดช่องโหว่นี้ได้

ชายหนุ่มเองก็รู้จักกับชิวเจิ้นมานานแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ใจกัน ดังนั้นเขาถามขึ้นเล่น ๆ ว่า “เจ้าจะขายข้าเพื่อแลกเงินหรือ ?”

เด็กหนุ่มกะพริบตาแล้วรีบส่ายหัว “ไม่ ไม่ ไม่มีทางที่ข้าน้อยจะทำแบบนั้นหรอก”

“เจ้ากล้าแน่นอน !” ถังหยินกลอกตาก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อไปเสียดื้อ ๆ “เอาล่ะ มานับของที่พวกเราปล้นมาได้กันดีกว่า”

ชิวเจิ้นพยักหน้ารับคำทันที ทว่ามูฉิงก็ได้พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ช้าก่อนนายท่าน ระหว่างทางกลับข้าเห็นว่าพวกทหารได้ปล้นของมาด้วย ดังนั้นข้าจึงเสนอให้ทำการแบ่งกันตามกฎของกองทัพเฟิง”

พวกทหารที่ไปสู้รบในต่างแดนนั้นต่างก็เสี่ยงชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับรางวัล แต่ในเมื่อเงินในคลังหมดแล้ว ถังหยินจึงไม่สามารถตกรางวัลให้ได้ ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่พอจะทำให้ได้ในตอนนี้ก็คือแบ่งส่วนแบ่งที่ปล้นไปให้พวกเขาเสีย

ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย “ถ้างั้นแล้วสิ่งที่พวกเราปล้นมาได้ย่อมไม่ตกเป็นของผู้ที่ปล้นมางั้นหรือ ?”