บทที่ 128

ระหว่างที่พูด ไฟในมือของถังหยินก็เผาแม่ทัพมอร์ฟีสนางนั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่านลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ

ชายหนุ่มเงยหน้าแล้วดูดกลืนทุกอย่างเข้ามา เพียงชั่วพริบตาเกราะของเขาก็ได้รับการซ่อมแทนทันทีราวกับมันมีชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเอง พวกศัตรูที่เห็นแบบนี้ก็พากันถอยกรูหนีออกมา

ตราบเท่าที่เขายังสามารถยืนหยัดและสู้ต่อได้โดยไม่หมดแรงไปเสียก่อน พวกมอร์ฟีสก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย และความบ้าคลั่งของเขานั้น มันก็ได้ทำให้พวกเบสซ่าหวาดกลัว พากันหนีเตลิดกันไปหมด ทำให้เขาสามารถกลืนกินพลังปราณพวกนั้นได้อย่างสะดวกสบาย

ทว่า เพียงร่างเดียวไม่อาจเติมเต็มความต้องการของเขาได้ บาดแผลของเขายังไม่หายดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นพวกทหารที่ยืนอยู่รอบตัวแทน

ถังหยินเปลี่ยนเคียวกลับเป็นดาบคู่ ก่อนกวัดแกว่งมันไปมารอบตัวแล้วจึงทำการไล่สังหารพวกทหารต่างแดนอย่างบ้าคลั่ง ไฟในมือของเขาลามออกมาติดใบดาบ เผาผลาญศัตรูให้กลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อดูดกลืนพวกมันเข้ามาทั้งหมด

ทหารที่อยู่รอบ ๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย หากแต่ก็โดนไฟลุกไหม้ด้วยเช่นกัน จนเกิดเป็นคลื่นเพลิงสีดำขนาดใหญ่ ก่อนที่เถ้าถ่านพวกนั้นจะถูกดูดกลืนเข้าไป

ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าเขาดูดกลืนพลังไปเท่าไหร่แล้ว ไฟในมือของเขายังคงทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างไม่อาจหยุดยั้ง !

เมื่อเขาตั้งสติได้ ก็ไม่เห็นพวกมอร์ฟีสอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่ซากชุดเกราะและอาวุธหลงเหลือไว้เท่านั้น

ถังหยินถอนหายใจ ร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคล และในระหว่างที่เขากำลังจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงมาจากทางซ้ายมือ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปถีบประตูเพื่อเข้าไปข้างในนั้น

ที่แห่งนั้นมีชาวเมืองราชสีห์ซ่อนตัวอยู่ปะปนกันไป มีทั้งเด็กสตรีและคนชราอยู่รวมกลุ่มกัน พวกเขาดูหวาดกลัวเป็นอย่างมากเมื่อเห็นถังหยินใช้สายตาอันโหดเหี้ยมจ้องเข้ามา

เขามองอยู่สักพักก่อนจะส่ายหัว “พวกเจ้าเป็นใครกัน ?” เขาถามด้วยภาษาต่างแดนนี้แต่ด้วยน้ำเสียงประหลาด

“พวกเราคือ… ชาวบ้านธรรมดาไม่เคยออกไปรบหรือ…” พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ถังหยินยังไม่คุ้นชินกับภาษานี้มากสักเท่าไหร่ ผนวกกับการที่อีกฝั่งนั้นพูดระรัวเร็วแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาจับใจความยากขึ้นไปอีก ทำให้เด็กหนุ่มมอร์ฟีสผู้หนึ่งต้องพูดทวนอีกครั้ง

ทว่า มันก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาจึงเงื้อมือขึ้นแล้วแทงดาบเข้าไปที่หัวของเด็กหนุ่มคนนั้นจนทั้งหัวและกะโหลกรวมไปถึงมันสมองแหลกกระจายไปโดนคนรอบ ๆ

เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเลือดที่เจิ่งนองไปทั่วห้อง พวกเขาร้องขอชีวิตกันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่หายสนุกจากการฆ่าฟันนี้ เขากวัดแกว่งดาบปลดปล่อยคลื่นปราณฆ่าผู้คนที่ไร้ทางสู้เหล่านี้จนแหลกสลายกลายเป็นศพทุกราย

เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้รอดชีวิตแล้ว ชายหนุ่มก็เดินกลับออกมา ในสายตาของเขานั้นพวกมอร์ฟีสไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือทหารก็ไม่ต่างกันหรอก เขาจะสังหารทุกอย่างที่เป็นของพวกต่างชาตินี้

เมื่อเขาเดินออกมาก็พบกับทหารม้ากลุ่มหนึ่ง จึงคิดจะเข้าปะทะในพลัน หากแต่เมื่อพบว่าเป็นหยวนอู่ เขาก็ได้ลดดาบลง

“นายท่าน ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ !” หยวนอู่ควบม้าเข้ามาหยุดตรงหน้าถังหยิน และเมื่อเห็นชายหนุ่มยังสภาพปกติดีอยู่จึงพูดขึ้น “พวกทหารที่อยู่ในเมืองนี้ถูกกำจัดหมดแล้ว มีบางส่วนหนีไปได้เล็กน้อย แต่พวกเราน่าจะตามไปจัดการได้อยู่”

ในระหว่างที่พูด สายตาของหยวนอู่พลันเหลือไปเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้เขาพูดไม่ออก เพราะภาพตรงหน้าของเขาก็คือกองอาวุธและเกราะมากมายที่วางอยู่บนพื้น…

เขาติดตามถังหยินมานานก็จริง หากแต่ก็ไม่เคยเห็นพลังทำลายล้างอันรุนแรงของไฟสีดำที่สามารถกวาดล้างสนามรบได้ขนาดนี้มาก่อน เขานั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพวกมันถูกสังหารไปมากขนาดไหน

หยวนอู่กวาดตามองไปทั่ว ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นร่างที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่ม

“นั่นคือพวกชาวบ้านมอร์ฟีส พวกมันนั้นชั่วร้ายเหมือนกันหมดนั่นแหละ ดังนั้นจึงต้องสังหารให้สิ้น !” ถังหยินกล่าว

หยวนอู่พยักหน้าเข้าใจ หากแต่ปากก็พูดแย้งออกไปว่า “การที่ท่านสังหารมันไม่ใช่เรื่องดีเลย พวกเราควรจะพากลับไปยังเมืองเฮิง”

“เอากลับไปทำไมกัน ?”

“เอาไปขายเป็นทาสไงขอรับ พวกต่างชาติน่ะร่างกายแข็งแรงแถมยังหาได้ยาก ข้าว่าพวกมันจะต้องขายได้ราคาดีมากแน่ ๆ” หยวนอู่กล่าว

ถังหยินกระทืบเท้าตัวเองที่คิดไม่ถึงเรื่องนี้ ถ้าหากเขารู้แบบนี้ล่ะก็ป่านนี้คงไว้ชีวิตแล้วเอาไปขายเป็นเงินเสียดีกว่า “เอาตามนั้นก็ได้ จับพวกมันบางส่วนไปขายที่เมืองเฮิงซะ”

“ขอรับนายท่าน!” หยวนอู่เห็นด้วยและเรียกทหารมารับคำสั่งต่อไป

คำสั่งที่ถูกถ่ายทอดลงไป ทำให้มีพวกมอร์ฟีสถูกจับกันมากมาย คนพวกนั้นถูกบังคับให้พวกเขาคุกเข่าอยู่ที่ลานใจกลางเมือง จากนั้นก็เริ่มการสังหารหมู่ด้วยการใช้ดาบตัดหัวทีละคนจนเลือดไหลท่วมเมือง

หัวของชาวมอร์ฟีสพวกนี้ที่เก็บไปในครั้งนี้ เขาคิดจะนำมันกลับไปยังเมืองหยาน เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าตนสามารถรุกรานพวกมอร์ฟีสได้สำเร็จ ทั้งยังพิชิตมันได้ด้วยกองกำลังของเขาเอง !

การต่อสู้ดำเนินการต่อไปไม่นานนัก หากแต่ก็มีพวกมอร์ฟีสที่ถูกจับมากถึง 3 พันคน นอกนั้นก็คือคนที่หนีออกไปได้

ศึกครั้งนี้พวกเบสซ่าสูญเสียเมืองไปมากมาย และในทางกลับกัน พวกเฟิงกลับสูญเสียทหารไปเพียงแค่ 4 ร้อยนายเท่านั้นในสงครามครั้งนี้

ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเดินเล่นในเมือง เฉิงจินที่อยู่ข้างนอกก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วทำความเคารพ “นายท่าน กลุ่มศรทมิฬได้จัดการพวกมอร์ฟีสไปราว ๆ 2 ร้อยนาย หากแต่ก็มีทหารมากถึง 3 ร้อยนายที่หนีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเราต้องไล่ล่ามันหรือไม่ ?”

เป็นไปตามที่ถังหยินคาดการณ์เอาไว้ พวกมันหนีไปตามทิศที่เขาให้จัดตั้งกองป้องกันหนีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเรื่องต่อจากนี้ก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกมูฉิงแล้ว…

เขาพยักหน้า “ปล่อยพวกมันไป เจ้าทำหน้าที่ได้ดีมากพอแล้ว”

“ท่านก็กล่าวเกินไป”

ไม่นานนัก คลังของเมืองราชสีห์ก็ถูกพบและปล้นสะดมออกไป ที่นี่มีทั้งอุปกรณ์ทางการทหารมากมายรวมไปถึงเสบียงอีกด้วย ส่วนเงินตราเองก็มีล้นเหลือพอจะให้นำไปใช้ได้อีกหลายปี

ถังหยินรู้ดีว่าม้าของเขาที่เอามาด้วยนั้นไม่อาจแบกมันกลับไปได้หมดแน่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ทิ้งเสบียงบางส่วนไปเพื่อแลกกับที่ว่างในการขนของมีค่าอื่น ๆ กลับไป

ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันมองกองเสบียงที่ถูกทิ้งพวกนั้นด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะออกคำสั่งให้จัดการพวกเชลยศึกที่เป็นทหารทั้งหมด

ดูเหมือนว่าพวกทหารเฟิงจะเริ่มเบื่อที่จะสังหารคนทีละคนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดไอเดียสุดบรรเจิดขึ้นมา ด้วยการให้พวกเชลยเข้าไปรวมกันอยู่ในโกดัง ก่อนจะมัดคนพวกนั้นด้วยฟางเอาไว้แล้วราดน้ำมันพร้อมกับจุดไฟเผาทั้งเป็น

กองทัพเฟิงภายใต้บัญชาของถังหยินน่ากลัวยิ่งกว่าพวกมอร์ฟีสเป็นไหน ๆ ไม่เพียงแต่สังหารผู้คน พวกเขายังขโมยทุกอย่างไปด้วยแถมยังเผาทิ้งไม่เหลืออะไรไว้ให้ดูต่างหน้าอีก !