บทที่ 127

เมื่อเห็นแบบนั้นถังหยินก็ตวัดดาบพุ่งไปยังด้านหน้า

พวกมอร์ฟีสมัวแต่ตกตะลึงและหวาดกลัว สายตาจ้องมองศัตรูที่กำลังพุ่งเข้าใส่โดยไม่แม้แต่จะคิดหลบ ทำให้ถังหยินมีโอกาสเข้าสังหารและเปลี่ยนร่างของคนพวกนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไป ก่อนที่พวกมอร์ฟีสที่เหลืออยู่จะหวนนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับเคียวสีดำอันน่าหวาดกลัวนั่น !

ระหว่างที่พวกเขากำลังตะลึง ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “หลบไปพวกเจ้า !” ทันใดนั้นแม่ทัพมอร์ฟีสผู้หนึ่งก็พลันควบม้าตัวใหญ่พุ่งเข้ามา

ถังหยินเดาได้เลยว่านี่จะต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ของพวกต่างแดนเป็นแน่ สังเกตได้จากเกราะและอาวุธปราณในมือของอีกฝ่าย ที่น่าจะอยู่ในระดับปราณสู่พิสดาร

ทั้งสองจ้องหน้ากัน ยกดาบขึ้นพร้อมกัน ก่อนชี้ปลายดาบเข้าหากัน และโดยไม่ต้องพูดจา พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังท้าทายตน

ถังหยินควบม้าพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงดาบเข้าหาลำคอของแม่ทัพมอร์ฟีสผู้นั้นทันที ส่วนแม่ทัพฝั่งศัตรูก็ไม่รอช้า รีบควบม้าเข้าปะทะแล้วยกดาบขึ้นป้องกันเอาไว้ในพลันเช่นกัน !

ในวินาทีที่ทั้งสองเข้าหากัน มันก็ได้เกิดเสียงปะทะอย่างรุนแรงจนสะเทือนไปรอบ ๆ ส่งให้ม้าของพวกเขาตัวชาไปชั่วครู่ พละกำลังของอีกฝ่ายรุนแรงมากจนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นหญิง ซึ่งนางก็ไม่รอช้า ควบม้ากลับลำแล้วพุ่งดาบเข้าแทงถังหยินต่อในทันที

ชายหนุ่มหลบมันอย่างง่ายดาย ก่อนแทงสวนกลับไปที่หัวของอีกฝ่าย ทำให้นางเสียท่าล้มลงจากหลังม้า

และถ้าหากนางล้มช้ามากกว่านี้ล่ะก็ …ศีรษะของหญิงสาวผู้นี้ก็คงขาดไปแล้ว !

ตัวนางเต็มไปด้วยเหงื่อท่วมตัว ด้วยไม่ใช่แค่อีกฝ่ายนั้นแกร่งมากกว่า หากแต่เขายังรวดเร็วมากอีกด้วย ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่นางก็ไม่คิดจะถอยอยู่แล้ว บ้านเกิดของนางถูกรุกรานแบบนี้ มีหรือที่จะยอมแพ้ ! แม้สู้ไม่ได้ นางก็จะสู้จนตัวตาย !!!

นางคำรามและพุ่งเข้าใส่ถังหยินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งในคราวนี้ชายหนุ่มก็ไม่ได้หลบ หากแต่ยกเคียวขึ้นตั้งรับ

เคร้ง !

เมื่อทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง ถังหยินก็ฟาดเคียวใส่อีกครา ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบได้ เขาหวดใบมีดอีกรอบ ใช้สันเคียวฟาดไปที่ร่างของแม่ทัพหญิงผู้นั้น

แรงกระแทกนั้นมหาศาลมากจนทำให้เกราะของอีกฝ่ายแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี ก่อนที่ร่างบางจะลงไปกองที่พื้น

นางแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเกราะจะแตกไปแล้วพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากหน้าผาก หากแต่ก็ยังไม่มีอาการหอบหายใจเหนื่อยอ่อนแม้แต่น้อย

“ข้าต้องการหัวของเจ้า !” ถังหยินขึ้นควบม้าวิ่งเข้าไปหาแม่ทัพอีกฝ่ายพร้อมยกดาบขึ้น

ทันทีที่นางเห็นว่าถังหยินพุ่งเข้ามา หญิงสาวก็ไม่ได้คิดจะหลบหรือทำการป้องกันใด …บางทีอาจจะเป็นเพราะหัวได้รับการกระแทกก็ได้ จึงทำให้นางมึนงง ตัวแข็งทื่อ ไม่หันหนีไปไหน

ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ ก่อนตวัดดาบลงเข้าใส่ร่างอีกฝ่าย

เพียงชั่วพริบตานั่น แม่ทัพหญิงก็พลันเงยหน้าแล้วเรียกดาบขึ้นมาเขวี้ยงมันสวนกลับไป ดาบที่พุ่งออกไป มันได้สร้างคลื่นปราณจำนวนมากกลืนกินถังหยินเข้าไปในนั้น

คลื่นที่เกิดขึ้นมันเล็กจิ๋วจำนวนมาก ดูคล้ายกับตาข่ายที่หลบได้ยาก ทั้งยังรวดเร็วและเกิดขึ้นในระยะประชิดเกินไป

นี่คือสุดยอดวิชาแห่งแสง สายลมคลั่ง

วิชาสายลมคลั่งนั้นกินพลังงานมากเกินไป หลังจากที่ใช้ไปแล้วพลังปราณในร่างของนางก็หมดลงจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ทว่าแค่วิชานี้ก็สามารถกวาดล้างกองทัพให้หายเหี้ยนได้ในพริบตาแล้ว !

นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน !

นางใช้ทุกอย่างที่มีหลังจากที่ถูกถังหยินต้อนจนมุม และวิชานี้มันก็ใช้ได้ผลเป็นอย่างดีกับชายหนุ่มที่กำลังหลงระเริงในชัยชนะ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะโดนลูกไม้นี้ดักทางเข้าให้

แม้ว่าจะมีเกราะปราณระดับสูงอยู่ หากแต่ก็ไม่อาจป้องกันคลื่นลมคลั่งนี้ได้ มันปะทะกันจนเกิดเสียงแตกร้าวและเกิดบาดแผลมากมาย ส่งผลให้ชายหนุ่มกระเด็นลอยขึ้นไปไกลสูงหลายจั้ง

หลังจากใช้ไพ่ตายเสร็จ ร่างของนางก็นอนแน่นิ่ง ดูเหนื่อยหอบ เกราะและดาบของหญิงสาวกลับสู่สภาพปกติ

อีกทางด้านหนึ่ง ในขณะนี้นั้นร่างของชายหนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย มีเลือดไหลชุ่มออกมาท่วมเกราะ

แม่ทัพหญิงที่คิดว่าหมดสภาพการต่อสู้ไปแล้ว นางพลันดีดตัวขึ้น ลุกขึ้นมานั่งสั่งการกับพวกทหารที่อยู่รอบ ๆ ว่า “ตัดหัวมันไปมอบให้ฝ่าบาทซะ”

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ มันก็ทำให้เลือดพวกมอร์ฟีสคลั่งกันไปหมด หากแต่หลังจากที่เห็นการต่อสู้สุดอันตรายก่อนหน้านี้ จึงทำให้พวกเขาเริ่มหวั่นเกรงจนไม่กล้าเข้าไปในทันที

ทันใดนั้นถังหยินก็ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้พวกต่างแดนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวแล้วถอยกลับมา

ในเวลานี้ถังหยินดูไม่ต่างอะไรจากปีศาจ เกราะของเขาเต็มไปด้วยรูมากมายและมีเลือดท่วมไปหมด ส่วนใบหน้าเองก็เต็มไปด้วยเลือด

การที่สามารถต้านทานพลังโจมตีของแม่ทัพหญิงมอร์ฟีสผู้นั้นได้ แสดงว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องมีพลังที่สูงมากแน่

ถังหยินไม่ได้สนใจรูบนร่างกายตนเองแม้แต่น้อย เขาเหวี่ยงเคียวไปมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับฉีกยิ้มอันแสนชั่วร้ายออกมา

เขามองฝูงชนตรงหน้าแม่ทัพหญิงแล้วเลียริมฝีปาก “ในเมื่อเจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ งั้นข้าก็ขอจัดการเจ้าแทนก็แล้วกัน !” พูดจบเขาก็วิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย

นางไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้เลย ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้ อีกฝ่ายไม่ควรที่จะต่อสู้ได้แล้วด้วยซ้ำ ไม่สิ อย่าว่าแต่สู้แค่ แค่ลุกยืนได้ก็น่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว !

ถังหยินบาดเจ็บหนักก็จริง หากแต่พวกทหารของเบสซ่าเองก็ถูกชายหนุ่มปลูกฝังความกลัวเอาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจแล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปจัดการกับชายที่บาดเจ็บหนักตรงหน้า

พร้อมกันนั้น ราวกับไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อ ร่างของแม่ทัพหญิงพลันสั่นเทา นางกรีดร้อง และตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ขวางมันเอาไว้สิ !”

ด้วยคำสั่งนั้น ทหารผู้กล้าหาญ 2 นายก็ได้เข้ามาใกล้ถังหยินพร้อมกับดาบที่แทงเข้าไป

ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหลบ เขาปล่อยให้มันเสือกแทงเข้าไปปะทะกับเกราะปราณที่สวมใส่อยู่

การโจมตีครั้งนี้ไร้ผล ดาบทั้ง 2 เล่มแตกหักเป็นส่วน ๆ เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มตวัดเคียวเด็ดหัวของทหารผู้กล้าทั้งสองจนขาดกระเด็น ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนร่างของคนพวกนั้นกลายเป็นฝุ่นผง

ไม่มีทั้งเลือดและซากศพ พวกเขาหายไปในอากาศเสียเฉย ๆ …เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็กลัวหัวหดกันทั้งนั้น

ทหารมอร์ฟีสเริ่มแหวกทางหลีกให้ราวกับโมเสสแหวกทะเล

ถังหยินวิ่งเข้าหาแม่ทัพหญิงอย่างไม่ลังเล

สีหน้าของนางเริ่มมืดหม่นและออกคำสั่งให้ทหารมาช่วยอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าก็ไม่มีใครกล้าตอบรับคำนั้นเลย พวกเขาพากันหนีตายโดยไม่สนใจหญิงสาวแม้แต่น้อย

แม่ทัพหญิงไม่อาจเรียกพลังอะไรออกมาได้เลย นางถูกถังหยินบีบคออย่างแรงจนหายใจลำบาก ก่อนที่เขาจะยกชูนางขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มบีบคอหญิงสาวผู้นั้นไว้แน่น ก่อนหันมองพวกทหารที่อยู่รอบ ๆ และตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้าจงจดจำข้าเอาไว้ให้ดี ข้าคนนี้คือ ถังหยิน !”