บทที่ 126

เมื่อระยะทางระหว่างพวกเขากับเมืองราชสีห์อยู่ไม่ไกลกันนั้น ถังหยินก็พลันออกคำสั่งให้พวกเขาหยุดและเรียกมูฉิงกับเฉิงจินเข้ามาหา “มูฉิง จงนำกองทัพ 1 พันนายไปที่จุดซุ่มโจมตีได้เลย”

“น้อมรับบัญชา !” มูฉิงโค้งคำนับ ก่อนพากองทหารออกไปพร้อมกับหลีเทียนที่เป็นคนนำทางอ้อมเมืองเป้าหมายไป

หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ถังหยินก็หันไปสั่งเฉิงจิน “แม่ทัพเฉิง พาหน่วยศรทมิฬไปอยู่ใกล้ ๆ เมืองแล้วจัดการหอตรวจการณ์ทั้งหมดให้เรียบร้อย”

“ขอรับนายท่าน !” ชายมือสังหารตอบรับด้วยความเต็มใจและลงจากหลังม้าวิ่งไปยังเมืองราชสีห์

เมื่อทั้ง 2 ขุนพลจากไป ถังหยินก็สั่งทหารของเขาลงจากหลังม้าและเตรียมชุดเกราะให้พร้อม นอกจากนี้ก็ยังสั่งให้พวกเขาทำการติดตั้งอุปกรณ์ที่จะทำให้การเคลื่อนที่ของม้าเกิดเสียงเบาลงด้วย

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ชายหนุ่มก็รอแค่เพียงหน่วยศรทมิฬเข้าประจำที่จัดการตามภารกิจเท่านั้น เพื่อที่เขาจะได้พุ่งเข้าตีเมืองราชสีห์ !

ถังหยินและอัยเจียปีนขึ้นมาบนยอดหินเพื่อมองภาพรวมทั้งหมดของเมือง ซึ่งมันก็ปรากฏว่าเมืองราชสีห์นั้นไม่ได้มีกำแพงที่สูงมากนัก พวกทหารตรวจตราก็มีน้อย อาจบอกได้ว่าการระมัดระวังของพวกมันนั้นต่ำมาก หากแต่ก็ไม่อาจรู้ถึงกำลังที่แท้จริงได้ ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท !

ชายหนุ่มพยายามมองลงไปหาหน่วยลับของตนเองที่กำลังเคลื่อนไหวในเงามืด

อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาก็เห็นแต่ทุ่งหญ้าที่สูงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ที่มีหน่วยศรทมิฬอยู่ในนั้นเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ต่อให้สายตาดีแค่ไหน พวกเบสซ่าก็ไม่อาจมองเห็นคนพวกนั้นได้โดยง่ายอย่างแน่นอน

ในเวลานี้ถังหยินพาหน่วยลับมาแค่หน่วยเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็กำลังกระจายตัวกันออกไปตามแผนที่ของอัยเจีย

เฉิงจินเลือกเป้าหมายที่อันตรายและสำคัญที่สุด ซึ่งก็คือประตูเมืองที่มีพวกศัตรูตั้งป้องกันอยู่ 5 นาย

ทั้ง 5 คนนั้นตรวจตราหน้าประตูเมืองมาทั้งคืน และด้วยความอ่อนล้าที่มี จึงทำให้พวกเขาแอบหลับยามกันไปบ้าง

มือสังหารค่อย ๆ เข้าไปอย่างเงียบเชียบเพื่อหาจังหวะที่สวยงาม เขาในตอนนี้นอนอยู่บนพื้นหญ้า และกำลังเข้าไปใกล้ทั้ง 5 คนนั้นพร้อมด้วยเกราะที่สวมอยู่เต็มตัว ก่อนที่ดาบในมือจะเริ่มกลายเป็นดาบปราณ

เฉิงจินพลันใช้สับเปลี่ยนเงา เข้าไปอยู่ข้างหน้าทหารนายหนึ่ง ก่อนแทงมีดเข้าไปที่จุดตายทันที !

ด้วยมีดอันแสนคมกริบ มันได้แทงทะลุหัวใจพวกยามตายคาที่ในทันที ทว่าชายนักฆ่าก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายล้มลงไปบนพื้นจนเกิดเสียง เขาอุ้มร่างเป้าหมายเอาไว้ ก่อนหันมองอีก 4 คนที่กำลังหลับอยู่แล้วจึงกระโดดไปสังหารที่เหลือทันที

จากนั้นเขาก็ลากศพมาซ่อนเอาไว้ในป่า เพื่อไม่ให้พวกที่เหลือรู้ตัว

หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีทหารเหลืออยู่ เฉิงจินจึงเข้าไปใกล้กับกำแพงเมืองเพื่อหาทางจัดการกับทหารที่อยู่ด้านบน

ด้วยความที่กำแพงไม่ได้สูงมากนัก เขาจึงสามารถปีนขึ้นไปได้โดยง่าย แต่ทว่าข้างบนนั้นมันก็มีทหารมอร์ฟีสเดินกันเต็มไปหมด ดังนั้นต่อให้เขาจะรวดเร็วขนาดไหน ก็ไม่อาจสามารถสังหารผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้นได้เลย

หลังจากจ้องมองอยู่สักพัก เฉิงจินก็ไม่สามารถหาโอกาสดี ๆ ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง ถังหยินก็ไม่ได้สนใจพวกทหารบนกำแพงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบขึ้นไปขี่ม้าแล้วพุ่งไปทันที “สหายทั้งหลาย ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือโดยเด็ดขาด !”

หลังพูดจบเขาก็ควบม้าพุ่งทะยานไปยังเมืองราชสีห์ทันที

ทหารม้ากว่า 2 พันนายวิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว แต่ด้วยการเตรียมการ จึงทำให้แทบไม่เกิดเสียงวิ่งขึ้นเลย อย่างไรก็ตาม เสียงพื้นดินที่สั่นเทาก็ยังคงทำให้เกิดเสียงโดยที่ไม่อาจเลี่ยงได้อยู่ดี

เมื่อพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมือง พวกมอร์ฟีสก็พลันสังเกตเห็น จึงได้มารวมตัวกันเพื่อมองและระบุกองทัพปริศนาไร้ตัวตนกลุ่มนี้

ชายคนหนึ่งตะโกนออกมา “พวกเจ้าเป็นใครกัน ? แสดงตัวตนออกมา !”

ถังหยินที่อยู่ด้านหน้าสุดตอบไปทันที “พวกข้าคือท่านปู่ของเจ้ายังไงล่ะ !” ด้วยภาษาที่ร่ำเรียนมา ทำให้เขาฟังและตอบกลับพวกมันไปได้

พวกทหารม้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ทหารยามที่อยู่บนกำแพงรู้ตัวในพลันว่ากลุ่มคนตรงหน้านั้นเป็นทหารเฟิง

“พวกศัตรู…” สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที และพยายามตะโกน…หากแต่ก็โดนธนูพุ่งเข้าใส่ลำคอเสียก่อน

โดยไม่รอช้า ห่าฝนลูกศรก็พลันพุ่งลงมาจากฟากฟ้าด้วยฝีมือการยิงของพวกทหารม้านับ 2 พันนายนั่น ทำให้พวกทหารยามบนกำแพงร่วงตายลงมาทันที

“ศัตรูบุก !” หัวหน้าทหารมอร์ฟีสนายหนึ่งตื่นขึ้นและตะโกนสุดเสียง

ทว่ามันก็ช้าไปเสียแล้ว ถังหยินลงจากม้าแล้ววิ่งเข้าไปยังทางเข้า เขาทำการกวัดแกว่งเคียวสุดแรงเกิด จนสามารถสังหารพวกทหารยามป้องกันจนขาดสองท่อน

พวกทหารมอร์ฟีสตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก พวกเขาชักดาบออกมาแล้วพยายามวิ่งเข้าไปสู้กับถังหยิน

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มพลันฟาดฟันเคียวเป็นแนวนอน ปลดปล่อยคลื่นพลังปราณตัดผ่านพวกทหารที่วิ่งเข้ามาล้มตายไปตาม ๆ กันจนเลือดกระจายนองเต็มพื้น

ตอนนี้พลังของเขาอยู่ในระดับปราณบรรพกาลแล้ว และยิ่งเขาใช้พลังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเท่านั้น ปราณที่ถูกปล่อยออกมาสามารถสังหารทุกคนให้หมดสิ้นได้เพียงชั่วพริบตา

พวกมอร์ฟีสลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจากการต่อสู้ที่หน้าประตู แต่แล้วไม่นานนักก็มีกำลังเสริมมากมายวิ่งเข้ามาจากในเมือง

ถ้าหากยังยืดเยื้อกันต่อไป พวกมันจะยิ่งเข้ามาเสริมทัพกันเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาไม่อาจหนีกลับออกไปได้แน่ ยิ่งในตอนนี้พวกมอร์ฟีสกลายเป็นฝ่ายรับศึกแล้วด้วย มันจะยิ่งทำให้การรบเสียเปรียบเข้าไปกันใหญ่

ดังนั้นถังหยินจึงร้องตะโกนออกมา ก่อนจะจุดไฟสีดำที่ใบมีดเคียวแล้วเหวี่ยงมันไปข้างหน้าสุดแรงเกิด

ทันทีที่ใบมีดเคียวฟาดลงพื้น พวกมอร์ฟีสพวกนั้นก็พลันโดนผ่าร่างและเผาโดยไฟสีดำจนกลายเป็นเถ้าถ่านนับร้อยนาย !

“นายท่านหลีกไป !”

สองพี่น้องฉางกวงตะโกนมาจากด้านหลัง ส่งผลให้ชายหนุ่มขยับตัวตามสัญชาตญาณ

จากนั้นพวกเขาก็ทำการเสริมพลังให้กับหอกตนเอง ก่อนจะตวัดมันพาดผ่านกันจนเกิดเป็นคลื่นพลังปราณในรูปกางเขนเข้าทำลายทหารที่อยู่แนวประตูจนราบคาบ

โดยไม่รอช้า ถังหยินก็พลันควบม้าพุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามและตะโกน “โจมตี !”

เขาพุ่งทะยานไปในเมืองเพียงชั่วพริบตา

การต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและพละกำลัง แม้ว่าทหารม้าจะมีจำนวนที่น้อยกว่า แต่ถ้าเกิดทหารราบไม่สามารถจัดกระบวนทัพป้องกันได้ พวกมันก็จะโดนกองทหารพุ่งทะยานทำลายล้างรูปขบวนจนแตกพ่ายเละไม่มีชิ้นดี

พวกเบสซ่านั้นแทบไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย พวกเขาถูกทั้งม้าเหยียบและถูกอาวุธแทงจนตายกันไปหลายศพ

หลังจากเข้ามาในเมืองได้ ทหารม้า 2 พันนายก็วิ่งทะลวงสังหารผู้คนที่ผ่านทางจนหมดสิ้นไม่เหลือรอดแม้แต่ชีวิตเดียว

ถังหยินไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาวิ่งไปยังใจกลางเมือง หมายมั่นที่จะจับตัวเจ้าเมืองเพื่อหวังจะสังหารและให้พวกคนที่เหลือยอมจำนน

พวกต่างชาติไม่ได้ทันเตรียมตัว ทำให้พวกเขายังไม่ทันได้สวมเกราะ หากแต่ก็ต้องออกมาปะทะกันกับพวกเฟิงเสียแล้ว แม้แต่อาวุธเองก็ยังไม่มี ได้แต่ถูกพวกทหารเฟิงเข้าสังหารจนตายอย่างง่ายดาย

ไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงใจกลางเมืองที่มีพวกเบสซ่ามากมายรวมตัวกันอยู่ที่นั่น โดยที่แห่งนี้ มันก็ได้มีบางส่วนนั้นแต่งตัวเต็มยศพร้อมต่อสู้แล้ว ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่สีหน้าของพวกเขาก็ดูว่างเปล่า เมื่อจ้องมองมายังพวกถังหยินที่กำลังพุ่งเข้ามา