คนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ติดตามกองทัพเทพยดาเพื่อไล่ล่าบรรพชนมารมากมายที่กำลังหนีไปพร้อมกับสัตว์ประหลาดใต้พิภพ
หลังจากไล่ล่าไปได้สักสี่สิบห้าสิบลี้ กองทัพเทพยดาก็พลันหยุดยั้ง ขณะที่เฒ่าเป๋ยังคงแบกนักปรุงยาและพุ่งทะยานไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นเมื่อเฒ่าเป๋สำเหนียกว่าไม่มีใครอื่นๆ อยู่รอบๆ พวกเขา เฒ่าเป๋ก็ตัวสั่นเทิ้มและรีบวิ่งกลับ ก็ต่อเมื่อกลับมาถึงกองทัพแล้วถึงค่อยโล่งอก
“นี่คือขีดจำกัดของเฒ่าหนวก ดังนั้นพวกเราไปไกลกว่านี้ไม่ได้ หากว่าพวกเรายังคงไล่ล่าต่อไป พวกเราก็จะเผยไต๋ให้พวกเขาเห็น” ท่านยายซีกระซิบ
“พวกเจ้าถึงกับไม่ยอมบอกข้าล่วงหน้า ปล่อยให้ข้าถลันไปข้างหน้าต่อ…” เฒ่าเป๋บ่นพึม
นักปรุงยาปีนลงมาจากหลังของเขา ขาของเขายังสั่นเทิ้ม “ไอ้เป๋ที่น่าตาย ข้าเกือบตายในน้ำมือมารก็เพราะเจ้า!”
อีกด้านหนึ่ง เฒ่าหนวกยังคงสะบัดพู่กันไปรอบๆ ด้วยใบหน้าแดงฉาน ฉินมู่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเข้าไปดึงตัวเฒ่าหนวกไว้ทันที เสียงกังวานของเขาดังเหมือนกับมังกรคำรามข้างใบหูของอีกฝ่าย “ท่านปู่หนวก ศัตรูล่าถอยแล้ว ตื่นเถอะ!”
เฒ่าหนวกหยุดพู่กันทันที และเผยสีหน้าว่างเปล่า เขารู้สึกหวานขึ้นมาที่คอและกระอักเลือดออกมากำหนึ่ง
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และมือของเขาขยับอย่างรวดเร็วเพื่อแตะลงไปยังคอและหัวใจของผู้เฒ่า เขาปิดผนึกปราณและโลหิตของเขาอันกำลังเดือดคลั่ง ถัดไป เขาแตะไปที่หว่างคิ้ว และขยับไปรอบๆ ร่างกายของเฒ่าหนวก พลางขับเคลื่อนวิชามารฟ้าเสกสรร เขาจี้แตะร่างกายของเฒ่าหนวกอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมพลังงาน!
กล่าวได้ว่าเฒ่าหนวกได้รีดเร้นพลังงานทั้งหมดของเขา และเขาได้ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมและหัวใจของตนบาดเจ็บ หัวใจนั้นเป็นศูนย์กลางควบคุมปราณและโลหิต เมื่อมันกลายเป็นบ้าคลั่ง เส้นเลือดของเขาจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป และหัวใจของเขาเองก็บาดเจ็บไปมาก ดังนั้นเขาจึงกระอักเลือดออกมา
ฉินมู่ปิดผนึกตำแหน่งหัวใจและคอของเขา ขับไล่เลือดกลับลงไป
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเฒ่าหนวกก็เหนื่อยล้าหมดพลัง ดังนั้นมันจึงสั่นไหวไม่เสถียร เผยให้เห็นสัญญาณของการพังทลาย ฉินมู่จึงใช้วิชามารฟ้าเสกสรรเพื่อปิดผนึกสามวิญญาณและเจ็ดจิตของเขา ป้องกันไม่ให้พวกมันออกไปจากร่างกาย
ด้วยวิธีนี้ เขาจึงสามารถถ่วงเวลาปัญหาไปได้สักพัก และทำให้ง่ายต่อการเยียวยา
ฉินมู่รีบนำสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมาเพื่อหลอมปรุงยา ผ่านไปสักพัก ยาวิญญาณก็ปรุงสำเร็จและเขาบีบปากเฒ่าหนวกให้อ้าออกเมื่อส่งยาเม็ดเหล่านั้นเข้าไป จากนั้นเขาก็ใช้วิชามือทุกประเภทเพื่อกระตุ้นประสิทธิภาพของฤทธิ์พลังยา
ยายเฒ่าซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ กลับมา นักปรุงยาก็เข้าไปรับช่วงต่อ เขารักษาเฒ่าหนวกและกล่าว “โชคดีว่ามู่เอ๋อพบสิ่งผิดสังเกตแต่เนิ่นๆ ดังนั้นเฒ่าหนวกจึงไม่มีอาการบาดเจ็บถาวร ปราณชีวิตของเขาเหือดแห้งอย่างหนัก แต่มีข้าอยู่ด้วย ข้ารับประกันว่าเขาจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นได้ภายในค่ำคืนนี้”
เฒ่าหนวกแค่นเสียงเฮอะและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ข้าไม่มีทางกระโดดโลดเต้นแน่นอน บัณฑิตจะกระโดดไปมาเหมือนลิงกังได้อย่างไร”
ทุกคนเบาใจลง และยายเฒ่าซีก็ถาม “เฒ่าหนวก ภาพวาดของเจ้าอยู่ได้นานแค่ไหน”
“ตราบเท่าที่โลกในภาพวาดไม่แตกสลาย กองทัพเทพยดานี้ก็จะสามารถดำรงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์”
เฒ่าหนวกนั่งลงให้นักปรุงยารักษาเขาด้วยความใส่ใจ วุ่นไปมาทั้งซ้ายขวา ฉินมู่คอยอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยเป็นลูกมือเขา ขณะที่ฮู่หลิงเอ๋อถือถาดเข็มมาช่วยเป็นลูกมือฉินมู่อีกทอด เมื่อทั้งสามคนสื่อสารกันไปมา ทำให้การรักษาพยาบาลนี้ดูคึกคัก
“แต่ทว่าจะทำลายโลกในภาพวาดนั้นไม่ได้ยากเย็น นี่เป็นเพราะว่าพวกมารไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรลวง ดังนั้นข้าจึงฉวยโอกาสได้ชัยจากพวกเขา”
ใบหน้าของเฒ่าหนวกเต็มไปด้วยเข็มเงิน และหางตาของเขาก็กระตุกไปมาอย่างสุ่มๆ นักปรุงยาปักเข็มอีกเล่มที่หางตาของเขา และหางตาก็ไม่กระตุกอีกต่อไป แต่เขากลับรู้สึกว่าใบหน้าครึ่งซีกเป็นอัมพาต
ดวงตาของเฒ่าหนวกเอียงไปข้างหนึ่ง ลูกตาหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกลูกตา ที่มุมปากมีน้ำลายไหลย้อย “หากว่าข้าสามารถฟื้นฟูปราณชีวิตได้ภายในคืนนี้ ข้าจะวาดอีกภาพหนึ่งและทำให้พวกเขาหวาดกลัวมากกว่าเดิม…นักปรุงยาฉ้ารู้สึกว่าหน้าของฉ้ามาไฉ้หน้าฉ้า ลิ้นของฉ้า…”
“เข็มนี้ไว้เพื่อฝังในจุดชีพจรและรมยาให้แก่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า แต่มันกระทบเส้นประสาทบนใบหน้า พวกมันจะใช้งานไม่ได้ไปพักหนึ่ง ไม่ต้องกังวล! มู่เอ๋อ เจ้าทำได้ดีมากที่ตรึงวิญญาณกับจิตของเขาเอาไว้ ดูเข็มนี่สิ ข้าจะใช้มันที่ไหนดี”
นักปรุงยาลังเลเล็กน้อย และชี้ไปยังที่จุดๆ ใกล้ๆ กับกระดูกสันหลังของเฒ่าหนวก “ข้าไม่แน่ใจว่าข้าควรปักลงไปตรงนี้ดีหรือไม่…” เขากล่าวพลางมองไปยังฉินมู่
ฉินมู่ตรวจตราดูอย่างละเอียดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่นักปรุงยากำลังทดสอบข้า ”หากว่าท่านใช้มันในตำแหน่งนี้ ท่านก็จะแทงวิญญาณดินและตรึงจิตวิญญาณดั้งเดิมที่จุดอวัยวะเพศ เข็มเล่มนี้ยังจะแทงทะลุสมบัติเทวะเป็นตายของเขา และปราณมารกับสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพจะสามารถรุกรานเข้ามาและทำให้ฝีเย็บทวารหนักกับวิญญาณดินของเขาแปดเปื้อน เขาก็จะไม่สามารถให้กำเนิดทายาท ทั้งจะมีจริตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง”
นักปรุงยาดึงเข็มเงินกลับด้วยหน้าไม่เปลี่ยนสีและผงกหัวอย่างแช่มช้า “ข้ากำลังทดสอบเจ้า และเจ้าถึงกับมองทะลุปรุโปร่ง”
ฉินมู่ยิ้มแก่เขา “ข้ารู้ว่าท่านทดสอบข้า! ท่านปู่นักปรุงยาน่าจะวางแผนที่จะแทงเข็มเล่มนี้ผ่านสมบัติเทวะเป็นตายและสะพานเทวะของเขา ทำให้ปราณชีวิตของท่านปู่หนวกสามารถเดินทางไปมาระหว่างสองสมบัติเทวะ! มันจะแทงทะลุเขตขั้นสะพานเทวะและนำทางปราณชีวิตจากที่นั่นไปยังเขตขั้นเป็นตาย ซึ่งก็จะเพียงพอในการสยบสันดานมารและปราณมารในเขตขั้นเป็นตายโดยที่ไม่สูญเสียความสามารถในการให้กำเนิดทายาทของท่านปู่หนวก”
นิ้วของเขาจิ้มเคลื่อนไปเล็กน้อยยังอีกตำแหน่งหนึ่ง เขามองไปที่นักปรุงยาด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “นี่คือตำแหน่งที่ท่านปู่นักปรุงจะปักเข็มจริงๆ ใช่หรือไม่”
นักปรุงยาส่งเสียงอืมยาวๆ ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนสีแดงและหัวใจของเขาก็ไม่เต้นพลาดสักจังหวะ เขาลอบถอนหายใจด้วยความละอาย มู่เอ๋อ เจ้าตัวน้อย สมแล้วที่เป็นบุคคลอันก่อตั้งตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสะพานเทวะยังเหนือกว่าข้าอยู่เล็กน้อย…
เฒ่าหนวกได้ยินการสนทนาของทั้งคู่ และเหงื่อเย็นเยียบก็ผุดขึ้นมาที่หน้าผากของเขา เม็ดใหญ่เป้งเม็ดหนึ่งร่วงลงมา
“หากว่าพวกเราปักเข็มท่านปู่หนวกตรงนี้ล่ะ?” ฮู่หลิงเอ๋อชี้ไปที่ทะเลปราณของเฒ่าหนวกและกล่าวอย่างตื่นเต้น
ฉินมู่และนักปรุงยากล่าวเป็นเสียงเดียวกันทันที “พวกเราปักเข็มตรงนั้นไม่ได้นะ หากว่าไม่ระวัง วรยุทธของเขาจะถูกทำลาย!”
สีหน้าเฒ่าหนวกซีดเทา และเขาหรี่ตามองเด็กหญิงน้อย “หลิงเอ๋อ ข้าสอนเจ้าอานนางฉือนะ!”
นักปรุงยายังคงฝีมือเหนือกว่าฉินมู่ เด็กหนุ่มนั้นเพียงแค่มีความเข้าใจต่อสมบัติเทวะสะพานเทวะมากกว่าเขา ขณะที่นักปรุงยารู้จักสมบัติเทวะอื่นๆ ดีกว่าเขา ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วฉินมู่จึงได้แต่ชมดู
ในที่สุด จิตวิญญาณดั้งเดิมของเฒ่าหนวกก็มีเสถียรภาพ และนักปรุงยาก็จัดปรุงสมุนไพรมาฟื้นฟูปราณชีวิตของเขา
เมื่อกลางคืนมาถึง เสียงหวีดโหยหวนดังมาจากที่ไกลๆ พวกมารวุ่นวายอึกทึกกันตลอดคืน ถึงกับตีเกราะเคาะกลองกันเป็นระยะ แสร้งว่าจะเข้ามาโจมตี กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ลงมือสักหน เป็นเพียงแค่การก่อกวนฉินมู่และคนอื่นๆ ไม่ปล่อยให้พวกเขามีเวลาพักผ่อน
ในวันถัดมา กองทัพมารที่เหลือก็มาถึงเมืองชั่วคราวตามๆ กัน เผ่ามารมีแสนยานุภาพทางทหารอย่างใหญ่หลวง และก็มีกองกำลังที่ตามเข้ามาสบทบจากทุกหนทุกแห่ง
ผู้บัญชาทัพมารเทวะมากมายไปถึงแนวหน้าสนามรบ และมองไปยังเหวใหญ่ของเมืองไร้โอหังจากที่ไกลๆ พวกเขาตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่ามีเมืองเทพยดาอันอลังการไร้ปานเปรียบจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเหนือซากเมืองไร้โอหังที่เพิ่งเป็นอยู่เมื่อก่อนหน้านี้!
เมืองเทพยดาสูงร้อยห้าสิบวา กำแพงเมืองเหมือนกับภูเขาที่เหยียดยาวไปในฟ้าและดิน สิ่งปลูกสร้างในเมืองสูงตระหง่าน และยังมีปืนใหญ่เทวะติดตั้งไปตามป้อมปืนของเมือง บนหอคอยปราการสูง มันก็มีปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่เป็นรูปทรงดวงตามากกว่าหนึ่งร้อยกระบอก
นายกองเทพและทหารในชุดเกราะทองอร่ามดูน่าเกรงขามบนกำแพงเมือง พวกเขาลาดตระเวนไปมาข้างบนนั้น เดินรักษาการณ์ไม่หยุดหย่อน
บนท้องฟ้าเหนือเมืองเทพยดา มีเมฆมงคลพวยพุ่งเป็นเกลียว และแสงตะวันหลากสีอันสาดส่องเป็นรัศมีมากกว่าหนึ่งพัน มันคือภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากรัศมีของทวยเทพ!
ความกระสับกระส่ายแพร่กระจายไปท่ามกลางเหล่ามาร และผู้บัญชาทัพมารเทวะทั้งหลายก็มองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง สถานที่อันควรจะเป็นซากเมืองที่จมบ่อแมกม่ากลับมีเมืองเทพยดาอันยิ่งใหญ่ตระการปรากฏขึ้นมาแทนที่ และถึงกับมีเทพเจ้ามากมายยืนอารักขาอยู่บนกำแพง
ที่ยอดเมืองนั้นถึงกับมีปืนใหญ่เทวะเรียงรายไว้หนาแน่น อันดูน่าสยองพองขนเป็นพิเศษ พวกมันเพียงพอที่เป่าทัพมารอันพุ่งเข้ามาให้กลายเป็นจุณวิจุณ
ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่วางเรียงอยู่ไกลกว่านั้น ยิ่งทำให้ขนหัวพวกเขาลุกชูชันยิ่งกว่าเดิม ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันร้อยกระบอก? นี่จะนับว่าเป็นการศึกสนามหนึ่งอีกหรือ อาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดนี้เพียงพอที่จะทำลายล้างโลก!
เมื่อมารเทวะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาก็ไม่อาจข่มระงับความกลัวแพร่หลายไปท่ามกลางหมู่คณะ และพวกเขาก็รั้งทัพเอาไว้ ได้แต่ภาวนาว่าศัตรูจะไม่เปิดฉากโจมตีก่อน
มารเทวะตนหนึ่งกางปีกออกมาและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้แก่มหาราชาฟู่ยื่อลัวก่อน พวกเจ้าเฝ้าระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายบุกทะลวงค่ายใหญ่ของพวกเราได้”
เขาบินไปสักพัก และพบกับฟู่ยื่อลัวที่กำลังนำทัพหลวงมา เขาบอกเล่าฟู่ยื่อลัวถึงสถานการณ์
ฟู่ยื่อลัวมองที่ผู้รายงานด้วยความแตกตื่น “ถึงกับมีของแบบนี้เชียวหรือ อย่าเพิ่งโจมตีก่อน ส่งพลสอดแนมเข้าไปดูว่ามันจริงหรือลวง กองทัพที่ข้ากำลังนำมาจะไปถึงพวกเจ้าในค่ำนี้เป็นอย่างช้า”
มารเทวะรับคำและบินกลับไป เขาสั่งให้พลสอดแนมจำนวนหนึ่งออกไปสืบข่าว
เมื่อพลสอดแนมเหล่านั้นอยู่ห่างจากเมืองเทพยดาไปสามสิบลี้ ปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกก็พลันยิงลำแสง และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
มารเทวะมีปีกตนนั้นรีบเหาะกลับไปรายงานฟู่ยื่อลัว “มหาราชา ข้าส่งหน่วยสอดแนมไป แต่พวกเขาถูงสังหารในระยะสามสิบลี้! ปืนใหญ่ทั้งหมดเป็นของจริง!”
ฟู่ยื่อลัวรู้สึกหนังหัวชาดิกและร้องออกมา “จะมีเมืองเทพยดาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน หากว่าสวรรค์ไท่หวงมีเมืองเช่นนี้ เผ่ามารของข้าคงถูกกวาดล้างไปนานแล้ว! เป็นไปไม่ได้ที่สวรรค์ไท่หวงจะมีของพวกนี้ และยิ่งสันตินิรันดร์ก็เป็นไปไม่ได้! เมืองนี้ไม่มีทางเป็นของจริง!”
มารเทวะมีปีกไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
สีหน้าของฟู่ยื่อลัวเปลี่ยนแปลงไปมา จากนั้นเขาก็ตะโกน “ถ่ายทอดคำสั่งไปยังแนวหน้า ผู้ใดก็ห้ามถอยทัพ หากว่าผู้ใดกล้าถอยออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะเอาหัวของพวกมันมาเซ่นธงศึก! เมื่อกองทัพของข้าไปถึง พวกเราจะถล่มสถานที่นั้นให้ราบ!”
มารเทวะรับคำอย่างนอบน้อมแล้วบินกลับ
เมื่อราตรีมาถึง ฟู่ยื่อลัวก็นำทัพหลวงของเขามาถึงแนวหน้าจนได้ เมื่อมองไปที่เมืองเทพยดาจากที่ไกลๆ เขาไม่อาจมองทะลุถึงความนัยของมัน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปมาวูบวาบขณะที่เขาลังเลตัดสินใจไม่ได้
หากว่าเมืองเทพยดานี้เป็นของจริง แม้แต่มารเทวะก็จะต้องบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของมัน เขาไม่กล้าเอาอนาคตของเผ่ามารเข้าไปเสี่ยง
ข้างในเมือง ฉินมู่และคณะกำลังจัดเก็บสัมภาระ พร้อมที่จะล่าถอย
เมืองเทพยดาเป็นของปลอม เฒ่าหนวกวาดมันขึ้นมาในค่ำคืนเดียว แต่แม้ว่าทั้งเมืองจะเป็นของปลอม ปืนใหญ่สิบกว่ากระบอกบนกำแพงเมืองเป็นของจริง ฉินมู่ได้สั่งการผ่านมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมให้ซีอวิ๋นเซี่ยงลำเลียงมันมาที่นี่ในเวลากลางคืน
นี่ก็เพราะว่าปืนใหญ่เหล่านั้น มารเทวะทั้งหลายจึงหวาดกลัวไป มารเทวะทั้งหมดและฟู่ยื่อลัวไม่อาจจำแนกได้ว่าอะไรจริงอะไรลวง
แต่ถึงอย่างไร หากฟู่ยื่อลัวตัดสินใจเข้าโจมตี ก็ไม่ต้องลำบากถึงทัพหลวงของศัตรู เพียงแค่มารเทวะใต้พิภพและสัตว์ประหลาดมารทั้งหลาย ก็พอที่จะถล่มเมืองนี้จนราบเป็นหน้ากลองแล้ว
เพราะอย่างนั้น ฉินมู่และคนอื่นๆ จึงได้แต่ลอบหลบหนีไป มิเช่นนั้น หากการโจมตีของฟู่ยื่อลัวมาถึง พวกเขาก็จะไม่อาจหนีได้
ฉินมู่และคณะเดินออกจากประตูเมืองและมุ่งหน้าไปทางเมืองหลี แต่ทันใดนั้น ค่ำคืนอันมืดมิดก็พลันสว่างจ้า เมื่อดวงตะวันหนึ่งลอยขึ้นมาบนฟากฟ้าและสาดแสงเป็นรัศมีหลายพันลี้!
ก่อนหน้านั้นยังเป็นกลางคืนอยู่ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเวลากลางวัน!
หรือว่าราชครูจะเข้าใจโมงยามผิดเมื่อเขาหลอมสร้างดวงตะวัน
ฉินมู่และคนอื่นๆ กำลังพิศวงอยู่ก็พลันเห็นเทพสามขาตนหนึ่งอันมีรัศมีเพลิงเทวะลุกไหม้ทั่วร่างเดินตรงมายังพวกเขา
เมื่อเขาเคลื่อนที่ ดวงตะวันบนท้องฟ้าก็เคลื่อนคล้อยตาม!
“เทพครองดาวตะวัน นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่ข้าพบกับเงาของเด็กหนุ่มผู้นั้นในแดนโบราณวินาศ” เสียงกังวานหนึ่งกล่าว ที่เดินมาตรงหน้าเทพสามขานั้นคือเด็กหนุ่มซึ่งหล่อเหลาอย่างยิ่งผู้หนึ่ง เขามองไปที่ฉินมู่และคณะด้วยรอยยิ้ม “มันยังมีอีกคนหนึ่งที่ร่างไม่สูงใหญ่ และแบกอาวุธบางอย่างคล้ายหอกทวนไว้บนหลัง เห็นแล้วจดจำได้ง่าย…”
สายตาของเขาตกไปยังเฒ่าบอดที่กำลังเดินออกมาจากเมือง จากนั้นกวาดไปทั่วทุกคนก่อนจะจับจ้องที่ฉินมู่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอรสเทพใต้พิภพฉินมู่ ฉินเฟิงชิง? เจ้านั้นไม่เลวเลย ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่ข้าพบเห็นในแดนโบราณวินาศ ก่อนหน้านั้นข้ารู้สึกประหลาดใจ และคิดว่าเจ้าทั้งประหลาดและเหนือธรรมดา”
ฉินมู่ไม่สนใจเขา สายตาของเขาตกลงไปยังมือข้างขวาของเทพสามขามีปีก ตรงนั้นไม่มีมืออยู่ เขาคือเทพเจ้าที่สับร่างท่านปู่คนแล่เนื้อออกเป็นสองท่อน และเป็นผู้พิทักษ์ท้องฟ้าจอมปลอมแห่งสันตินิรันดร์!
คนแล่เนื้อนำเอามือขาดออกมาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “เทพแห่งท้องฟ้าเบื้องบน เจ้าได้ไล่ตามมาที่นี่ก็เพราะกลิ่นอายของสิ่งนี้หรือไม่ เจ้าหมายที่จะล้างแค้นที่ถูกตัดมืออย่างนั้นหรือ ข้าเองก็อยากจะล้างแค้นในสิ่งที่เจ้ากระทำกับข้า แต่ทว่า มือของเจ้ายังอยู่กับข้า ขณะที่ร่างของข้าฟื้นฟูมาดีแล้ว ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า”
เขาโยนมือกระดูกไป และมันพุ่งกรีดฟ้าราวกับดาวตก ก่อนที่จะร่วงลงที่ข้อมือขวาของเทพครองดาวตะวัน อันเชื่อมต่อด้วยด้วยกันโดยอัตโนมัติ
สายตาของเทพครองดาวตะวันจับจ้องไปที่ร่างของเขา เขาขยับมือไปมารอบๆ กล่าวด้วยเสียงต่ำเบา “เจ้าคืนกระดูกมือให้กับข้าอันแสดงว่าเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาและผ่าเผย แต่โลหิต เนื้อ และหนังของมันล่ะ?”
“ถูกผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันกินไปหมดแล้ว เขาแทะกระดูกไก่ของเจ้าไม่เข้า ก็เลยเหลือแต่กระดูกตีนไก่เอาไว้” คนแล่เนื้อยกมีดของเขาขึ้นและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเราจะสู้กันที่นี่ไหม”
เทพครองดาวตะวันมองไปที่ฉินมู่และลังเล จากนั้นเขาก็มองไปยังคุณชายฉีเจี่ยวอี๋ และก็ลังเลอีกครั้ง
ฉินมู่มองไปที่คุณชายฉีอย่างสนอกสนใจและถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “พี่ชายท่านนี้ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เขามองไปที่อีกฝ่ายอย่างขอโทษขอโพย “เจ้าพูดอีกทีได้ไหม พอดีข้าไม่ทันตั้งใจฟังน่ะ”