ตอนที่ 590 คุณชายฉีเจี่ยวอี๋

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ฉีเจี่ยวอี๋เลิกคิ้วและไม่ทวนคำที่ตนเองพูดไป ไม่รองรับความต้องการของฉินมู่ จิตคิดของเขาเฉียบแหลมนัก และเขาสังเกตเห็นมีดคมอันซ่อนอยู่ในคำพูดของเด็กหนุ่มในทันที

ฉินมู่เป็นยอดฝีมือในการต่อสู้ทางจิตใจ และเก่งในด้านสร้างแรงกดดันไปยังกรอบคิดจิตใจของฝ่ายตรงข้าม เมื่อเขาพบยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง เขาจะแสดงท่าทีหวาดกลัวหากว่านั่นจะทำให้เป็นไปตามเป้าหมายของเขา เขาจะวิ่งหนีหากว่าทำให้ได้ในสิ่งที่ประสงค์ แต่เมื่อเขาพบกับคู่ต่อสู้ในระดับชั้นเดียวกัน เขาก็จะเริ่มต้นกดดันจิตใจของผู้อื่นตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตา!

เขาจะโจมตีจิตคิดและจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามเป็นอันดับแรก เพื่อสยบอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ว่าการกระทำหรือถ้อยคำใดๆ ที่ดูเหมือนสบายๆ ไม่ได้ตั้งใจ ล้วนแต่ใช้เพื่อเพิ่มพูนแรงกดดันลงไปยังฝ่ายตรงข้าม ทำให้อีกฝ่ายนั้นเสียเปรียบอ่อนแอ หรือกล่าวอีกอย่างรัศมีของศัตรูจะถูกเขากดดันลงไป

เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ศัตรูก็จะเริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเขา เมื่อพวกคนเหล่านั้นลงมือ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วเสี้ยวขณะที่จู่โจมแต่ละฝ่าย

เมื่อเวลาผ่านไป ความได้เปรียบเล็กน้อยก็จะถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดผลแพ้ชนะ

ไม่ว่าจะเป็นผานกงสั่วหรือซวีเซิงฮวา พวกเขาก็ล้วนแต่ได้ประสบวิธีการต่อสู้เช่นนี้ตอนที่เผชิญหน้ากับฉินมู่

หลังจากผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ก็จะเกิดกำแพงขึ้นมาในจิตของคู่ต่อสู้บางคน และฉินมู่ก็จะกลายเป็นเงาในจิตเต๋าของพวกเขา ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะถือเขาเป็นแหล่งที่มาของแรงกระตุ้นและพลังผลักดันที่ทำให้พวกเขาทำงานหนักขึ้น ปีนภูเขาลูกแล้วลูกเล่า

กลุ่มแรกก็อย่างเช่นผานกงสั่ว และกลุ่มที่สองก็อย่างเช่นซวีเซิงฮวาและเจ๋อหัวหลี

หลังจากผานกงสั่วถูกฉินมู่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ย่อมสูญเสียความกล้าที่จะต่อสู้กับฉินมู่ซึ่งๆ หน้า เมื่อพวกเขาพบกัน เขาก็จะจัดวางตำแหน่งของตนเองไว้ในฐานะผู้แพ้โดยไม่รู้ตัว และล่าถอยออกไปเสียก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเสียอีก

ในทางกลับกัน หลังจากที่ซวีเซิงฮวาพ่ายแพ้ให้แก่ฉินมู่ เขาก็ยิ่งต่อสู้ดิ้นรนอย่างดุดันมากขึ้น ถึงกับสรรค์สร้างวิธีการหลอมรวมสมบัติเทวะหกทิศและสมบัติเทวะเจ็ดดาวเข้าด้วยกัน นี่ทำให้ฉินมู่จำเป็นต้องไปขอเรียนรู้จากเขาอย่างจริงใจ และดังนั้นก็มอบความเหนือกว่าให้แก่ซวีเซิงฮวา

หลังจากเจ๋อหัวหลีพ่ายแพ้แก่ฉินมู่ เขาก็เดินไปไกลยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นในมรรคาวิชามีดของเขา และแม้กระทั่งเลือกที่จะช่วยชีวิตฉินมู่เมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงในจิตเต๋าของเขาฉายออกมาอย่างชัดเจน และนี่ทำให้ฉินมู่รู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงใช้แรงกดดันนั้นเพื่อเข้าสู่เขตขั้นเต๋าในวิชาฝึกปรือ

แม้ว่าการต่อสู้ของจิตจะไม่ตระการตา แต่พวกมันก็เป็นการทดสอบต่อจิตเต๋าแบบหนึ่ง

เขาคงจะเรียนวิธีการจู่โจมจิตเช่นนี้มาจากยอดฝีมือที่ถือมีดคนนี้ ฉีเจี่ยวอี้มองไปยังคนแล่เนื้อ การต่อสู้ระหว่างมีดเทวะและเทพครองดาวตะวันกำลังกระชั้นเข้ามา แต่กระนั้นเขาก็เลือกจะเป็นฝ่ายริเริ่มคืนกระดูกมือให้กับเทพครองดาวตะวัน นี่คือทักษะอันเลิศล้ำสุดขีดในการบดขยี้จิตเต๋าของฝ่ายตรงข้าม มันอาจจะดูเหมือนว่าเขาเพียงแค่คืนมือที่ตัดมากลับไป แต่จริงๆ แล้วมันคือการฟาดฟันลงไปบนจิตเต๋าของฝ่ายตรงข้าม เทพครองดาวตะวันเหมือนกับว่าเขาตั้งใจถามถึงเลือดและเนื้อบนมือของเขา แต่จริงๆ แล้วเขากำลังพยายามทำลายทักษะนี้ ฉินมู่ผู้นี้ดูท่าว่าจะเรียนทักษะดังกล่าวจากเขาด้วยเช่นกัน

ขั้นสุดท้ายของการเรียนรู้ คือการกระทำตามความรู้ที่ได้รับมา เห็นได้ชัดว่าฉินมู่บรรลุถึงขั้นนั้น

ฉีเจี่ยวอี๋แย้มยิ้มให้แก่เขา “สถานที่นี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมที่สุดในการต่อสู้กันของพวกเจ้า กองทัพเผ่ามารอยู่ข้างหน้านั่นเอง และพวกเขาสามารถทะลุทะลวงมาอย่างง่ายดาย และทำลายเมืองเทพยดาอันดูเหมือนจะยิ่งใหญ่อลังการนี้ และก็ง่ายที่ทัพมารจะพุ่งมาถึงที่นี่เพื่อกำจัดพวกเจ้าทั้งหมด เทพครองดาวตะวันเองก็กังวลว่าพวกเจ้าทุกคนจะร่วมมือกันเพื่อสังหารเขาและข้า”

“พวกเจ้ากังวลชีวิตของตนเอง และเขาก็กังวลสวัสดิภาพของข้า ดังนั้นทำไมพวกเราไม่เปลี่ยนสนามรบใหม่เสียล่ะ”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เฒ่าบอด เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ มองไปที่เขา ฉินมู่เองก็ประเมินเขาด้วยด้วยสีหน้าเครียดขรึม เดิมทีเขาคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ของเทพครองดาวตะวัน แต่จากคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าตัวเขาไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ภูมิหลังความเป็นมาของเขาจะต้องเลิศล้ำเหนือธรรมดา!

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยคำของเขาก็ทำลายและแก้ไขคำถามที่ฉินมู่ถามไปเมื่อก่อนหน้า อันแสดงว่าเขามีความสำเร็จอันสูงส่งในจิตเต๋า

ในเวลานั้น จิตเต๋าของซวีเซิงฮวาแทบจะแหลกย่อยยับลงอย่างสิ้นเชิง จากการทุบตีที่ฉินมู่มอบให้

“มู่เอ๋อ คนผู้นี้จะต้องเป็นศัตรูที่ยากเย็นสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน” เฒ่าบอดกล่าวแผ่วเบา “เขาสามารถมองทะลุความลวงของเมืองเทพยดาที่เฒ่าหนวกวาด! ฟู่ยื่อลัวและมารเทวะคนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นคนผู้นี้จะต้องมีความสำเร็จอันเลิศล้ำในเนตรเทวะอย่างแน่นอน!”

ฉินมู่ผงกหัว ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้สามารถมองทะลุภาพวาดของเฒ่าหนวกได้ เขาย่อมต้องมีความเลิศล้ำไม่ธรรมดา เขาจึงถามทันที “พี่ท่านนี้ ข้าจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร”

ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มน้อยๆ และเทพครองดาวตะวันกล่าว “คุณชายท่านนี้นามว่าฉีเจี่ยวอี๋”

ด้วยความตะลึงอยู่บ้าง ฉินมู่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “อี๋หมายถึงสติปัญญาอันมีมาตั้งแต่ยังเยาว์ และเจ้านั้นก็สูงส่งเป็นพิเศษ เจี่ยวอี๋หมายถึงเจ้ามีสติปัญญาสูงล้ำขนาดที่หนึ่งหัวไม่อาจรองรับสติปัญญาของเจ้าได้ แต่ต้องใช้เก้าหัว ข้าได้ยินว่าเจี่ยวอี๋มักจะใช้กล่าวถึงต้นอู่ถงโบราณ ต้นไม้อันนกหงส์เพลิงเกาะกิ่ง กล่าวอีกอย่าง มันคือสถานที่ที่นกหงส์เพลิงอยู่อาศัย เจี่ยวอี๋บางครั้งก็หมายถึงนกหงส์เพลิงเช่นกัน คุณชายฉี เจ้ามิใช่มนุษย์งั้นหรือ”

ฉีเจี่ยวอี๋มองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง “พี่ฉินมีความรอบรู้อย่างอัศจรรย์ ถามได้หรือไม่ว่าเจ้าเรียนมาจากใคร”

ฉินมู่ผายมือเชิญเฒ่าหนวกมาและกล่าว “อาจารย์ของข้า ศิลปากรศักดิ์สิทธิ์ ผู้เฒ่าหนวก”

ฉีเจี่ยวอี๋คารวะทักทายเขาและกล่าวชม “ในเมื่อท่านเป็นศิลปากรศักดิ์สิทธิ์ เมืองนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือของท่าน นี่นับว่าเป็นภาพอันยิ่งใหญ่อลังการ ท่านควรแก่การนับถือของข้า”

เฒ่าหนวกรับการคารวะนั้นด้วยอาการอันภาคภูมิผยอง

ฉินมู่แย้มยิ้ม “คุณชายฉีกล่าวว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ ดังนั้นท่านคิดว่าที่ใดที่พวกเราควรจะต่อสู้ล่ะ”

“ข้าได้ยินว่าพี่ฉินเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งสันตินิรันดร์ ไฉนพวกเราไม่ไปที่สันตินิรันดร์ล่ะ หากว่าพวกเราต่อสู้กันในเขตแดนของเจ้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าก็จะได้วางใจมากกว่า” ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

ฉินมู่สายตาวูบไหว “พี่ฉี การเดินทางกลับไปยังสันตินิรันดร์นั้นยาวไกล อย่างน้อยๆ ก็ห้าหกวัน บัดนี้เผ่ามารกำลังโจมตีสวรรค์ไท่หวง พวกข้าไม่อาจจากไปได้นานขนาดนั้น ทำไมไม่ให้ข้าเลือกสถานที่สักหน่อยล่ะ”

ฉีเจี่ยวอี๋ขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้น พี่ฉินจะเลือกสถานที่เช่นใด”

ฉินมู่ชี้ไปข้างหลังตนเอง

ฉีเจี่ยวอี๋แย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมืองนี้หรือ มันถูกวาดขึ้นมาโดยศิลปากรศักดิ์สิทธิ์ งั้นเจ้าไม่กลัวหรือว่าจะทำลายมันเข้าและเผยไต๋ของเจ้าออกไป”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไม่ได้หมายถึงในเมืองนี้ แต่ตรงหน้าระหว่างทัพทั้งสอง เจ้ามาเสาะหาข้าสินะ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นคนเลือกสถานต่อสู้! และข้าเลือกที่จะต่อสู้ระหว่างนักรบมารอันห้าวหาญนับล้านกับเมืองเทพยดาแห่งนี้ พี่ฉี เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่”

ฉีเจี่ยวอี๋เลิกคิ้ว

เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด และคณะหันไปมองกันไปมา รู้สึกค่อนข้างกระสับกระส่าย

ฉินมู่กล่าวว่าพวกเขาจะต่อสู้กันตรงหน้ากองทัพทั้งสอง แต่จริงๆ แล้วมันมีแค่ทัพมารทัพเดียว เพราะถึงอย่างไร เมืองเทพยดานั้นเป็นเพียงภาพวาด ปืนใหญ่และเทพเจ้าเกือบทั้งหมดเป็นของปลอม ไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน พวกมันก็อยู่ที่นั่นเพื่อสร้างภาพ แต่ไม่มีพลานุภาพมากมายนัก

นี่หมายความว่า หากพวกมารเข้าโจมตี พวกเขาก็จะถูกท่วมโถมโดยกองทัพใหญ่ และไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้อย่างแน่นอน!

คนแล่เนื้อหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าว “มู่เอ๋อนับว่าเป็นผู้มีจิตวิญญาณอันห้าวหาญที่สุด! ยอดเยี่ยม! ข้าเองก็จะต่อสู้กับเทพเจ้าตนนี้เหนือท้องฟ้าระหว่างทัพทั้งสอง! เทพไก่ เจ้ากล้าหรือเปล่า”

เทพครองดาวตะวันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองไปยังฉีเจี่ยวอี๋ เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนจะพลันระเบิดหัวเราะออกมา “แม้แต่พี่ฉินยังกล้า ทำไมข้าถึงจะไม่กล้า เทพครองดาวตะวัน เจ้านั้นกังวลจนเกินเหตุ เจ้าให้ความสำคัญกับข้ามากเกินไป และหากว่าเจ้าต่อสู้กับยอดฝีมือด้วยกรอบคิดจิตใจเช่นนี้ เจ้าก็จะสูญเสียความได้เปรียบอย่างง่ายดาย เจ้าจะไม่ปรับกรอบคิดจิตใจของเจ้าหน่อยหรือ”

เทพครองดาวตะวันตื่นตะลึง

ฉีเจี่ยวอี๋แย้มยิ้ม “ในเมื่อพี่ฉินเสนอมา ถ้าเช่นนั้นก็…เชิญ!”

ฉินมู่หันกลับและเดินตรงไปยังเมืองเทพยดาด้วยความรู้สึกชื่นชมมากมาย ฉีเจี่ยวอี๋ผู้นั้นเลิศล้ำไม่ธรรมดา ข้าสงสัยเสียจริงว่าเขามาจากที่ไหน ถึงกับฝึกจิตเต๋าไปจนถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าข้า น่าประทับใจจริงๆ!

คนแล่เนื้อเดินมาเคียงข้างเขาด้วยฝีเท้าอันก้าวอาด ยายเฒ่าซี เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ ตามไปข้างหลัง ระหว่างที่มองไปซึ่งกันและกันด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด เฒ่าบอดกล่าวด้วยเสียงเบา “หรือว่าพวกเราขึ้นไปด้วยกันทั้งหมด และกลุ้มรุมกำจัดเทพครองดาวตะวันนี้กับไอ้นกเก้าหัวเลยดีไหม หากว่าพวกเราลงมือพร้อมๆ กัน กำจัดพวกเขาก็คงไม่ยาก พวกเราสามารถสังหารทั้งคู่ได้ภายในหนึ่งก้านธูป!”

“หากพวกเราต่อสู้กันที่นี่ เผ่ามารก็จะสามารถมองออกได้ว่าอะไรจริงและลวงได้อย่างง่ายดี” เฒ่าหนวกส่ายหัวและกล่าว “เทพครองดาวตะวันนี้รับมือไม่ง่าย มีดวงอาทิตย์ใหญ่ติดตามเขามาข้างหลัง และจะต้องสะดุดสายตาของเผ่ามารตั้งนานแล้ว เพียงแต่พวกมารยังไม่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังรอที่จะลงมือ หากว่าพวกเราต่อสู้กับเขา ต่อให้พวกเรากดดันเขาได้ พวกมารก็จะรู้ว่าพวกเรากำลังเผชิญกับศัตรู”

ทุกคนมีสีหน้าเครียดคล้ำ หากว่าพวกเขาไม่อาจกำจัดเทพครองดาวตะวันได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุด ฟู่ยื่อลัวก็จะสามารถมองทะลุพวกเขาและรู้ว่าพวกเขาใช้เมืองว่างเปล่ามาข่มขวัญ

และหากว่าเทพครองดาวตะวันทำลายเมืองเทพยดาระหว่างการต่อสู้ ฟู่ยื่อลัวก็จะมองทะลุภาพมายา

หนทางที่ดีที่สุดคือตามที่ฉินมู่เสนอแนะ ให้ท้าทายพวกเขาอย่างโอ่อ่าผ่าเผยตรงหน้าทัพมาร เอาชนะและอาจจะถึงกับสังหารเทพครองดาวตะวันและฉีเจี่ยวอี๋!

แม้ว่ามันจะอันตราย แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเอาชีวิตรอด!

ที่ค่ายใหญ่ของเผ่ามาร มารเทวะทั้งหลายกำลังขับเคลื่อนเนตรมารเพื่อสำรวจเมืองเทพยดาอีกฟากฝั่ง

ฟู่ยื่อลัวอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป และกำลังจะสั่งบุกเมืองเทพยดา แต่ทันใดนั้นประตูเมืองก็เปิดออกกว้าง ด้วยความตกตะลึง ฟู่ยื่อลัวกลืนถ้อยคำที่เขากำลังจะกล่าว เขายกมือขึ้นห้ามกองทัพมารซึ่งกำลังจะเข้าไปโจมตี

ฉินมู่ ฉีเจี่ยวอี๋ คนแล่เนื้อ และเทพครองดาวตะวันยังคงเดินต่อไปข้างหน้า มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะมุ่งหน้าตรงมายังค่ายทัพหลวงของเผ่ามาร

มีคนเพียงแค่นี้หรือที่เดินออกมาจากเมือง เทพเที่ยงแท้ผางอวี้คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก ฟู่ยื่อลัวยิ้มหยันและกล่าว “ก็แค่เทพอ่อนแอไม่กี่ตน! ใครจะอาสาออกไปสังหารพวกเขากับข้า”

“ช้าก่อน!” เมื่อลู่หลีเห็นฉีเจี่ยวอี๋และเทพครองดาวตะวัน สีหน้านางก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว นางรีบยกมือห้ามและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บุคคลจากฝ่ายตรงข้ามเป็นชนชั้นสูงจากสภาสวรรค์ ฟู่ยื่อลัว เจ้าไม่อาจล่วงเกินชนชั้นสูง!”

ฟู่ยื่อลัวหัวใจเต้นตุ้มต่อม “ชนชั้นสูง? หรือว่า…”

สีหน้าของลู่หลีเดี๋ยวก็คล้ำเดี๋ยวก็ซีดเผือด นางกัดฟันกรอดๆ แล้วยิ้มหยัน “นี่เป็นชนชั้นสูงที่จุติลงมาจริงๆ ทำไมชนชั้นสูงผู้นี้ถึงลงมายังโลกต่ำใต้ หรือว่าพวกเบื้องบนนั้นรู้เรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับไอ้เด็กน้อยแห่งตระกูลฉิน และมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์…มันจะต้องเป็นไอ้พวกที่อยู่ในแดนใต้พิภพที่หักหลังข้า! ให้สวรรค์สาปเถอะ มันคือหานเหลย หรือเสวียนหมิง? หรือจะเป็นเจว้หวง? พวกเขาเก่งเหลือเกินกับการแทงข้างหลังข้า แต่ทีตอนที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา จะขยับตูดสักนิดก็ไม่ขยับ!”

“สหายเต๋าลู่ เด็กหนุ่มแซ่ฉินยืนอยู่ข้างๆ กับชนชั้นสูงที่เจ้าพูดถึง!” ฟูยื่อลัวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

สายตาของลู่หลีตกลงไปยังฉินมู่ และเขาสัมผัสมันได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังค่ายทัพใหญ่ เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นสายตาของผู้ใด แต่ก็ยังคงเผยรอยยิ้มอันแจ่มจ้า

ลู่หลีแค่นเสียง “เขาโตขึ้นมาหล่อเหลาน่ามองกว่าเดิมมาก ตอนที่เขายังเล็กๆ อัปลักษณ์เสียจนภูตผีต้องหวาดกลัวจนขาดใจตาย!”

ฉินมู่หยุดอยู่ที่ระยะหนึ่งร้อยลี้ตรงหน้าค่ายหลวงของพวกมารและกล่าวด้วยเสียงอันกึกก้องกังวาน “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่น้อมคารวะวีรชนทั้งหลายแห่งเผ่ามาร และผู้กล้าหาญแห่งสภาสวรรค์ ข้าใคร่ขอเรียนเชิญผู้มีฝีมือความสามารถแห่งเผ่ามาร มีพวกเจ้าคนใดที่กล้าออกมาและประทานการสั่งสอนแก่ข้าหรือไม่”

เสียงของเขาใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะเดินทางไปถึงค่ายใหญ่ของพวกมาร แม้ว่ามันจะแว่วมาบางๆ แต่ก็เข้าหูของมารเทวะมากมายเหล่านั้นอย่างชัดเจน

สีหน้าของพวกเขาวูบไหวไปมา ใบบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของมารเทวะ ยอดฝีมือมารในขั้นวรยุทธเดียวกันกับฉินมู่ ถูกเขาสังหารไปแทบจะหมดเกลี้ยง

“ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ ขั้นเป็นตาย และขั้นสะพานเทวะก็สามารถเข้ามาชี้แนะสั่งสอนข้าได้” เสียงของฉินมู่ดังไปอย่างชัดเจน “พวกที่วรยุทธต่ำกว่านั้นก็เข้ามาได้ด้วยเช่นกัน ข้าจะปิดผนึกสมบัติเทวะของข้าและต่อสู้กับพวกเจ้าอย่างยุติธรรม! มีใครกล้าสู้กับข้าหรือไม่”

ผ่านไปสักพักโดยไม่มีเสียงตอบรับ เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วค่ายหลวงของเผ่ามารอีกครั้ง “พวกมารมีแต่ขี้ขลาด พี่ฉี ดูท่าข้าและท่านคงจะต้องต่อสู้กันเองแค่สองคนแล้วล่ะ”

ทันใดนั้น ประตูค่ายใหญ่ของเหล่ามารก็เปิดออก และยอดฝีมือมารที่โกรธเกรี้ยวก็กรูกันออกมา พวกเขาตะโกนอย่างเดือดดาล “ไอ้เด็กเผ่ามนุษย์ เจ้ากล้าหมิ่นหยามพวกเราว่าเผ่ามารไร้ผู้กล้าหาญได้ยังไง!”

ฉินมู่เผยรอยยิ้มและกล่าวแก่ฉีเจี่ยวอี๋ “เจ้าคิดว่าอย่างไร หากว่าพวกเราจะอุ่นเครื่องกันก่อนเสียหน่อย”