หวังโอ้วกุ้ยอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “แบบนี้ก็ดี หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันจะไม่พูดวกไปวนมาแล้วกันนะ คือแบบนี้ นี่ก็จะปีใหม่แล้ว ตอนนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก ทุกคนต่างติดคำกลอนคู่กัน ปีที่แล้วๆ มาทุกคนออกไปซื้อ ตอนนี้หมู่บ้านเรามีนักเขียนพู่กันจีน ทุกคนเลยไม่อยากออกไปซื้อ อยากให้แกเขียนคำกลอนให้ทุกคน…ดูสิ…” หวังโอ้วกุ้ยแบมือ ความหมายคือเรื่องเป็นแบบนี้ แกดูสิ

ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้อีก? นี่คือคนในหมู่บ้าน ไม่มีทางปฏิเสธได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้หวังโอ้วกุ้ยก็เคยพูดถึงเรื่องนี้มาแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ถือว่ามาอย่างกะทันหัน ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตกลงอย่างยินดี

เห็นฟางเจิ้งตกลง พวกชาวบ้านต่างดีใจ กลัวจริงๆ ว่าฟางเจิ้งจะมีกฎแปลกๆ อะไรอีกไหมที่จะปฏิเสธพวกเขา

พวกชาวบ้านดีใจ พวกซุนก้วนอิง โอวหยางเฟิงหวาก็เห็นความหวัง พาคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเข้ามาทักทาย

ฟางเจิ้งจำซุนก้วนอิงได้ เห็นซุนก้วนอิงแวบแรกก็ตกใจสะดุ้ง รีบกล่าว “อมิตพุมธ โยม ถ้าจะมาประลองพู่กันจีนอีกก็เชิญกลับเถอะ จากนี้อาตมาจะไม่ประลองกับใครอีกแล้ว”

“ไต้…หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้มาประลอง แต่มาขออักษร” ประลองศิลปะพู่กันจีน? หลังเห็นอักษรพุทธองค์มังกรของฟางเจิ้งแล้ว เขาจะมีความมั่นใจจากไหนมาท้าประลองกับฟางเจิ้ง! เว้นแต่ไม่มีสมอง!

ฟางเจิ้งงงงัน ชาวบ้านขออักษรเข้าใจ แต่นักเขียนพู่กันจีนเหล่านี้มาขออักษร ไม่เข้าใจเลย! ก็แค่คำกลอนคู่บทเดียวไม่ใช่หรือ? เขียนเองก็ได้นี่?

ฟางเจิ้งไม่ตอบ พวกซุนก้วนอิงรู้สึกใจคอไม่ดี หรือว่าเรื่องนี้จะคว้าน้ำเหลว? ถ้าฟางเจิ้งปฏิเสธจะทำยังไง? แต่ละคนจึงมองฟางเจิ้งอย่างร้อนรนไม่เป็นสุข

โอวหยางเฟิงหวาเข้ามาใกล้ กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “หลวงพี่ ท่านคงยังไม่โกรธพวกเราอยู่ใช่ไหม? เอ่อถ้าอย่างนั้นฉันขอโทษท่านดีไหม?”

“ใช่ๆๆ พวกเราก็จะขอโทษท่านด้วย ครั้งก่อนมาก่อความวุ่นวายบนเขา ทำผิดกฎ” มีคนขานรับทันที

ฟางเจิ้งรับส่ายหน้า “อมิตพุทธ พวกโยมเข้าใจผิดแล้ว แค่อาตมาคิดไม่ถึงว่าทุกคนจะมาขออักษรก็เท่านั้นเอง ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็เขียนให้ด้วยกันเลย” ฟางเจิ้งขบคิด ของชาวบ้านเขียน ของคนพวกนี้ก็เขียน ยังไงก็ได้! วันนี้ฉลองวันปีใหม่เล็ก ทุกคนมีความสุขก็ดีแล้ว

ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันดีใจใหญ่!

ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าอักษรของเขาล้ำค่าขนาดไหน แต่พวกเขารู้! อักษรดีแบบนี้ขอไม่พูดว่าหนึ่งตัวเท่าทองคำจำนวนมาก แต่หนึ่งตัวหนึ่งพันหยวนอันนี้ได้! เอาไปแปะไว้ที่บ้าน ใส่กลิ่นหอมของกระดาษเข้าไป ถ้าวันใดอักษรของฟางเจิ้งดังขึ้นมาจะทำเงินได้! ที่สำคัญคือมองจากอักษรดีๆ เหล่านี้แล้วรู้สึกสบาย ถ้าตระหนักผิวเผินจะได้รับคุณความรู้ไม่น้อย!

เดิมทีหลิวซูชิงอยู่ท้ายสุด ทิวทัศน์บนเขาเอกดรรชนีก็ไม่เลว ถ่ายภาพไปเล็กน้อยเอาไปวาดภาพ แถมยังแต่งกลอนหนึ่งบท นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวครั้งหนึ่ง ส่วนคนข้างหน้าคุยอะไรเขาไม่สนใจ

พอฟางเจิ้งมา หลิวซูชิงเพียงแค่กวาดสายตามองแล้วส่ายหน้า ทั้งยังคิดว่าไม่เห็นด้วย ‘หลวงจีนอายุน้อยแบบนี้เขียนอักษรอะไรออกมาได้? ต่อให้เริ่มเขียนจากท้องแม่ก็มีความชำนาญไม่เกินสิบกว่าปี? หรือว่าจะเขียนดีกว่าซุนเหล่า? เฮ้อ…ไม่รู้จริงๆ ว่าหลวงจีนนี่มีเบื้องหลังอะไร อยากจะให้ทุกคนชมกับสร้างกระแสแบบนี้’

หลิวซูชิงพึมพำใจ เดินอ้อมทุกคนไป ไม่สนว่าทุกคนจะพูดอะไร เขาสนแค่ตัวเองเท่านั้น

มาถึงหน้าประตูวัดก็หยิบมือถือมาจะถ่ายรูป แต่กลับอึ้งอยู่ที่เดิม!

วางมือถือลง หลิวซูชิงมองคำกลอนหน้าประตูวัดราวกับเห็นผี! มองแวบแรกเขาเหมือนเห็นพระพุทธองค์ขี่มังกรเทพ เหลือไว้เพียงเหมือนรอยประทับ!

อักษรที่แข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ คนที่มองจะเลือดร้อน แต่กลับรู้สึกว่ามีกลิ่นอายมโหฬารลงมาจากฟ้า ชะล้างทั่วร่าง กวาดความกลุ้มในใจจนหายไป! จิตใจสงบ!

“นะ…นี่มันอักษรอะไร?” หลิวซูชิงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา

“อาหลิว นี่คืออักษรของไต้ซือ เป็นยังไง? น่าตะลึงใช่ไหมล่ะ?” โอวหยางเฟิงหวาไม่รู้มาอยู่ข้างหลิวซูชิงตั้งแต่เมื่อไร เห็นสีหน้าหลิวซูชิงแล้วก็ยิ้มพอใจมาก

หลิวซูชิงพยักหน้ารัวๆ “น่าตะลึงมาก! มิน่าพวกเธอถึงประจบเขาแบบนี้ อักษรนี่ดีจริงๆ!”

“อาหลิวคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่ได้ประจบไต้ซือ แต่ไต้ซือมีความสามารถจริงๆ ต่างหาก! เพียงแต่เขาเป็นคนถ่อมตัวก็เท่านั้น” โอวหยางเฟิงหวามองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหลงใหลและเลื่อมใส เธอเกิดในตระกูลนักเขียนพู่กันจีน ภายใต้การถูกหล่อหลอมโดยสภาพแวดล้อมตั้งแต่เล็ก คนธรรมดาจึงเทียบความรักต่อศิลปะพู่กันจีนกับเธอไม่ได้!

เธอเป็นนักเขียนพู่กันจีนอันดับหนึ่งในชั้นเรียนและโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก ได้ใบรับรองมาทุกใบ ได้รับการยอมรับจากทุกที่ ประหนึ่งดาราในอนาคตวงการศิลปะพู่กันจีน! เธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาจะต้องเป็นไต้ซือศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศให้ได้!

เธอที่ได้รับการยอมรับท้าประลองกับนักเขียนพู่กันจีนอายุเดียวกันมาตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนสู้กับเธอได้! ทว่าพอได้เห็นอักษรของฟางเจิ้งแล้วก็รู้เลยว่าอักษรของเธอเป็นเรื่องตลก!

อายุเท่ากันทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้? เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเณร ทำไมหัวเราะแล้วถึงเปล่งแสงสว่างจ้าขนาดนั้น จะทำอะไรก็ทำให้คนรู้สึกสบายไปหมด?

พูดตามหลักแล้ว เธอควรจะมองคนที่กดอยู่เหนือเธอทุกด้านเป็นศัตรูถึงจะถูก ทว่าพออยู่ต่อหน้าฟางเจิ้ง เธอกลับเกิดความเลื่อมใส…นี่ทำให้เธอตกใจ! คิดว่าควรจะเกิดความรู้สึกนี้กับบิดาถึงจะถูก…

“อัจฉริยะจริงๆ แต่ไม่เคยเห็นเขาเขียนอักษรด้วยตัวเองมาก่อน ฉันยังไม่ยอมรับหรอก! ไป ไปดูกัน!” หลิวซูชิงอยากรู้อยากเห็นมากว่าเณรจะเขียนอักษรแบบนี้ได้จริงๆ หรือ?

แต่ตอนนี้เองภายใต้การช่วยงานของทุกคน โต๊ะจึงวางเรียบร้อย ปูด้วยกระดาษสีแดงไว้เขียนคำกลอน ซุนก้วนอิงถึงกับบดหมึกให้ฟางเจิ้งด้วยตัวเอง

หวังโอ้วกุ้ยหยิบสมุดเล็กวางไว้ตรงหน้าฟางเจิ้ง “ทุกคนอยากได้คำกลอนแบบไหนก็เขียนลงไปข้างบน แกแค่ดูและเขียนเถอะ ส่วนของใครก็มาเอาเองแล้วกัน”

ฟางเจิ้งพยักหน้า โบกพู่กัน ตวัดเป็นลายมังกร อักษรเลิศล้ำยิ่งใหญ่เต้นยิกๆ บนกระดาษราวกับมีชีวิต!

ระหว่างเขียน เหมือนมีเสียงฟ้าผ่ากับมังกรโลดแล่นดังขึ้น แต่เป็นเพียงความรู้สึกไปเอง ความจริงไม่มีผลแบบนี้

หลิวซูชิงมองอักษรไม่กี่ตัวก็ยอมจำนนจนหมดสิ้น จ้องไปไม่กล้าใจลอยอีก! อักษรดีแบบนี้ ถ้าได้เห็นน้อยลงจะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!

ฟางเจิ้งไม่เขียนก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเขียนกลับมีความรู้สึกที่วางมือไม่ลง! ตั้งแต่เรียนอักษรพุทธองค์มังกรก็ไม่มีพู่กันกับหมึกพอจะเขียนบนกระดาษมาตลอด วันนี้มีพู่กันหมึกและกระดาษใช้อย่างเต็มที่เลยวางมือไม่ลงเลย!

ประกอบกับวันนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก บนเขาคึกคักจิตใจก็สบายไปด้วย ย่อมสำราญใจกว่าเดิม โบกพู่กันใหญ่ เขียนเร็วขึ้นเรื่อยๆ อักษรก็ดีขึ้น มีความยิ่งใหญ่ทรงพลังมากขึ้น!

อีกทั้งทั่วร่างฟางเจิ้งยังแผ่เอกลักษณ์ของพุทธองค์มังกรออกมา ในความน่าเกรงขามและเคร่งขรึมกลับมีความเมตตาในใต้หล้า ไม่ว่าใครมองจะติดเชื้อกลิ่นอายของฟางเจิ้ง ไม่กล้าคิดเรื่อยเปื่อยในใจ

………………