แม้ว่าจะมีคนมาสามร้อยกว่าคนบนเขา แต่ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นที่เขียนจริงๆ คือร้อยกว่าชุด!

ฟางเจิ้งเขียน หวังโอ้วกุ้ยพลิก แต่ไม่นานหวังโอ้วกุ้ยก็พบว่าเขาตามความเร็วฟางเจิ้งไม่ทัน! โอวหยางเฟิงหวารีบเข้ามาช่วย คนหนึ่งพลิกหน้าอย่างรวดเร็ว อีกคนถือกระดาษสีแดงที่เตรียมไว้เขียนคำกลอนคู่ล่วงหน้า รอแค่ฟางเจิ้งมาเขียน ส่วนฟางเจิ้งก็เขียนจากทางนี้ไปทางนั้น ยุ่งแต่ก็มีความสุข

ไม่นานก็เขียนเสร็จร้อยกว่าชุด!

ชาวบ้าน สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนมองอักษรในมือด้วยรอยยิ้มมีความสุข อักษรดีแบบนี้ยากจะได้ครองทั้งชีวิต พูดตรงๆ คือร่ำรวยแล้ว!

ฟางเจิ้งก็เขียนจนคุ้นชินและมีความสุขเหมือนกัน! กล่าวปลงอนิจจังภายในใจ ‘การเขียนอักษรยังต้องใช้พู่กันหมึกกระดาษจานฝนหมึก การเขียนบนหิมะจะมีอะไรขาดหายไป’

เขียนคำกลอนคู่เสร็จ ทุกคนก็เอ่ยลาอย่างคึกคักดีใจ เห็นจะเที่ยงแล้วเลยจะกลับไปเตรียมทำอาหาร

ฟางเจิ้งส่งทุกคนแล้วหันหน้ากลับ พบว่ายังมีคนไม่ไป!

โอวหยางเฟิงหวายืนสูงโปร่งอยู่หน้าประตู มองฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งเดินเข้าไปถาม “อมิตาพุทธ โยมมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

“หลวงพี่ คือแบบนี้ พ่อฉันให้มาบอกท่านว่าถ้าจะขยายวัด ครอบครัวพวกเราจะช่วยเอง” โอวหยางเฟิงหวากล่าว

ฟางเจิ้งอึ้งงัน ไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายแบบนี้! แต่ใบหน้ายังคงยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือ “ขอบคุณความหวังดีของโยมมากนะ”

“เอาล่ะ ฉันพูดเรื่องของพ่อจบแล้ว มาพูดเรื่องของฉันดีกว่า” โอวหยางเฟิงหวากลอกตาไปมา พูดยิ้มๆ

ฟางเจิ้งกังวลแล้ว เด็กคนนี้มีเรื่องอะไรกัน?

โอวหยางเฟิงหวาเอ่ยต่อ “หลวงพี่ ฉันอยากเรียนการเขียนพู่กันจีนของท่าน เอ่อ…ได้ไหมคะ?”

ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีจริงๆ การขยายวัดยังมีเงื่อนไข…แม้เงื่อนไขนี้จะไม่เกินไปก็เถอะ

แต่ฟางเจิ้งก็ยังปฏิเสธ “โยม อาตมาเป็นนักบวช จะไปสอนโยมได้ยังไง? อีกอย่างที่นี่วัด ชายหญิงอยู่ด้วยกันไม่เหมาะสม ถ้าโยมไม่มีธุระอะไรแล้วเชิญลงเขาเถอะ”

โอวหยางเฟิงหวาสวยไหม? คำตอบของฟางเจิ้งคือแน่นอน มีความร่าเริง สวย แต่ยิ่งสวยเท่าไรฟางเจิ้งก็ยิ่งปฏิเสธ! มองได้แต่กินไม่ได้ นั่นต่างหากคือทุกข์ยากแท้จริง! เขาไม่อยากหาเรื่องทุกข์ให้ตัวเอง มิหนำซ้ำวัดก็ไม่เหมาะจะให้ผู้หญิงอยู่จริงๆ ทั้งวัดมีเขาคนเดียวเป็นชายโสดโดดเดี่ยวก็มีเรื่องยุ่งยากมากพอแล้ว

โอวหยางเฟิงหวาไม่คิดเลยว่าฟางเจิ้งจะปฏิเสธตรงไปตรงมาแบบนี้ อีกทั้งยังเดินหนีไป ไม่คิดจะหันกลับมาเลยจึงร้อนใจ ร้องเรียก “หลวงพี่ ฉันอยู่ใต้เขาได้! ขึ้นเขามาเรียนทุกวันไม่ได้เหรอ? รับประกันว่าจะไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของท่านอย่างเด็ดขาด!”

ฟางเจิ้งโบกมือสื่อว่าไม่ได้เลย น่าตลก อธิบายก็ไม่ตรงจุดสำคัญ แล้วจะไปรับได้ยังไง?

ประตูใหญ่ปิดลง โอวหยางเฟิงหวายืนโกรธอยู่นอกประตู รออยู่นานฟางเจิ้งใจแข็งไม่รับเธอเป็นศิษย์จริงๆ ถึงกระทืบเท้าเดินลงเขาไป

เธอกลับไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไม่ได้ไป แต่นั่งยองฟังเสียงข้างนอกอยู่ตรงประตู

พอได้ยินเสียงฝีเท้าไปไกล ฟางเจิ้งถึงนอนหมอบอยู่บนสันกำแพง โผล่หัวออกไปมองเงาแผ่นหลังเล็กๆ ของโอวหยางเฟิงหวาพลางส่ายหน้าเล็กน้อย สวดไปบทหนึ่ง “อมิตพุทธ ประเสริฐๆ อาตมามีความแน่วแน่ใช้ได้เลย”

พูดจบเขาก็หัวเราะ ทำสิ่งที่ควรแล้ว ไม่ใส่ใจเรื่องโอวหยางเฟิงหวาเลย เรื่องชายหญิง? เขาไม่คิดถึงเลย…

ใต้ภูเขา อำเภอซงอู่

พวกนักเขียนพู่กันจีนยังไม่กลับบ้าน แต่ไปยังบริษัทติดกรอบภาพทันที เมื่อใส่กรอบคำกลอนที่ฟางเจิ้งเขียนให้แล้วก็แขวนเอาไว้หน้าประตูบ้าน…

“ตาแก่ ไปเอาวัตถุโบราณนี่มาจากไหน? ไม่ได้ถูกหลอกมาใช่ไหม?” หลัวผิงภรรยาซุนก้วนอิงที่กำลังล้างผักเห็นซุนก้วนอิงกลับมาแล้วก็ขยับคำกลอนคู่นั้นไปมา จึงยิ้มถามขึ้น

“วัตถุโบราณอะไร นี่คืออักษรที่ไปขอมาในวันนี้ อักษรดีจริงๆ! มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ” ซุนก้วนอิงมองอักษรหน้าประตูอย่างปลื้มอกปลื้มใจ

“ที่ไปขอมาวันนี้? คุณไปขออักษร? เฮ้ย หายากนะเนี่ย คุณเป็นพวกมองตัวเองสูงมาตลอด คิดว่าอักษรตัวเองดีที่สุดไม่ใช่เหรอ? ทำไม? เปลี่ยนนิสัยแล้ว?” หลัวผิงพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ มองอักษร

“เฮ้ยตาแก่ ทำไมอักษรนี่สวยขนาดนี้ล่ะ! แค่มองความว้าวุ่นในใจฉันสงบลงเยอะเลย เหมือนกับมีพระพุทธอยู่ในนั้นเลย…คุณคงไม่ได้ไปขอมาจากวัดไหนหรอกใช่ไหม?” หลัวผิงร้องด้วยความตกใจ

ซุนก้วนอิงหัวเราะ “ใช้ได้นี่! คุณมองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่ามาจากมือพระอาจารย์จากวัด เดี๋ยวนี้เข้าใจวัฒนธรรมกับเขาด้วยแล้วเหรอ เหอะๆ…” ซุนก้วนอิงหัวเราะเสียงดัง แต่ในใจกลับตกตะลึงมาก การที่อักษรแฝงข้อมูลของผู้เขียนเล็กน้อยได้ถือว่าปกติมาก ทว่าทำให้คนที่ไม่เข้าใจอักษรมองเห็นเสน่ห์ในนั้นได้นี่ไม่ธรรมดาเลย!

ซุนก้วนอิงคิดได้ดังนั้น ก็วางแผนไว้ในใจแล้ว…บางทีปีหน้า…

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านนักเขียนพู่กันจีนคนอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน แต่ละคนแขวนภาพไว้ดั่งสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่าต้องดึงดูดสายตาคน แขกที่มาหรือเพื่อนสนิทเห็นแล้วต่างพากันเอ่ยชม ทุกคนได้หน้ากันพอดู ขณะเดียวกันในใจยังเกิดความเคารพต่อฟางเจิ้ง นี่เพิ่งจะอายุสิบกว่าๆ ก็มีความสามารถแบบนี้แล้ว ถ้าให้เวลาเขาอีกล่ะจะเป็นยังไง…

‘อำเภอซงอู่ของฉันจะมีนักเขียนพู่กันจีนชื่อดังแล้ว!’ นี่คือความปลงในใจของทุกคน! พร้อมกันนั้นยังนึกถึงความบุ่มบ่ามของตัวเอง จึงหน้าแดง…

ขณะทุกคนแสดงผลงานคำกลอนคู่ ในกลุ่มวีแชตก็เกิดการปะทุขึ้น คนมากมายพูดคุยกันถึงคำกลอนคู่ของฟางเจิ้ง เพียงแต่ว่าในเนื้อหาไม่มีใครพูดถึงคน แต่พูดถึงอักษรทั้งหมด!

พวกนักเขียนพู่กันจีนก็ไม่ได้ปิดบัง แต่ช่วยกันแนะนำฟางเจิ้งกับวัดเอกดรรชนี ตอนนี้วัดเอกดรรชนีมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น!

วันที่สองเป็นข่าวในท้องถิ่น! น่าเสียดาย ข่าวท้องถิ่นได้รับความสนใจน้อยเกินไป…ทว่าชื่อเสียงก็เพิ่มขึ้นตามมาไม่น้อย

ฟางเจิ้งในตอนนี้กำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ทำโคมไฟน้ำแข็งอย่างจริงจัง! เขาว่างไม่มีอะไรทำ ว่างก็ว่างอีก เลยทำโคมไฟน้ำแข็งประดับไว้ทั้งวัด กลายเป็นภารกิจสำคัญของเขาตอนนี้

หลายวันต่อมาฟางเจิ้งทำโคมไฟทำแข็งจำนวนมากในรอบเดียว ทุกวันจะทำเล็กน้อย เริ่มจากประตูวัด ทุกช่วงระยะห่างจะมีตุ๊กตาหิมะ ตรงหัวมันจะวางโคมไฟน้ำแข็งใหญ่ไว้ และจะวางไว้ตลอดทางจนถึงทางขึ้นเขา ใช้เป็นไฟส่องทาง…

เห็นจะปีใหม่แล้ว ผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยขึ้นเขามาครั้งหนึ่ง ได้เห็นฟางเจิ้งทำโคมไฟน้ำแข็งจำนวนมาก วันที่สองก็ให้หยางผิงเอาเทียนมัดใหญ่มาให้ ซึ่งพอจะให้ฟางเจิ้งใช้ตามอำเภอใจ

นี่ทำให้ฟางเจิ้งมีความสุขมาก ทำโคมไฟน้ำแข็งเพิ่มอีกเยอะ วางไว้ตามพื้นที่โล่งเป็นกองใหญ่

ปีหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ตรุษจีนหนึ่งครั้งในหนึ่งปีจะมีเสียงประทัดคู่ดังสนั่นตามมา ในที่สุดฟางเจิ้งก็ใส่เทียนในโคมไฟน้ำแข็งทั้งหมด ส่องแสงบนยอดเขา มองไกลๆ ราวกับว่าบนเขาเอกดรรชนีมีแสงพระธรรมสว่างไสว ดูสวยงามเป็นพิเศษ

สวบ!

เสียงแหลมดังขึ้น

ปัง!

ดอกไม้ไฟแตกกระจายออกบนฟ้า หมายถึงการมาของเที่ยงคืน

ฟางเจิ้งมองดอกไม้ไฟบนฟ้าพลางควักมือถือออกมาถ่ายรูปอย่างสำราญใจ! ทว่ารู้สึกแน่นๆ ข้างหลัง เป็นกระรอกน้อยปีนขึ้นมา แยกเขี้ยวทำสีหน้าว่าฉันโหดมากใส่กล้อง

……………