ตอนที่ 119 ไต้ซือก็แอ๊บแบ๊วเป็นเหมือนกัน

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งพลันหัวเราะ สะบัดมือ แชะ! ถ่ายมาหนึ่งรูป

เขาดูรูปที่ถ่าย เห็นว่าแปลกดี! ถ่ายต่อ!

กระรอกน้อยเหมือนรู้ว่าฟางเจิ้งคิดอะไรอยู่ มันดึงหูเขา อ้าปากกว้างทำท่าทางจะงับ แถมยังทำสีหน้าโหดเหี้ยมมาก

ฟางเจิ้งส่งไปในหน้าฟีดโซเชี่ยว เขียนแนบไปหนึ่งข้อความ ‘โอ๊ย ถูกกระรอกโหดรังแก หูจะหายไปแล้ว ช่วยด้วย!’

แล้วก็ส่งไปอย่างนั้น ไม่หวังว่าจะมีใครมาตอบ ถึงยังไงหน้าฟีดโซเชี่ยวของเขาก็เล็กมาก มีแค่จ้าวต้าถง หูหาน ฟางอวิ๋นจิ้งและหม่าเจวียนสี่คน

ทว่า…

ตอนนี้เองหม่าเจวียนที่กำลังเตรียมไปจุดประทัดอ่านโพสต์ในโซเชี่ยว ก็เห็นภาพนี้ของฟางเจิ้งพอดี

หม่าเจวียนหัวเราะ ไม่คิดเลยว่าไต้ซือจะมีมุมแบ๊วแบบนี้ ส่วนกระรอกนั่น เธอไม่กังวล ไต้ซือสยบหมาป่าหิวโหยได้จะจัดการกระรอกตัวเดียวไม่ได้? เธอเลยคอมเม้นไปว่า ‘ไต้ซือ ถ้าหูหาย ปีใหม่ฉันจะส่งเครื่องช่วยฟังไปให้นะคะ ฮ่าๆ’

ฟางเจิ้งก็หัวเราะ ถ่ายภาพให้เจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยนอนหมอบอยู่บนหัวหมาป่าเดียวดาย ห่มด้วยขนสีเงิน ทำหน้าตาสุขสบาย

หม่าเจวียนเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะก๊าก ตอบกลับไปทันที ‘เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักจัง! หมาป่าก็หล่อขึ้นด้วย ไต้ซือ มีภาพอื่นอีกไหมคะ! เอาภาพสวยๆ’

ขณะเดียวกัน

ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หูหานพาเด็กชายกลุ่มใหญ่ถือโคมไฟจีนวิ่งไปทั่วหมู่บ้าน บางครั้งจะโยนประทัดใส่คนอื่น ทำเอาคนตกใจจนวิ่งหนี เล่นกันอย่างสนุกสนาน ว่างก็จะมองมือถือแวบหนึ่ง เห็นสองโพสต์ที่ฟางเจิ้งลงไว้ในหน้าฟีดโซเชี่ยวพอดีก็ขำให้กับความฉลาดของกระรอกน้อย ซ้ำตอบกลับไปว่า ‘ไต้ซือ ขอภาพเยอะกว่านี้อีกสิครับ กระรอกนี่ฉลาดจัง น่ารักมากด้วย!’

จากนั้นหูหานยังแท็กฟางอวิ๋นจิ้งกับจ้าวต้าถง ‘อวิ๋นจิ้ง ต้าถง มาดูไต้ซือแอ๊บแบ๊วสิ!’

ในย่านหลินเจียง เขตหลงสุ่ย เมืองจี๋หลิน จ้าวต้าถงกำลังยืนอยู่บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือถ้วยซีอิ๊วกระเทียมสับ มืออีกข้างถือตะเกียบ เห็นได้ชัดว่าอิ่มจนกินไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังยัดเกี๊ยวไปคำใหญ่

เด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงข้างๆ ก็กินอย่างมูมมากเหมือนกัน ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยกินเกี๊ยว

ตอนนี้เองเด็กคนหนึ่งหัวเราะดังลั่น หยิบเหรียญห้าเหมาสว่างไสวหนึ่งเหรียญออกมาจากปาก ก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆ…ฉันกินได้! ปีนี้ฉันจะรวยแล้ว!”

“ไอ้เด็กโกหก เอามาจากรอยเย็บเป้ากางเกงจะร่ำรวยอะไร? เสียไปเหรียญหนึ่งสิไม่ว่า ไม่ได้การ ยังเหลืออีกอัน ฉันต้องสู้” จ้าวต้าถงด่าทอแล้วก็กินต่อ

เด็กคนอื่นๆ ก็เริ่มติดเครื่องตาม จ้าวต้าถงกินไปพลาง พึมพำในใจไปพลาง ‘ฉันไม่เชื่อหรอก ดีที่ฉันป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย โชคปีนี้ของฉันจะสู้ไอ้เด็กพวกนี้ไม่ได้เหรอ?’

ขณะกล่าวอยู่นี้ เด็กชายตัวใหญ่ที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงไม่เท่าไรร้องโอ๊ย ทุกคนได้ยินเสียงฟันกระทบโลหะอย่างชัดเจน เด็กชายทั้งเจ็บทั้งดีใจ หยิบเหรียญห้าเหมาออกมาจากปาก

พวกจ้าวต้าถงเห็นดังนั้นก็โยนตะเกียบทิ้ง นอนนิ่งไม่ขยับ ทุกคนต่างลูบหนังท้อง เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมขยับ ในเวลาเดียวกันยังบ่นสารพัดไม่หยุด พวกผู้ใหญ่ยิ้มตาม รวมกับเสียงหัวเราะในงานสังสรรค์ตรุษจีนเป็นปึกเดียวกัน

จ้าวต้าถงว่างแล้วถึงหยิบมือถือออกมาดู เห็นที่หูหานแท็กพอดี ก่อนจะมองภาพที่ฟางเจิ้งโพสต์ไว้ พลันหัวเราะ ‘ไต้ซือ ลงอีกสองภาพสิครับ! เอาแบ๊วๆ นะ!’

ส่วนฟางอวิ๋นจิ้งไม่ได้บ้าเท่าจ้าวต้าถง แต่นั่งอย่างสงบร่วมงานสังสรรค์ภายในครอบครัว ในบ้านยังมีญาติพี่น้อง เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไปทั่วบนพื้น บางครั้งฟางอวิ๋นจิ้งจะเล่นกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน ที่มากกว่านั้นคือเธอชอบดูมือถือฆ่าเวลา เธอไม่ค่อยชอบช่วงตอนนี้สักเท่าไร

พอเห็นภาพฟางเจิ้ง ฟางอวิ๋นจิ้งตาเปล่งประกาย กดแชร์ไปทันที จากนั้นตอบไปว่า ‘ไต้ซือยังมีภาพที่ดูสนุกกว่านี้ไหมคะ? ดึกมากแล้วง่วงมาก แต่ก็ต้องอยู่เคาต์ดาว ขอภาพทำให้สดชื่นหน่อยค่ะ’

ฟางเจิ้งมองสี่คนที่ขอภาพตน ในใจเงียบเหงาพลันได้รับการเติมเต็ม จึงหัวเราะแล้วส่งภาพที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ไปเล็กน้อย ในนั้นมีรังของกระรอกน้อยและยังมีคำกลอนคู่ที่เขาเขียนด้วย

พอเห็นรังกระรอกน้อย จ้าวต้าถงหัวเราะก๊าก ‘ไต้ซือ นี่รังกระรอกหรือครับ? นี่มันกระถางดอกไม้ชัดๆ…ฮ่าๆ…ท่านมีฝีมือด้อยเกินไปแล้ว’

ลูกคุณหนูอย่างหม่าเจวียนตอบไปเช่นกัน “น่าสงสารจัง ไต้ซือโหดร้ายกับสัตว์อ่ะ รังกระรอกน้อยดูแย่มาก กลับไปฉันจะส่งอันดีๆ ไปให้ท่านนะ!’

ฟางเจิ้งหน้าแดง ตอบกลับไป ‘อาตมาอยู่บนเขาไม่มีขวานหรืออะไรหรอก และก็ทำของประณีตไม่เป็นด้วย กระถางดอกไม้นี้คือขีดจำกัดแล้ว อย่างน้อยเจ้าตัวน้อยก็ชอบมากนะ’

แต่แลกมาเป็นเสียงหัวเราะของทุกคน…

ฟางอวิ๋นจิ้งกับหูหานกลับสนใจอักษรข้างบน ฟางอวิ๋นจิ้งเม้นไปด้วยความตกใจมาก ‘ไต้ซือ คำกลอนนี่ซื้อมาจากไหนคะ?’

ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาเขียนเอง ทำไมเหรอ?”

ฟางอวิ๋นจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ร้องด้วยความตกใจ “ไต้ซือเขียนเอง?”

“อวิ๋นจิ้ง ตกใจอะไร?” ฟางชิวมารดาฟางอวิ๋นจิ้งที่อยู่ข้างๆ ต่อว่า

ฟางอวิ๋นจิ้งแลบลิ้น จากนั้นนำอักษรของฟางเจิ้งเข้าไปใกล้ราวกับมอบของล้ำค่า “แม่ดูสิ อักษรนี่เป็นไง?”

ฟางชิวขมวดคิ้ว “ลูกเล่นอะไรอีกล่ะ? คงไม่ใช่อักษรของลูกหรอกใช่ไหม? อย่าให้มันน่าเกลียดนักล่ะ…”

“โอ๊ย หนูรู้ว่าแม่เป็นนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง แต่ช่วยดูหน่อย” ฟางอวิ๋นจิ้งออดอ้อน

ฟางชิวยอมจำนน รับมือถือมาดู ใบหน้ายิ้มในตอนแรกแข็งค้าง จ้องอักษรด้านบนเขม็ง ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นฟางชิวเป็นแบบนี้ก็ไม่รบกวน

ผ่านไปพักหนึ่ง ฟางชิวพ่นลมหายใจยาว “นี่อักษรของใคร? ลูกรู้จักไต้ซือที่เขียนอักษรนี่เหรอ?”

“แม่ ทำไมน้ำเสียงน่ากลัวจัง อักษรนี่ทำไมเหรอ?” ฟางอวิ๋นจิ้งถาม

“อักษรนี่ดีมากๆ แม่เคยเห็นอักษรของนักเขียนพู่กันจีนมาเยอะ อักษรนี่เป็นอันดับหนึ่งอย่างคู่ควรเลย!” ฟางชิวเอ่ยชม

“สุดยอดขนาดนั้นเลย?” ฟางอวิ๋นจิ้งปิดปาก มีสีหน้าเหลือเชื่อ

“แน่นอน อย่าลืมล่ะว่าแม่เป็นนักวิจารณ์ศิลปะพู่กันจีน เคยตัดสินงานประลองใหญ่ๆ ระดับมลฑลมาหลายครั้งแล้ว” ฟางชิวทะนงตนขึ้นมาทันใด จากนั้นถาม “เอาล่ะ อย่าเปลี่ยนเรื่อง ตกลงลูกรู้ไหมว่าไต้ซือที่เขียนอักษรนี่เป็นใคร?”

ฟางอวิ๋นจิ้ง “รู้จักสิ เขาอยู่วัดเอกดรรชนีบนเขาเอกดรรชนีของหมู่บ้านเอกดรรชนี เป็นผลงานของไต้ซือฟางเจิ้ง”

“ไต้ซือฟางเจิ้ง? ภูเขาเอกดรรชนี?” ฟางชิวนึกคิด เหมือนว่าจะไม่มีที่แบบนี้ แต่ก็ยังกล่าวต่อ “ช่างเถอะ รอใบไม้ผลิก่อน พวกเราไปดูกัน แม่จะไปเยือนไต้ซือศิลปะพู่กันจีนท่านนี้หน่อย…”

ฟางอวิ๋นจิ้งได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ อักษรของฟางเจิ้งเจ๋งขนาดนั้นเลย? ถึงเธอเองก็รู้สึกว่ามันเจ๋งเหมือนกันก็ตาม…

………………