ตอนที่ 91-2 เขากวางอ่อนลดปวดรอบเดือน กับ บ่าวได้เลื่อนขั้น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

บ่าวในบ้านสกุลอวิ๋นจึงรีบดึงตัวคนฆ่าหมูไปด้านข้าง แล้วว่า “ท่านผู้นี้คือแม่เล็กของบ้านสกุลอวิ๋น เจ้าอย่าเสียมารยาทเป็นอันขาด รีบลับมีดของเจ้า แล้วฆ่าหมูของเจ้าไป”

 

 

พอคนฆ่าหมูเห็นว่าเป็นกึ่งนายหญิงของบ้านสกุลอวิ๋น น้ำเสียงจึงอ่อนลง แต่ปากยังคงบ่นอุบ

 

 

“…ก็นางพูดจาไม่ดีก่อนนี่นา ถ้าได้ยินไปถึงหูคนนอก ร้านข้ามิต้องเสียหายรึ…”

 

 

อนุฟางโกรธจนสำลัก จึงวางท่าแบบนายหญิงที่คร้านจะยุ่งเกี่ยวกับคนฆ่าหมูกักขฬระ ด้วยการเท้าสะเอวสั่งสอนบ่าวในบ้าน

 

 

“ยิ่งเป็นคนฆ่าหมูด้วย ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ต้องหาคนที่รู้จักมารยาทมาหน่อย คนประเภทที่พูดจาหยาบคาย ทำไมถึงได้ปล่อยให้เข้ามาในจวนรองเจ้ากรมของเราได้?! เมื่อก่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ต่อไปสกุลอวิ๋นเราคือพระญาติของท่านอ๋อง…”

 

 

ผู้ซึ่งคุ้นชินกับคมมีดและโลหิต ฆ่าสัตว์เป็นๆ ทุกวี่ทุกวัน จะยอมใครได้ง่ายๆ หรือ คนฆ่าหมูได้ยินคำพูดของอนุฟางทุกคำ เมื่อตอบโต้อย่างแจ่มแจ้งไม่ได้ เขาก็แอบ ‘ถุย’ น้ำลายลงบนพื้น ก่อนม้วนแขนเสื้อขึ้น ถือมีดเดินเข้าใกล้เก้าอี้ยาว สับลง เชือกขาด แล้วใช้มีดกรีดอีกนิด จงใจกรีดลงบนหนังหมู โลหิตสดๆ พลันไหลออก

 

 

หมูที่ไม่มีเชือกมัดไว้ พอเจ็บ ก็ลุกพรวดขึ้น ตกจากเก้าอี้ยาวลงมาเสียงดัง ‘โพละ’ แต่พอลุกขึ้นยืนได้มั่น ก็วิ่งไปที่ทางออกอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งคนฆ่าหมูก็มิได้เข้าขวาง ยืนดูหมูมีแผลวิ่งเลือดหยดไปตามทาง

 

 

บ่าวหลายคนยืนดูจนตกตะลึงพรึงเพริศ ไหนเลยจะตอบสนองทัน

 

 

อนุฟางกำลังสอนสั่งบ่าวอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ตรงทางเข้า รู้สึกแต่เพียงมีสัตว์ตัวหนึ่งร้องครวญครางพลางวิ่งเข้ามา แต่ยังไม่ทันหันมองก็ “อ๊ะ…”

 

 

ร้องยังไม่จบ ก็ถูกหมูตัวนั้นชนเข้าอย่างจัง จึงหงายหลัง เสียหลัก ล้มกลิ้งไปกับพื้น ส่วนหมู พอหัวชน ก็หัวหมุน เจ็บจนต้องกลิ้งตัวไปมากับพื้น เลือดที่เลอะไปทั้งตัวก็กระเด็นใส่หน้าและเสื้อผ้าของอนุฟาง

 

 

ตอนนี้คนฆ่าหมูถึงรีบวิ่งเข้าไป อุ้มหมูที่ใกล้ตายไว้ ยิ้มพลางว่า

 

 

“โอ้ฮูหยินท่านนี้ ขออภัยๆ หมูก็มีอารมณ์เหมือนกัน ถึงได้พุ่งชนเอา! ความจริงแล้ว ที่ทำงานของบ่าวไพร่แบบนี้ ท่านไม่ควรมาเป็นอย่างยิ่ง!” ว่าแล้วก็หันกลับ นำหมูไปวางไว้ที่เดิม แล้วลงมือเชือด

 

 

เนื้อตัวอนุฟางเลอะไปด้วยโลหิต ใบหน้าก็เปื้อนโลหิตเป็นจุดๆ พอเช็ดออก แป้งก็หายไปชั้นหนึ่ง มอมแมมจนดูไม่ได้ สาวใช้พยายามดึงนางขึ้นจากพื้นหลายครั้ง แต่นางก็ลุกไม่ขึ้น เพราะยังตกใจไม่หาย

 

 

ตอนที่หมูวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและชนอนุฟางนั้น นอกลานห้องครัว ร่างที่สวยงามร่างหนึ่งก็ขยับ พอเห็นเช่นนี้ ก็ถกกระโปรงขึ้น วิ่งกลับเรือนหลัก แต่ยังไม่เข้าเรือน หายใจเข้ายาวๆ เฮือกหนึ่ง ค่อยเดินเข้า แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตกใจ

 

 

ด้านอนุฟางก็รวบรวมสติและลุกขึ้นได้ในที่สุด สาวใช้ที่พยุงอยู่จึงบ่นด้วยความโมโห

 

 

“คนฆ่าหมูนี่ก็เหลือเกินจริงๆ แค่หมูตัวเดียวก็ยังจับไว้ไม่อยู่…”

 

 

ปกติ อนุฟางต้องทุบหน้าอก กระทืบเท้า แล้วด่าทอเสียๆ หายๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับอดทนไว้ ด้วยก่อนหน้านี้เสียงเอะอะโวยวายของนาง รบกวนจนทำให้ท่านพี่ไม่พอใจ นางจึงไม่กล้าทำอะไรยุ่งวุ่นวายที่ส่งผลให้การเตรียมงานล่าช้าอีก

 

 

พอก้มดูสภาพตนเอง ก็ได้แต่คิดว่าโชคไม่ดี จึงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนบอกสาวใช้

 

 

“ไป รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน!”

 

 

แต่เพิ่งหันเดิน ก็เห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งก้าวเข้ามา ไม่รู้เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หยุดยืนมองตนด้วยสีหน้าไม่ชอบใจยิ่ง “เจ้าทำบ้าอะไรอีก!”

 

 

“ท่านพี่…” อนุฟางตกใจ อยากก้าวเข้าไป แต่ก็กลัวว่าจะโดนเอ็ดซ้ำ จึงทั้งอับอายและอึดอัดใจ

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งขมวดคิ้วแน่น มองดูสีหน้าอนุฟางที่บัดเดี๋ยวดำ บัดเดี๋ยวแดง สกปรกเลอะเทอะไปทั้งตัว พอเข้าใกล้ ยังได้กลิ่นสาบของหมูด้วย

 

 

และพอเห็นบ่าวที่อยู่ในลานหน้าห้องครัวหลายคนปิดปากแอบหัวเราะ ไม่กล้าหัวเราะออกมาตรงๆ ก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาล ตอนอยู่ในเรือน นางวางท่าทางใหญ่โตกับบ่าวก็แล้วกันไป นี่ยังมาทะเลาะกับคนฆ่าหมูไปได้!

 

 

จึงสะบัดแขนเสื้อ “ยังไม่รีบกลับเรือนของเจ้าอีก! ไม่ต้องไปหาข้าแล้ว! ขายหน้า!” ว่าเสร็จก็หันกายเดินจากไป

 

 

อนุฟางคับแค้นใจจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กลับไปก่อน

 

 

 

 

ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง พกความโกรธกลับเข้ามานั่งในเรือนหลัก ตั้งแต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องพระข้างห้องบูชาบรรพชน หลังบ้านยิ่งมาก็ยิ่งเละเทะ อนุฟางโตมาจากบ่าวไพร่ ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้วิธีบริหารจัดการคน พอลูกสาวได้ดิบได้ดีหน่อยก็นั่งไม่ติด ยโสโอหังมากขึ้น ไม่มีความนิ่งแม้แต่น้อย แล้วจะให้นางเป็นนายหญิงได้อย่างไรเล่า

 

 

ตอนแรกยังรู้สึกว่านางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักปรนนิบัติคน แต่พอได้รับคำเยินยอ กลับเก็บอาการไม่อยู่ นานวันเข้าก็ลายออก ยิ่งเห็นตนก็ยิ่งรังเกียจ ความรู้สึกดีๆ ก่อนหน้านี้หายไปหมด

 

 

อนุฟางนี่ เห็นทีจะเป็นหญิงงามที่ชาญฉลาดไม่ได้ ให้ช่วยจัดการงานหลังบ้านก็ไม่ได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกสาวออกเรือนไปจวนอ๋อง ตอนนี้ต้องถูกเตะออกจากบ้านไปแล้ว

 

 

เหลียนเหนียงเห็นว่านายท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกลับมา โดยไม่มีอนุฟางตามมาด้วย ก็รู้แล้วว่าวันนี้อนุฟางน่าจะไม่มาแล้ว จึงโล่งอก ยกน้ำชาเข้าไป พูดปลอบประโลมด้วยคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าเหลียนเหนียงรูปโฉมงดงาม และค่อยๆ พูดค่อยๆ จา จิตใจจึงสงบลง พอดื่มน้ำชาไปสองถ้วย ก็จับมือเล็กๆ ของเหลียนเหนียงขึ้น แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมอก

 

 

เหลียนเหนียงรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็ตื่นตกใจ นี่ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลย เกรงว่าอาจถูกครหาได้ แต่ใน

 

 

เมื่อนายท่านต้องการ จะปฏิเสธก็ไม่สู้ดี จึงมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพียงครางออกมาเบาๆ แล้วยกแขนทั้งสองข้าง

 

 

คล้องคอนายท่านไว้

 

 

ครั้นอาทิตย์อัสดง ขณะคนสกุลอวิ๋นกำลังรับประทานอาหารอยู่ในโถงด้านหน้า หัวหน้าบ่าวในเรือนหลักก็เข้ามารายงานหญิงชราว่า วันนี้นายท่านไม่มาทานมื้อเย็นแล้ว อีกประเดี๋ยวตนจะกำชับให้ทางห้องครัวอุ่นกับข้าวไว้ แล้วส่งไปที่เรือนหลัก

 

 

ถงฮูหยินรู้สึกสงสัย หัวหน้าบ่าวจึงก้าวเข้ากระซิบข้างหู ถงฮูหยินใบหน้ากระตุก ขมวดคิ้ว จมูกแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงส่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้น

 

 

“เรากินข้าวกันเถอะ อากาศเย็นเร็ว กินอาหารเย็นๆ แล้วจะไม่ดีต่อกระเพาะ”

 

 

ทุกคนจึงพร้อมใจกันหยิบตะเกียบขึ้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านย่าไม่ได้ถามอะไรหัวหน้าบ่าวมากมาย จึงแอบบอกให้ชูซย่าไปสืบที่เรือนหลักดู จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นอย่างสงบนิ่ง แล้วแกล้งพูดอย่างนอบน้อม

 

 

“ท่านพ่อออกเช้ากลับดึก ลำบากขนาดนี้ก็ยังมาทานข้าวกับท่านย่าเป็นประจำ วันนี้ทำไมถึงยังไม่มาล่ะเจ้าคะ ไม่สบายหรือเปล่า เดี๋ยวชิ่นเอ๋อร์ไปดูหน่อยดีกว่า”

 

 

ตะเกียบของถงฮูหยินชะงักกลางอากาศ ยิ้มให้นางแบบกระอักกระอ่วนน้อยๆ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “อย่าเลย ไม่ต้องไปหรอก พ่อเจ้าตัวใหญ่ขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้จักดูแลตัวเอง อาจเป็นเพราะวันนี้เอางานกลับมาทำที่บ้าน เลยปลีกตัวมาไม่ได้”

 

 

หญิงชรามักมองว่าผู้ชายในบ้านเป็นสมบัติล้ำค่า กระทั่งได้ยินเสียงไอทีหนึ่งก็ต้องรีบเรียกหมอมาตรวจดู แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ปล่อยปละละเลยล่ะ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดอะไรมาก ตอบอย่างนุ่มนวล

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านย่า”

 

 

ต่างคนต่างจึงรับประทานอาหารค่ำพลางสงสัยในใจ พอรับประทานเสร็จ ก็แยกย้ายกันไป