อวิ๋นหว่านชิ่นใช้สายตาส่งท่านย่าออกจากห้องโถงก่อน แล้วค่อยย่องตามไป
เห็นเพียงหวงน้าสี่พยุงถงฮูหยินเดินเลี้ยวตรงมุมนอกชาน แล้วก็หยุดยืน พูดกับหัวหน้าบ่าวคนเก่าแก่เมื่อครู่ คล้ายกำลังตำหนิติเตียน
“มีอย่างที่ไหน กลางวันแสกๆ ก็ยัง…แม้แต่ข้าวก็ไม่มากิน เมื่อกี๊พอเจ้าพูดให้ฟัง ข้ายังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เกรงว่าลูกหลานที่นั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะได้ยินแล้ว เจ้ารองจะขายหน้า พวกเจ้าเป็นบ่าวทั้งที และเป็นบ่าวข้างกายเจ้ารองมานานหลายปี ต้องเตือนสตินายหน่อยว่า ต่อไปอย่าทำตามอารมณ์เช่นนี้อีก นายเจ้าเป็นถึงขุนนางแล้ว ไม่ใช่หนุ่มน้อยอายุสิบยี่สิบที่ร่างกายแข็งแรงอีก”
บ่าวอาวุโสมีสีหน้าอึดอัดใจ คอตกพลางว่า “ผู้อาวุโส เรื่องแบบนี้ เราเป็นบ่าว พูดไปก็ไม่ดี”
ถงฮูหยินคิดๆ ดูก็ใช่ จึงไม่ตำหนิเขาอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ซับซ้อนเหลือคณา สักพักค่อยถอนหายใจออกมา “แล้วตอนนี้นายเจ้าดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นบ้างแล้วขอรับ ไม่เป็นไรแล้ว ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง” หัวหน้าบ่าวตอบ
แต่ถงฮูหยินยังคงขมวดคิ้วแน่น พลางโบกมือ
“เอาล่ะๆ ไปดูแลนายเจ้าเถิด ไว้ข้าว่างค่อยไปพูดกับเขาเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังออก รีบเดินกลับเรือนหยิงฝู ระหว่างทางก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และก็เป็นไปตามคาด พอกลับถึงเรือนได้ไม่นาน ชูซย่าก็กลับจากการไปสอบถามพวกบ่าวมา จึงเล่าเรื่องในวันนี้ที่อนุฟางทะเลาะกับคนฆ่าหมู ไปจนถึงเรื่องหลังจากที่นายท่านกลับเรือนให้ฟัง โดยแม้แต่สาวใช้ที่ยังไม่ได้ออกเรือน พอพูดถึงช่วงท้ายๆ ก็ยิ่งหน้าแดง
“…ได้ยินว่า พอนายท่านถูกอนุฟางทำให้โกรธจนเดินหน้าบูดกลับเรือนได้ไม่นาน ก็ปิดประตูห้อง อยู่กับเหลียนเหนียง แต่ยังไม่จบ ตลอดช่วงเย็นนายท่านไม่ได้ออกจากห้อง พอฟ้ามืดหัวหน้าบ่าวไปเรียก นายท่านก็บอกแต่เพียงว่าปวดเอว ลุกจากเตียงไม่ได้…และมีเหลียนเหนียงคอยปรนนิบัติอยู่ บ่าวในเรือนหลักแต่ละคนก็ปิดปากเงียบไม่พูด วุ่นอยู่กับการเตรียมผ้าขนหนูร้อนๆ กับไปเอากอเอี๊ยะมาแปะให้ เหตุนี้นายท่านจึงไม่ได้ไปทานข้าวด้วย! เฮอะ เหลียนเหนียงนั่นก็ไร้ยางอายซะจริง คุณหนูใหญ่ตาแหลมมากเจ้าค่ะ คนดูจากภายนอกไม่ได้ นิสัยชอบยั่วยวนทั้งกลางวันแสกๆ จนนายท่าน…ได้ยินว่าตอนอนุฟางมีปากเสียงกับคนฆ่าหมู เหลียนเหนียงก็ยืนดูอยู่ด้วย น่าจะเป็นนางนี่ล่ะที่บอกให้นายท่านออกไปดู เสแสร้งเก่งแบบนี้ จิตใจก็ชั่วพอควรทีเดียว!”
อวิ๋นหว่านชิ่นคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ช้าเร็วอย่างไรเหลียนเหนียงก็ต้องมีอะไรกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง เพียงแต่ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ และยังเป็นตอนกลางวันอีก เกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ มิน่าเล่า ท่านย่าถึงได้หน้าเสียแบบนั้น ที่แท้ก็พูดไม่ออกนี่เอง
เมื่อชาติที่แล้ว เหลียนเหนียงเคยเป็นคนโปรดอยู่ระยะหนึ่ง ถือว่าฉลาด สุขุม อยู่เงียบๆ ไม่แย่งชิงกับใคร
แต่ชาตินี้ นางออกตัวแรงมาก อยู่ด้วยกันกับนายกลางวันแสกๆ ก็สามารถทำให้นายปวดเอวแล้ว ยังทำให้เรื่องนี้
รู้กันไปทั้งบ้านอีก ท่านย่าก็ไม่ชอบใจ กลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดอะไรมาก แต่พอพูดถึงคนฆ่าหมู ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเมี่ยวเอ๋อร์
“เนื้อสัตว์สี่ชนิดสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านเตรียมครบแล้วหรือยัง”
“ครบแล้วเจ้าค่ะ” สองสามวันมานี้ เมี่ยวเอ๋อร์วิ่งวุ่นช่วยเตรียมงานเลี้ยงอยู่นอกบ้าน จึงรายงานคุณหนูใหญ่ต่อ “เช้านี้นายจางคนฆ่าหมูเอาเนื้อหมูมาแล้ว ส่วนเนื้อแพะทั้งหมด ร้านเต๋อซิ่งก็เพิ่งส่งมา”
ร้านเต๋อซิ่งเป็นร้านอาหารเปิบพิศดารที่ใหญ่สุดในเมืองหลวง มีทั้งอาหารทะเล อาหารป่า อาหารพื้นบ้าน มีทุกอย่าง ร้านสั่งเนื้อวัวและเนื้อแพะมาจากทางเหนือ เอามาแล่เนื้อเถือหนังเป็นชิ้นๆ ปรุงเป็นกับข้าวขายในร้านและส่งไปตามที่ต่างๆ อย่างธุรกิจครบวงจร ซึ่งลูกค้าประจำที่ไปมาหาสู่กันเสมอ นอกจากคนในเมืองหลวงแล้ว ก็ยังมีคนต่างถิ่นและคนในวังอีก ชื่อเสียงจึงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยังพูดไม่จบ กลับก้มหน้า ทำท่าลับๆ ล่อๆ
“นอกจากเนื้อแพะแล้ว บ่าวยังนำของบางอย่างมาจากร้านเต๋อซิ่งด้วย” ว่าแล้วก็นำโถกระเบื้องเคลือบเก็บความร้อนลายดอกไม้สีน้ำเงินออกมา
เมี่ยวเอ๋อร์ขยับหมวก ก่อนเปิดฝาโถ ไอร้อนสีขาวลอยอ้อยอิ่ง เป็นน้ำแกงชามหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นเผ็ดร้อนสามส่วน กลิ่นหอมๆ เค็มๆ อีกเจ็ดส่วน มีกลิ่นยาจีนนิดหน่อย ไม่ฉุนมาก รวมแล้วหอมหวาน พอใช้ช้อนคน น้ำแกงก็ยิ่งเข้มข้นกลมกล่อม เห็นพุทราแดง โสมขนาดเล็ก พริกไทย และม้าน้ำ ลอยอยู่ด้านบน อีกทั้งยังมีเขากวางอ่อนที่หั่นบางๆ จำนวนหนึ่งด้วย
เขากวางอ่อน? เขาอ่อนบนหัวของกวางซีกาที่ยังไม่ทันยาว เป็นยาจีนบำรุงร่างกายที่ได้ผลชะงัดสุด ทว่าแม้ได้ผลดี แต่ราคาย่อมแพงตาม โดยเฉพาะกวางซีกามีแหล่งกำเนิดอยู่ในป่าเขาลึก ชานเมืองหลวงจึงมีกวางซีกาเพียงไม่กี่ตัว
เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่ทานได้จึงมีไม่มากนัก ต่อให้ฮ่องเต้อยากเสวยแบบสดๆ ก็ต้องขนส่งมาจากชานเมือง ร้านเต๋อซิ่งเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบหายากที่ใช้สำหรับงานเลี้ยงหรูหรา แต่เนื่องจากเขากวางอ่อนราคาแพง เป็นของหายาก ในแต่ละปีเมืองหลวงนำเข้าไม่มาก อย่างน้อยต้องสั่งจองล่วงหน้าก่อนหนึ่งเดือน หลังจากได้รับเขากวางอ่อนสดๆ แล้ว ร้านเต๋อซิ่งก็จะทำการล้าง ตากให้แห้ง และนำมาปรุงอาหาร
“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเอามาจากที่ไหน” อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึง
“ผู้จัดการร้านเต๋อซิ่งให้บ่าวมา บอกว่ามีคนสั่งไว้นานแล้ว ให้ทำเป็นน้ำแกงเขากวางม้าน้ำ และทางร้านก็เพิ่งทำเสร็จสดๆ ร้อนๆ วันนี้บ่าวไปพอดี เขาจึงตักมาให้”
เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก และพูดอย่างไม่เกรงใจอีก
“คนสั่งทำฝากผู้จัดการบอกคุณหนูใหญ่ด้วยว่า เข้าหน้าหนาวแล้วต้องบำรุงร่างกายหน่อย และเป็นช่วงที่ทานแล้วได้ผลดีที่สุด เขากวางอ่อนช่วยลดปวดประจำเดือนของผู้หญิง ช่วงนี้ถ้าดื่มอย่างต่อเนื่องตามสูตรยา ปีหน้าอาการเดิมๆ ก็จะไม่กำเริบอีก โถนี้ดื่มได้ราวสามวัน รอให้คุณหนูใหญ่ดื่มหมดแล้ว บ่าวค่อยไปเอามาให้ใหม่ แต่ บ่าวกลับแปลกใจว่า ใครกันหนอ ที่รู้กระทั่งอาการเดิมๆ ของคุณหนูใหญ่…”
ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ เห็นชัดว่าแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้
พอชูซย่าได้ยิน ก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ทีแรกนางมักรู้สึกว่าบุรุษในราชวงศ์ไม่มีใครไม่เจ้าชู้ และพอเห็นคุณหนูใหญ่ไปมาหาสู่กับฉินอ๋องแบบไม่เปิดเผย ตั้งแต่งานเลี้ยงที่จวนโหว นางก็พยายามห้ามปราม คืนที่ฉินอ๋องนำรถม้ามารับคุณหนูใหญ่ไปฉลองเทศกาลเริ่มฤดูหนาว นางก็กระวนกระวายใจอยู่ครึ่งค่อนคืน กลัวว่าคุณหนูใหญ่จะถูกหลอก ถูกคนอื่นหลอกยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าถูกอ๋องหลอกฟัน เกรงว่าคงไม่มีแม้โอกาสเรียกร้องความเป็นธรรม ทว่าตอนนี้ พอเห็นฉินอ๋องเอาใจใส่คุณหนูใหญ่ นางก็เริ่มใจอ่อน คลายใจลงได้บ้าง
กลัวก็แต่คุณหนูใหญ่จะอึดอัดใจ จึงชายตามองไปหลายตลบ เมี่ยวเอ๋อร์ค่อยเก็บรอยยิ้ม หัวเราะหึๆ ก่อนเทน้ำแกงใส่ชาม ยื่นให้อวิ๋นหว่านชิ่น
เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าคิดเห็นไม่เหมือนกัน ชูซย่าเคยเห็นฉินอ๋องจากระยะไกลในงานเลี้ยงที่จวนโหวแค่ครั้งเดียว ต่อมาก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีก ฉินอ๋องสำหรับนางจึงเป็นเพียงจินตนาการส่วนตัว แต่เมี่ยวเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ เคยเห็นฉินอ๋องหลายครั้งแล้ว แถมยังเคยพูดคุยกับเขาด้วย พอจะรู้บ้างว่าเขาเป็นคนอย่างไร จึงมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นคิด เช่นนี้อย่างน้อยเขาก็ต้องไปสั่งจองที่ร้านเต๋อซิ่งก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน คำนวณดูคร่าวๆ ก็น่าจะเป็นช่วงหลังกลับจากหมู่บ้านสกุลเกา
อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ช้อนตักน้ำแกงร้อนๆ ขึ้น โดยหันข้างให้ทั้งสอง จะได้มองไม่เห็นสายตาที่ชูซย่ามองเมี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็ค่อยๆ ทานลงท้องไป
ตอนนี้นางไม่สนใจว่าคนจะคิดอย่างไร ด้วยน้ำแกงตุ๋นได้อร่อยมาก…ถ้าไม่ทานก็เสียของเปล่า!
ด้านเหลียนเหนียง พอเปิดตัวได้ไม่กี่วัน ก็ถูกอวิ๋นเสวียนฉั่งรับเข้าห้อง จัดให้อยู่ที่เรือนหลังเล็ก แล้วเลื่อนให้เป็นอนุ จัดสาวใช้ให้คอยรับใช้ข้างกายคนหนึ่งชื่อพี่ตง เรือนหลังเล็กอยู่หลังเรือนหลัก ซึ่งเดิมทีก็คือห้องหนังสือของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ส่วนชื่อเรือนเจี่ยวเย่ว์ที่สลักไว้บนประตู เขาก็คนตั้งให้เอง ต่อมาพอย้ายหนังสือมาที่เรือนหลักจนหมด เรือนเล็กก็ถูกต่อเติมให้กว้างขวางขึ้น
ตอนเหลียนเหนียงย้ายเข้าเรือนหลังเล็ก บ่าวในบ้านก็ล้วนประหลาดใจ ด้วยก่อนหน้านี้ต่างเห็นว่านางเป็นคนเงียบๆ หงิมๆ ไหนเลยจะรู้ว่านายท่านชอบแบบนี้ โดยถึงกับข้ามขั้นนางบำเรอ เลื่อนเป็นอนุโดยตรง
และพอเหลียนเหนียงเข้ามาอยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ บ่าวหลายคนก็เข้ามาประจบประแจง เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วย ซึ่งเหลียนเหนียงก็ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งแต่อย่างใด เพียงยิ้มพลาง…ตอบรับ เห็นใครดีใจ นางยังให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือไปด้วย ไม่เหมือนอนุฟางที่พอมีบารมีหน่อย ก็ลืมตัว
ส่วนถงฮูหยิน มีอคติกับเหลียนเหนียงนิดหน่อย ที่วันแรกทำให้ลูกชายเสียท่า ด้วยกังวลว่าการหลงไหลผู้หญิงอาจทำให้เสียผู้เสียคน แต่พอคิดว่าหลังบ้านมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง โอกาสที่จะมีทายาทก็เพิ่มตาม สุดท้ายนางจึงชอบใจ กลับเป็นอนุฟาง ที่พอได้ยินว่านายท่านยอมรับเหลียนเหนียงอย่างเปิดเผย ก็โอดครวญ
อย่างโกรธแค้น ต่อมาพอได้ยินอีกว่า เหลียนเหนียงได้เลื่อนเป็นอนุ ได้อยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ คิดเสียใจก็ไม่ทันการ
แล้ว จึงเดินไปเดินมาในห้องพลางถอนหายใจไม่หยุด เสียดายที่วันนั้นถ้าตนตรงไปหาท่านพี่ นางไหนเลยจะมีโอกาสยั่วยวนท่านพี่!
พอสาวใช้เห็นอนุฟางเดือดดาล ก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ เป็นเพราะเหลียนเหนียงซุ่มอยู่ข้างกายนายท่านคอยหาโอกาสตลอด บวกกับนิสัยของตัวท่านเองนั่นล่ะ ที่มักปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ จะช้าจะเร็ว นายท่านก็ต้องรับนางไว้อยู่ดี