วันแรกที่เหลียนเหนียงได้เลื่อนเป็นอนุ ก็เข้าคารวะถงฮูหยินแต่เช้าตรู่ แล้วค่อยย้อนกลับไปคารวะอนุฟางที่เรือนชุนจี้
อนุฟางนั่งเบื่อๆ อยู่ในเรือน จึงนำงานเย็บปักถักร้อยมาทำ ขณะปักไปได้ครึ่งหนึ่งและเงยหน้าขึ้น ก็ตกใจ ไม่คิดว่าเหลียนเหนียงจะมา
พอเห็นว่าหมู่นี้ความสดชื่นทำให้เหลียนเหนียงดูอวบอิ่ม เย้ายวนดุจดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น บุคลิกของเด็กสาวจางหาย มีท่าทีค่อนไปทางหญิงสาวมากกว่า จึงรู้สึกริษยาและคับแค้นใจ อนุฟางอยากตบนางในพริบตา แต่ก็ทำไม่ได้ ทว่าถ้าไม่ตบ ก็ไม่สบายใจ จึงได้แต่ถือเข็มปักผ้านั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครึ่งค่อนวัน
เหลียนเหนียงกลอกตาไปมา กลับก้าวเข้าหา เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านพี่” แล้วจึงหยิบผ้าปักขึงสะดึงที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพิจารณา ยิ้มพลางว่า
“โอ้ ท่านพี่ปักเสร็จแล้วนี่ ปักดอกอะไรน๊า สวยจริงๆ เลย ฝีมือของท่านพี่ปราณีตมาก ไม่ทราบว่าพอจะมอบให้น้องได้ไหม”
อย่าตีคนกำลังยิ้ม เหลียนเหนียงแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ คำก็ท่านพี่ สองคำก็ท่านพี่ ต่อให้อนุฟางไม่พอใจแค่ไหน ก็ตบนางไม่ลง อย่าว่าแต่นางยังสดใหม่ เป็นสุดที่รักของท่านพี่ จึงได้แต่ตอบอย่างเกียจคร้าน
“ฝีมือปราณีตจะมีประโยชน์อะไร เจ้าสิ ตอนนี้ไม่ว่าจะปักอะไร ท่านพี่ก็ชอบอย่างสุดหัวใจ ส่วนข้าซีซั๊วปักดอกไม้ใบหญ้า ก็เข้าตาเจ้าเนี่ยนะ ถ้าชอบก็เอาไปเถิด”
เหลียนเหนียงจึงส่งสะดึงให้พี่ตง บอกให้นางเก็บไว้ให้ดี ก่อนหันมายิ้ม แล้วว่า
“ท่านพี่มอบของขวัญให้น้อง น้องก็ต้องตอบแทนท่านพี่” นางสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนงามออกมาผืนหนึ่ง จับผ้าไว้สองมือแล้วยื่นให้
“ตอนเหลียนเหนียงอยู่ที่หอหย่าจื้อช่วยป้าหลิวทำงานพิเศษ ได้ค่าแรงเป็นสิ่งของมา ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนนี้เนื้อดีมาก มอบให้ท่านพี่เหมาะสมยิ่ง โดยเฉพาะลวดลายบนผ้า เหลียนเหนียงรู้สึกว่าแทนใจตัวเองที่มีต่อท่านพี่ได้เป็นอย่างดี วันนี้จึงนำมามอบให้”
อนุฟางมองดูผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมพิมพ์ลายดอกไม้พี่น้องที่มีก้านดอกติดต่อกัน ดอกไม้สองดอกงอกขึ้นจากรากเหง้าที่แข็งแรงเดียวกัน เหลียนเหนียงกำลังประจบประแจงว่า เราสองคนมาจากก้านเดียวกัน เติบโตขึ้นจากรากเดียวกัน ต่อไปก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อนุฟางหัวเราะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างไรตนก็เป็นผู้อาวุโสของบ้านสกุลอวิ๋น เป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินใหญ่ สวี่ฮูหยินเป็นผู้มอบตนให้กับท่านพี่ด้วยตัวนางเอง ซึ่งต่างจากอนุที่ซื้อเข้ามา ต่อให้เหลียนเหนียงเป็นคนโปรด อย่างไรก็คือคนใหม่ ที่มาจากสมาคมม้าผอม จะข้ามหัวตนไปได้อย่างไร นับว่ารู้จักดูตาม้าตาเรือ รู้จักมารยาทอยู่บ้าง กลัวว่าจะล่วงเกินตนเอง
อนุฟางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ จิตใจที่คิดตั้งตนเป็นศัตรูกับเหลียนเหนียงลดลงไปกว่าครึ่ง จึงพูดช้าๆ
“เอาล่ะ น้ำใจของเจ้าเข้ารู้แล้ว”
เหลียนเหนียงแสดงความดีใจออกมา น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น “ดีจังท่านพี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินมาว่า เหลียนเหนียงอยู่เป็น นางสามารถทำให้ไฟแค้นในใจของอนุฟางดับมอดลง โดยอนุฟางไม่เพียงไม่เล่นงานนาง ยังรับของขวัญจากนางไว้อีก ปกติเวลาเจอหน้ากันทั้งสองก็จะเรียกพี่เรียกน้อง หัวร่อต่อกระซิกกัน
เหลียนเหนียง ร้ายกาจกว่าที่ตนคิดหลายเท่า ส่วนอนุฟาง ลูกสาวได้เป็นถึงชายารอง แต่กลับทำตัวเป็นคนโง่งมเสียนี่? ไม่รู้ว่านี่เป็นการเร่งเชื้อไฟให้ยิ่งลุกลามหรือเปล่า
ส่วนอวิ๋นเสวียนฉั่ง พอได้ยินว่าเหลียนเหนียงไปเยี่ยมคารวะอนุฟาง อีกทั้งยังมอบผ้าเช็ดหน้าดอกไม้คู่จากรากเดียวกันให้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่ดีต่อกัน ก็ยิ่งชอบอนุคนใหม่คนนี้มากขึ้น ชอบที่นางเข้าใจคน ใจกว้างและรู้จักมารยาท โดยไม่ต้องบอก
หลังจากมีอนุคนใหม่ เรือนเจี่ยวเย่ว์ก็กลายเป็นเรือนหลักของอวิ๋นเสวียนฉั่งไป เขาค้างคืนที่นี่ทุกคืน ต่อให้งานยุ่งอย่างไร กลับมาก็ไม่ลืมว่าต้องมาหาเหลียนเหนียงก่อน
เวลาผันผ่าน วันที่อวิ๋นหว่านถงกลับบ้านก็มาถึง
เนื่องจากเว่ยอ๋องถูกกักบริเวณ การกลับบ้านในครั้งนี้ จึงให้ชายารองอวิ๋นกลับมาคนเดียว
วันรับกลับบ้าน พอฟ้าสว่าง บ่าวในบ้านสกุลอวิ๋นก็ทำการกวาดพื้นล้างพื้น เปิดประตูต้อนรับแขก
ราวเจ็ดโมงเช้า อวิ๋นหว่านถงก็นั่งรถม้าของจวนอ๋อง พาขบวนมาที่บ้านสกุลอวิ๋น โดยนอกจากไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องพระแล้ว คนในบ้านทุกคนล้วนยืนรออยู่บนบันไดหน้าประตู
บ่าวแต่ละคนต่างยืนอยู่ด้านหลังนายของตนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส บ้างก็หันไปสุมหัวซุบซิบ เดาว่าวันนี้คุณหนูสามจะเริ่ดแค่ไหน ใส่ชุดอะไร แต่งหน้าอย่างไร หรือจะมีท่าทีแบบชายาไปแล้วจริงๆ
ถงฮูหยินก็ตื่นเต้นมากเช่นเดียวกัน ด้วยบ้านสกุลอวิ๋นยังไม่เคยมีลูกหลานที่ได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ได้เป็นถึงชายารอง สะใภ้สกุลซย่าโหวเชียว จึงดีใจจนใจเต้นตึกตัก ฟ้ายังไม่ทันสางก็เด้งตัวตื่น มายืนรออยู่หน้าประตูพร้อมสะใภ้ใหญ่และหลานๆ
อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องลางานที่กรมกลาโหมครึ่งวัน เพื่อมาต้อนรับชายารองของเว่ยอ๋อง โดยนำอนุฟางกับเหลียนเหนียง และพวกอวิ๋นจิ่นจ้งมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น เนื่องจากต้องรับผิดชอบงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้าน จึงง่วนอยู่ด้านในกับเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า ยังออกมาไม่ได้ชั่วคราว
พอได้เวลา ขันทีน้อยก็ขี่ม้ามาแจ้งว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ขบวนรถม้าของชายารองมาถึงหัวถนนแล้ว!”
อีกสักพัก ก็มีคนมาแจ้งว่า “ขบวนรถเข้ามาในถนนแล้ว!”
จวบจนขบวนรถม้าของจวนเว่ยอ๋องปรากฏ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเหยียบพื้นถนนเข้ามา ค่อยเห็นว่าเป็นรถม้า
บังเ**ยนคู่ขนาดใหญ่ หลังคาสีม่วงห้อยพู่ หน้าขบวนมีผู้ที่แต่งกายคล้ายขันทีของจวนอ๋องสี่นายขี่ม้านำทางให้
ขบวนรถด้านหลังเคลื่อนตัวตาม
หรูหราอลังการยิ่ง
ใบหน้าที่โปะแป้งหนาหลายชั้นของอนุฟางเขียนแต่คำว่า “ผู้ที่นั่งอยู่ในนั้นน่ะ ลูกสาวข้า” พลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นอย่างตื่นเต้น เชิดหน้ายืดอก พูดเสียงดัง
“โอ้โห ท่านพี่ ท่านแม่ พวกท่านดูสิ รถม้าของถงเอ๋อร์เรา สวยงามแค่ไหน! กลับมาแล้ว นางกลับมาแล้ว!”
ถงฮูหยินยิ้มจนใบหน้าย่นต่อเนื่อง จับมืออวิ๋นจิ่นจ้งพลางว่า
“ดูสิ จิ่นจ้ง นั่นพี่รองของเจ้านา! ตอนนี้เป็นถึงชายารองแล้ว!”
อวิ๋นจิ่นจ้งกระพริบตาปริบๆ ทำปากยื่นปากยาว คิดถึงพี่พ่อบ้านของพี่ใหญ่ ที่บารมีไม่เท่าเว่ยอ๋อง ต่อไปแม้พี่ใหญ่เป็นชายารองไม่ได้ ได้เป็นฮูหยินพ่อบ้านจวนอ๋อง ก็ไม่เลวนัก
อวิ๋นเสวียนฉั่งตะโกนสั่งเสียงสูง “ไปรับชายารองเร็ว!”
บ่าวหลายคนที่ถูกฝึกมา ทยอยลงจากบันได คุกเข่าเรียงแถวสองข้าง พลางเปล่งเสียงถวายพระพร
รถม้าจากจวนอ๋องจอดนิ่ง ยวนยางพยุงอวิ๋นหว่านถงก้าวลง แล้วเดินขึ้นบันไดบ้าน
นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูม่วงประดับมุก หน้าอกห้อยป้ายทองประดับอัญมณีและหยก คลุมเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวราคาแพง ตลอดทั้งร่างหรูหรามีระดับ ประหนึ่งนางฟ้าก็มิปาน ไหนเลยยังจะมีภาพคุณหนูขี้อายเมื่อวานซืนให้เห็นอีก อีกทั้งยังมีบ่าวมากมายติดตามทั้งซ้ายและขวา ซึ่งทั้งหมดก็แต่งกายหรูหราเช่นกัน
คนสกุลอวิ๋นทั้งตื่นเต้นและดีใจ แต่พอดูให้ดีๆ ก็เห็นอวิ๋นหว่านถงสวมหมวกใบใหญ่ ปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ปิดศีรษะเสียมิดชิด ต่างก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
การกลับมาเยี่ยมบ้านของชายารอง เป็นเรื่องสมเหตุสมผลและชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่สง่าผ่าเผย ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด แล้วจะสวมหมวกไปทำไม! วันนี้อากาศก็ดีเป็นพิเศษ แสงแดดกำลังดี เช่นนี้ ไม่ทำให้ผู้ที่เฝ้ารอดูไม่สบอารมณ์หรอกหรือ
กลุ่มคนโค้งกาย เพิ่งถวายพระพร อวิ๋นหว่านถงก็รีบยกมือขึ้น
“ตามสบาย ด้านนอกลมแรง เข้าบ้านก่อนค่อยว่ากัน” แล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปในบ้าน ยวนยางที่อยู่ด้านข้างก็รีบก้าวตาม
พอคนบ้านสกุลอวิ๋นเห็นชายารองรีบร้อนคล้ายจะรีบไปไหน ก็หันมองหน้ากัน ก่อนเดินตามไป
ถงฮูหยินอายุมาก หูไม่ค่อยดี จึงไม่รู้เรื่อง ตั้งใจก้าวเข้าหา พลางยิ้มตาหยี
“ชายารองอวิ๋นแต่งตัวหรู ดูดีมีระดับ ราศีคนของจวนเว่ยอ๋องจับจริงๆ…”
ใครจะคิดเล่าว่า อวิ๋นหว่านถงกลับไม่หยุดเดิน พอเห็นท่านย่าก้าวเข้ามา คล้ายกำลังจะเข้ามาพยุงตน ด้วยเกรงว่าหมวกจะหล่น จึงใช้มือข้างหนึ่งจับหมวกไว้ อีกข้างหนึ่งกั้นท่านย่าไว้ตามสัญชาติญาณ
พอถงฮูหยินเห็นนางใช้มือกั้นตน ก็หน้าเปลี่ยนสี นี่หมายความว่าอะไร เป็นชายารองแล้ว จำคนที่บ้าน
ไม่ได้งั้นหรือ ถึงได้เสียมารยาทกับผู้อาวุโสของบ้านแบบนี้!
อวิ๋นเสวียนฉั่งก็อึ้งเช่นกัน ส่วนอนุฟางนั้น ทำอะไรไม่ถูกก
พอเห็นท่านย่าถูกข่มเหง หลานผู้กตัญญูอย่างอาเม่าจึงโกรธ เด็กน้อยมือไวตาไว พลันดึงหมวกของอวิ๋นหว่านถงลงมา
แล้วกลุ่มคนก็ต้องตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าบนหน้าผากของอวิ๋นหว่านถงมีผ้าพันแผลพันอยู่ บนผ้ามีคราบโลหิต ริมหน้าผากก็มีรอยฟกช้ำดำเขียว น่าตกใจยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแผลที่เกิดจากการกระแทกกับของแข็ง!
อวิ๋นหว่านถงจ้องอาเม่าเขม็ง “เจ้าเด็กเหลือขอ!” ก่อนสวมหมวกกลับ แล้วเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามอง
ยวนยางมองคนสกุลอวิ๋นที่อยู่รอบๆ แต่พูดอะไรไม่ได้ จึงรีบเดินตามนายหญิงของตนไปก่อน