ตอนที่ 92-1 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ห้องโถงใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น บรรยากาศเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็ง

 

 

ป้ายผ้าเขียนคำสรรเสริญอวยพรต้อนรับชายารองกลับบ้านตามเสาและคาน กลายเป็นคำเย้ยหยันที่เด่นชัด เมื่อเทียบกับสีหน้าของชายารองเว่ยอ๋อง

 

 

อวิ๋นหว่านถงนั่งอยู่ในห้องโถง บอกให้ขันทีจวนอ๋องนำของขวัญที่นำมาให้คนในบ้านไปวางไว้ตรงชานบ้าน แล้วบอกให้ยวนยางอ่านรายการของขวัญ ส่วนตัวเองไม่ส่งเสียงสักคำ ใบหน้าเสมือนหนึ่งก้อนหินตกลงไปในอาจม ทั้งเย็นชาทั้งบูดบึ้ง

 

 

อนุฟางยืนอยู่หลังเจ้าบ้าน พริบตาที่เห็นเหตุการณ์หน้าบ้าน หัวใจก็แทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ลูกสาวเป็นอะไรไปแล้ว แต่ไหนเลยจะกล้าถาม

 

 

คนอื่นๆ ในบ้านก็แอบจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นหว่านถง พลางคิดกันไปต่างๆ นาๆ

 

 

รอจนแจกแจงรายการของขวัญเสร็จ นอกจากสาวใช้คนสนิทอย่างยวนยางแล้ว คนอื่นๆ จากจวนอ๋องล้วนถอยออกนอกห้องโถง

 

 

สักพัก พอสายตาจากนายหญิงบอกอนุญาต ยวนยางจึงเอ่ยขึ้น

 

 

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ชายารองอวิ๋นไม่ทันระวัง หกล้มกระแทกถูกศีรษะ ตอนนี้ยังไม่หายดี ขอใต้เท้าอวิ๋นและผู้อาวุโสอวิ๋นวางใจ”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งสงสัย หกล้ม? ถงเอ๋อร์เป็นชายารอง ไม่ว่าจะเดินไปไหน ล้วนมีบ่าวล้อมหน้าล้อมหลัง ดูแลอย่างทั่วถึง แล้วจะหกล้มจนเป็นแผลฉกรรจ์ได้ง่ายๆ หรือ และการหกล้มเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเหตุใดวันนั้นถึงไม่ส่งจดหมายมาบอกที่บ้านสักคำ ปกปิดจนมารู้เอาในวันกลับบ้าน

 

 

คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าแค่หกล้มจริงๆ เหตุใดจึงมีรอยช้ำที่ปากและใบหน้า

 

 

กลุ่มบ่าวที่ยืนอยู่ล่างบันไดนอกห้องโถง ยิ่งพากันหันหน้าป้องปาก ซุบซิบไปทั่ว

 

 

อวิ๋นหว่านถงไหนเลยจะคิดว่า การกลับบ้านครั้งแรก จะมีสภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ จำต้องมาบาดเจ็บบนใบหน้า ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด พอเห็นปฏิกิริยากลุ่มคน ถ้าไม่มองตนเองอย่างสงสัย ก็หันไปซุบซิบกัน จึงรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนมองคนในบ้านไปรอบๆ พลางพูดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

 

“ลำบากท่านพ่อแล้ว ที่ต้องเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับลูก”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งมองออกว่า บาดแผลของลูกสาวมีเลศนัย แต่ยากที่จะเอ่ยปาก จึงตอบนางไปตามน้ำ

 

 

“พ่อน่ะไม่ลำบากหรอก คนที่ลำบากจริงๆ ของงานนี้เป็นท่านย่ากับพี่ใหญ่เจ้าต่างหาก”

 

 

อวิ๋นหว่านถงแย้มยิ้ม แต่สีหน้าไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องคอยเคารพและเกรงกลัวอีก หันมาหาท่านย่า พลางพูดเสียงเบา “ลำบากท่านย่าแล้ว”

 

 

ถงฮูหยินยังไม่ลืมเรื่องหน้าบ้าน ที่อวิ๋นหว่านถงทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยังรู้สึกขุ่นเคืองในใจ จึงพูดอย่างเฉยชา

 

 

“ชายารองเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ารับไม่ไหว งานเลี้ยงกลับบ้านมีเรื่องจุกจิกมากมาย คนแก่อย่างข้าคนเดียวไหนเลยจะจัดการได้ หมู่นี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เข่าข้าก็เจ็บอีก เดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้ ถ้าจะบอกว่าคนแก่จัดการ ก็ล้วนแล้วแต่อาศัยพี่ใหญ่ของชายารองช่วยเหลือ! ไม่สิ ชิ่นเอ๋อร์ยังอยู่หลังบ้าน ง่วนกับการสั่งการบ่าว ยังออกมาไม่ได้ ข้าว่า คนที่รู้งานที่สุดในบ้านสกุลอวิ๋น จัดการทุกอย่างได้ในยามคับขัน ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์”

 

 

อวิ๋นหว่านถงหัวเราะเบาๆ ยังนึกว่าเป็นเมื่อก่อนอยู่อีกหรือ เมื่อก่อนตนทำอย่างไรก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ทำอย่างไรก็เป็นลูกรักไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตนมีหน้ามีตาแล้ว แต่หญิงชรากลับตาบอด เพชรเม็ดงามอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับมองไม่เห็น ยังคงคิดว่าพี่ใหญ่เป็นเพชรอยู่

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงยิ้มพลางพูดต่อจากมารดา

 

 

“ใช่ๆ ครั้งนี้พี่ใหญ่เจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย นอกจากต้องดูแลประตูใหญ่ที่ใช้เข้าออกแล้ว ยังมีห้องโถงใหญ่ที่ใช้จัดเลี้ยง ห้องรับแขกที่ใช้จิบน้ำชาพูดคุย แล้วห้องพักผ่อนที่อีกสักครู่ชายารองจะใช้ก็ถูกตกแต่งใหม่ ไปจนถึงสุรากับแกล้ม น้ำชาและของหวาน ชิ่นเอ๋อร์ล้วนเป็นคนจัดการทั้งหมด…”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นอวิ๋นหว่านถงวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลายนกมงคลลง ก่อนอ้าแล้วก็หุบริมฝีปาก

 

 

ยวนยางรีบนำชามบ้วนน้ำลายใบเล็ก มารองใต้ปากชายารอง

 

 

อวิ๋นหว่านถง ‘ถุย’ เสียงดัง บ้วนใบชาออกมา แล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่ไม่ได้กลืน ล้างปากกลั้วไปมา ก่อนก้ม บ้วนลงในชาม

 

 

“ไม่มีอะไร” อวิ๋นหว่านถงพูดเสียงเบา “ใบชาแก่ไปหน่อย โดนเหงือกและฟันแล้วเฝื่อน ต้องใช้น้ำชาล้างปาก เชิญท่านพ่อพูดต่อ”

 

 

บิดาเพิ่งพูดว่าพี่ใหญ่เป็นคนจัดการงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านทั้งหมด นางก็ติว่าใบชาแก่ น้ำชาเหมาะที่จะให้นางบ้วนปากมากกว่า นี่มันจงใจชัดๆ อวิ๋นจิ่นจ้งยังมีนิสัยแบบเด็กๆ จึงเริ่มจะอดรนทนไม่ไหว

 

 

อวิ๋นหว่านถงจับมือยวนยางแล้วลุกขึ้นยืนเชิดหน้า เดินสำรวจดูรอบๆ ห้อง ก่อนพูดเสียงเรียบอย่างไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

 

“ตอนที่เพิ่งมาถึง ข้าก็กวาดตาดูอยู่พักหนึ่ง แม้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็นับว่าใช้ได้อยู่ แต่ดีนะที่ท่านอ๋องห้าไม่ได้มาด้วย”

 

 

คำพูดนี้มิใช่กำลังแดกดันอวิ๋นหว่านชิ่นที่จัดการงานไม่ดี จนต้องขายหน้าแน่ถ้าท่านอ๋องมาเห็นหรอกหรือ แต่กลุ่มคนก็ไม่กล้าพูดอะไร กลับเป็นอวิ๋นจิ่นจ้งที่เอ่ยปากปกป้องพี่สาว ขณะเห็นอวิ๋นหว่านถงกำลังทำลายน้ำใจพี่สาว

 

 

“พี่ใหญ่ตั้งใจกับงานนี้มาก คนในบ้านก็ล้วนบอกว่าจัดการได้ดี อย่างบ่าวที่ทำความเคารพหน้าบ้าน พี่ใหญ่ก็ต้องไปเสาะหา กว่าจะเจอมอมอที่เคยอยู่ในวัง มาช่วยฝึกมารยาทโดยเฉพาะ พี่ใหญ่ละเอียดรอบคอบขนาดนี้ ชายารองมองเพียงเผินๆ ก็บอกว่าว่าไม่ดีแล้ว นี่ไม่เป็นการรวบรัดตัดความไปหน่อยหรือ”

 

 

อวิ๋นหว่านถงหัวเราะเบาๆ

 

 

“การที่จิ่นจ้งปกป้องพี่ใหญ่น่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจ้ายังเด็กนัก ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน ถ้าเจ้าได้เข้าจวนอ๋อง ได้เห็นการตกแต่งบ้านของชนชั้นสูง ก็จะรู้เองว่า ข้าไม่ได้จงใจจับผิด อย่างผ้าม่านนั่น สีก็ไม่สมกับคนในราชวงศ์แล้ว ผ้าก็เป็นผ้าที่พบเห็นทั่วไปตามท้องถนน ไม่ประณีตพอ แสดงให้เห็นว่าผู้จัดใจไม่ป้ำพอ หันมาดูเรื่องบ่าวรับใช้หน้าบ้านบ้าง จะบอกว่าคุกเข่าตามมารยาทอย่างไม่ผิดเพี้ยนก็ได้ แต่พอมีลมพัดใบไม้ไหวก็เงยหน้าขึ้นแล้ว นั่นเรียกว่าสอนให้ผิดมารยาทมากกว่า ไม่รู้ว่าคนที่เชิญมาสอน เป็นชาววังจริงหรือเปล่า มิใช่ถูกเขาหลอกเอาล่ะ! ถ้าทำกิริยาเช่นนี้ออกมา ในจวนอ๋องน่ะ ถูกตีตายโทษฐานหมิ่นพระบารมีไปนานแล้ว”

 

 

จัดเต็ม ไม่มีคำไหนไม่ทิ่มแทงผู้จัด นำเรื่องที่พี่ใหญ่ทำ มาฆ่าพี่ใหญ่ให้ตาย อวิ๋นจิ่นจ้งยืดตัวตรง กำลังจะเถียง แต่ถงฮูหยินรีบจับมือหลานไว้ แล้วเรียก

 

 

“เด็กๆ ไปเชิญคุณหนูใหญ่ออกมาหน่อย บอกว่าชายารองมาถึงแล้ว บอกนางว่าไม่ต้องเอาใจใส่ขนาดนั้น เรื่องอื่นๆ ให้พวกบ่าวทำกันไป” เอาใจใส่ไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ถูกคนติโน่นติงนี่อยู่ดี

 

 

อวิ๋นหว่านถงกลับไปนั่งข้างกายบิดา ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงหันมองอนุฟาง “หมู่นี้สุขภาพของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ขอบพระทัยชายารองที่เป็นห่วง แม่แข็งแรงดี” อนุฟางเห็นลูกสาวระบายอารมณ์แทนตนออกไปได้บ้าง จิตใจก็ผ่อนคลายลง พอเห็นท่านพี่ส่งสายตามา จึงรีบตอบ

 

 

อวิ๋นหว่านถงเห็นสีหน้ามารดา ก็หันมองร่างที่อยู่ด้านหลังท่านย่า ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ในบ้านก็มีคนใหม่เพิ่มเข้ามา พอเหลียนเหนียงเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของอวิ๋นหว่านถงมองมา ผู้ที่ทำอะไรราบรื่นมาตลอดอย่างนาง โดยแม้แต่อนุฟางยังโดนนางป้ายยา นับประสาอะไรกับคุณหนูสามซึ่งเป็นชายารอง จึงถอนสายบัวพลางแย้มยิ้ม

 

 

“ชายารองวางพระทัย ท่านพี่สุขภาพแข็งแรงมาก หม่อมฉันยังเยาว์วัย ต้องให้ท่านพี่ชี้แนะทุกอย่าง ย่อมต้องคอยรับใช้ดูแลท่านพี่เสมอ”

 

 

อวิ๋นหว่านถงไม่ได้พูดจาดีเหมือนอนุฟาง นางยิ้มเจ้าเลห์ จนรอยฟกช้ำบิดเบี้ยวและดำคล้ำ น้ำเสียงฟังดูสบายๆ คล้ายกำลังหยอกเย้าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“คิดไม่ถึงว่าคนใหม่ก็ร้ายกาจไม่เบาทีเดียว ท่านแม่เป็นคนซื่อและจิตใจดี จุดนี้ท่านแม่เทียบอนุคนใหม่ไม่ได้หรอก”

 

 

นี่มิใช่กำลังกระแนะกระแหนว่าตนเป็นนางจิ้งจอกยั่วยวนนายหรอกหรือ เหลียนเหนียงอึ้ง