บทที่ 129 ความเป็นธรรม

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร มองอาหว่านที่พานายท่านหกและฮูหยินหกเข้ามาในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย นางรู้ว่าเรื่องนี้ให้อาหว่านไปจัดการจึงจะดีที่สุด

“ท่านแม่!”

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินหกก็รีบเข้าไปบ่นว่า “เด็กคนนี้ไร้มารยาทมากเจ้าค่ะ! บุกเข้าไปในเรือนของพวกเราทำร้ายบ่าวบาดเจ็บไปหลายคน แล้วยังบังคับให้พาท่านพี่มาที่นี่อีก ท่านพี่ป่วยเช่นนี้ยังจะมาเคลื่อนย้ายเขาอีก นางต้องการเอาชีวิตของท่านพี่เป็นแน่!”

อาหว่านมองดูพวกเขาอย่างเหยียดหยันแล้วไม่สนใจ นางรายงานกับหมิงเวยไปว่า “คุณหนู บ่าวปฏิบัติภารกิจลุล่วงแล้วเจ้าค่ะ”

หมิงเวยอยากหัวเราะ เด็กคนนี้ต่อหน้านางทำตัวไม่เกรงใจนาง แต่ตอนนี้เพื่อการแสดงแล้วจึงยอมแทนตัวเองว่าบ่าว ในใจคิดเช่นนั้น แต่นางทำได้เพียงทำสีหน้านิ่งสงบ “ทำได้ดีมาก”

ฮูหยินหกโกรธกว่าเดิม “ท่านแม่ ท่านได้ยินหรือไม่ คำพูดนั่นเรียกว่าอะไร! อาตนเองเป็นเช่นนี้ยังพูดออกมาได้ว่าดี!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็โกรธถึงนายท่านหกจะเป็นคนไม่ดี แต่เขาก็เป็นบุตรชายของนาง!

“เสี่ยวชี ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร แต่หลานทำเกินไปแล้ว! ยังไม่รีบส่งอาหกของหลานกลับไปอีก ที่นี่อากาศเย็นเขาอยู่นานไม่ได้”

หมิงเวยยิ้ม “ต้องขออภัยท่านย่าด้วยเรื่องราวยังไม่ได้แก้ไข ท่านอาหกยังไปไหนไม่ได้เจ้าค่ะ”

“มีเรื่องอะไรค่อยรอวันรุ่งขึ้นค่อยพูดไม่ได้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นเสียง

หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร นางไม่ต้องการพูดให้เปลืองน้ำลายกับคนพวกนี้

“ใครอยู่ข้างนอก! เข้ามาหน่อย!” ฮูหยินผู้เฒ่าตะโกนเสียงดัง น่าเสียดายที่ข้างนอกไม่มีผู้ใดตอบรับ

อาหว่านพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเก็บแรงไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ! คนข้างนอกนั่นเป็นคนของข้าน้อยเอง”

“เจ้า…”

ฮูหยินสองเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปปลอบ “ท่านแม่อย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ เสี่ยวชีไม่ใช่คนที่ไม่ให้ความสำคัญใคร รอดูว่านางจะพูดอะไร…”

หลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองนางอยู่ยิ่งมาได้ยินคำพูดนี้ยิ่งโกรธกว่าเดิม “เจ้าอย่าพูดเลย! ความคิดของเจ้าถูกเด็กคนนี้เป่าหูไปหมดแล้วจนไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนตระกูลใด!”

ฮูหยินสองหน้าซีดเผือดไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะจึงถือโอกาสไม่พูดเสียเลย

หมิงเวยมองอย่างเย็นชา ซู่เจี๋ย ปิงซินและแม่นมถงที่อยู่ด้านหลังของนางเองก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

อย่างที่อาหว่านบอกไปบริเวณโดยรอบถูกควบคุมโดยคนของนางแล้ว พวกนางโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์

ในที่สุดเป็นนายท่านสี่ที่พูดด้วยความไม่สบายใจ “เสี่ยวชี ตกลงหลานมีเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้ทุกคนมากันหมดแล้วรีบพูดออกมาเถอะ ท่านย่าของหลานร่างกายไม่แข็งแรง อย่าทำให้นางโกรธเลย”

หมิงเวยพยักหน้าให้เขา “ท่านอาสี่โปรดรอสักครู่ยังมีอีกสองคนที่ยังมาไม่ถึง”

นายท่านสี่ชะงักแล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้แต่ก็เงียบเอาไว้ ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวายแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ฮูหยินหกจึงค่อยๆ สงบลง

ไม่มีผู้ใดในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายพูดอะไรออกมาอีก เป็นความเงียบที่ค่อนข้างน่ากลัว หลังจากรอสักพักก็มีเสียงจากด้านนอก

“มากันครบแล้วหรือ แสดงว่าข้ามาสายสินะ” ทุกคนหันหน้าไปมองแล้วก็เห็นว่าคุณชายหยางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

ไม่รอให้พวกเขาพูดอะไร เขาหันกลับไปโบกมือ “นำตัวเข้ามา” แล้วก็เห็นว่าองครักษ์พาคนสองคนเข้ามาในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย

ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบนักโทษ ผมปล่อยสยายลงมาดูกระเซอะกระเซิงมาก พวกเขาถูกองครักษ์ผลักจนล้มลงคุกเข่าในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย

ผมข้างหนึ่งที่ปล่อยลงมาเปิดออกจนเผยให้เห็นใบหน้า หมิงฮ่าวเห็นแล้วก็อุทานด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ!”

ทุกคนตั้งใจมองแล้วก็เห็นว่าเป็นนายท่านสองจริงๆ หมิงฮ่าวอยากเข้าไปหาแต่ก็ถูกองครักษ์ขวางไว้

หยางชูยิ้ม “เขาเป็นนักโทษคดีร้ายแรงแค่ให้พวกท่านได้พบหน้าก็เพียงพอแล้ว!” ทุกคนในตระกูลหมิงมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปและอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอีกคน

ถ้าคนนี้เป็นนายท่านสองแล้วอีกคนเป็นผู้ใดกัน ดูเหมือนหยางชูจะอ่านใจพวกเขาออกจึงเชยคางเขาขึ้นโดยมีองครักษ์ช่วยดึงเขาขึ้นมาแล้วปัดผมยุ่งๆ ที่ปิดหน้าเขาออก

หมิงฮ่าวเป็นคนแรกที่ดูออกเขาเบิกตากว้างด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “ท่าน… ท่านอาสี่”

เขาร้องออกไปเช่นนั้นแล้วหันหน้าไปมองนายท่านสี่

นายท่านสี่ยืนอยู่ตรงนั้นปกติ หมิงฮ่าวมองสลับไปมาอยู่หลายรอบจนสับสน

ทุกคนในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย คนที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังนี้ดีจึงไม่พูดอะไร ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรต่างตกใจอย่างหนัก

หมิงฮ่าวไม่เคยพบนายท่านสาม แม้จะรู้ว่านายท่านสี่มีพี่น้องฝาแฝดที่โตมาด้วยกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกันเช่นนี้

ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็นผู้ที่เคยพบหน้ากันมาก่อนแล้ว

“น้อง…น้องสาม” ฮูหยินสองพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ

หมิงเวยกล่าวอย่างเรียบเฉย “ท่านป้าสอง ท่านคงคิดไม่ถึงว่าคนที่ท่านลุงสองซ่อนไว้ที่เรือนนั้นเป็นเขาเองเจ้าค่ะ”

ฮูหยินสองกุมขมับนางรู้สึกสับสนไปหมด

ฮูหยินสี่และฮูหยินหกเองก็ตกใจเช่นกัน แม้แต่นายท่านหกที่นอนอยู่บนเปล ก่อนหน้าที่เขาทำตัวเหมือนไร้ชีวิต แต่ตอนนี้ทำสีหน้าสะท้อนใจ

มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่แววตาของนางดูซับซ้อน

หมิงเวยกวาดตามองอย่างเย็นชาแล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะ คนมากันครบแล้ว เริ่มกันเลย”

นางเดินเข้าไปที่หน้าป้ายวิญญาณของท่านแม่ “ท่านแม่! ท่านลืมตามองดูให้ดีนะเจ้าคะ ในที่สุดความยุติธรรมที่ควรมอบให้ท่านก็มาถึงแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมุ่งร้ายทุกคนก็รู้สึกหนาวเหน็บ ในเวลานี้ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นไปอีก

หมิงเวยหันหน้ามาใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มแววตาที่คมกริบราวกับมีดกวาดตามองพวกเขาทีละคน

“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีล่ะ” นางคิด “งั้นเริ่มจากเรื่องผีออกอาละวาดที่สวนอวี๋ฟางก่อนละกันเจ้าค่ะ”

นางหยุดไปพักหนึ่งแล้วเริ่มพูดอย่างช้าๆ “น่าจะฤดูหนาวที่แล้วมีคนสร้างสถานการณ์หนึ่งในสวนอวี๋ฟาง เขาพบซากสัตว์ที่ตายแล้วจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่ในสวน จากนั้นจึงซ่อนของเก่าๆ จำนวนหนึ่งเอาไว้ ซากสัตว์ที่ตายแล้วจะให้กำเนิดหยินชี่ หากหยินชี่แข็งแกร่งขึ้น จิตวิญญาณจากของเก่าพวกนั้นจะสำแดงขึ้นมา คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าพบเจอผี”

หมิงเวยมองคนพวกนั้น “ตอนนี้พวกท่านรู้แล้วว่าเรื่องพบผีที่สวนอวี๋ฟางเป็นมาอย่างไรแล้วใช่หรือไม่”

ไม่มีผู้ใดตอบรับ

หมิงเวยเองก็ไม่ต้องการให้พวกเขาตอบรับจึงพูดต่อไป “แต่ว่าผู้ที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมากลับไม่รู้ว่าในสวนมีวิญญาณร้ายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว วิญญาณร้ายนั้นถูกหยินชี่กระตุ้นแล้วข้าที่ไปพบเข้าโดยบังเอิญจึงตกใจจนล้มป่วย”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ฮูหยินสองก็พูดขึ้นมา “อย่างนี้นี่เอง…”

ก่อนหน้าที่จะขุดพบกระดูกที่สวนอวี๋ฟาง พวกเขารู้อยู่แล้วว่ามีวิญญาณร้าย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบตามมาเช่นนี้ เมื่อคิดดูแล้วมันเป็นความผิดพลาดจริงๆ

“ผู้ที่สร้างเรื่องคนนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มีเจตนาร้าย สิ่งที่เขาทำไปไม่ใช่เพื่อจัดฉากฆ่าก็แค่ทำเพื่อต้องการให้ผู้คนตกใจก็เท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าจะมีวิญญาณร้ายซ่อนอยู่ในสวนซึ่งทำให้เกิดผลตามมาที่ไม่อาจทราบได้ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อเขารู้ความจริงแล้วจะเสียใจหรือไม่ เพียงเพราะความคิดชั่วร้ายที่แล่นเข้ามาทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ตามมามากมาย นี่ไม่ใช่เจตนาของเขา และเหตุผลก็ไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้”

หมิงเวยพูดถึงตรงนี้แล้วมองไปที่คนผู้หนึ่ง “ใช่หรือไม่เจ้าคะพี่สี่”

ฮูหยินสี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจแล้วถามกลับไป “เสี่ยวชี หลานหมายความว่าอย่างไร”

หมิงเวยไม่สนใจนาง นางมองแต่หมิงเฉิงแล้วถามซ้ำ “ใช่หรือไม่เจ้าคะพี่สี่”

หมิงเฉิงที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดถอนหายใจแล้วเดินออกไป “ใช่ เรื่องนี้พี่เป็นคนทำเอง”

เขายอมรับทันทีอย่างไม่ลังเล

“เฉิงเอ๋อร์!” นายท่านสี่ตกใจ “ทำไมถึงเป็นเจ้าได้”

……………………………….