บทที่ 130 ไม่คู่ควร

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเฉิงยิ้มอย่างขมขื่นหากย้อนกลับไปเมื่อสี่เดือนก่อนได้ เขาก็อยากเรียกสติตนเองเช่นกัน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตระกูลหมิงเริ่มจากความคิดชั่วร้ายที่แล่นเข้ามาเมื่อสี่เดือนก่อน

เสี่ยวชีตกใจจนล้มป่วย ท่านป้าสามฆ่าตัวตาย จนกระทั่งวันนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตยึดทรัพย์และประหารทั้งตระกูล แต่ละอย่างที่ถาโถมเข้ามาไม่มีที่ว่างให้หันหลังกลับ

“เฉิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้”

เมื่อได้ยินคำถามของบิดาหมิงเฉิงตอบไปว่า “เพราะลูกคิดไปเองว่าตนเองถูกมากเกินไป”

เขาขยับสายตามองเริ่มจากท่านพ่อ ท่านแม่แล้วเลื่อนหยุดอยู่ตรงคำว่า ‘奠[1]’ ตัวใหญ่บนห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย

“ท่านพ่อ อันที่จริงลูกไม่ได้เพิ่งทราบว่าผู้ใดอยู่ในใจของท่าน”

นายท่านสี่ตกใจ “แต่ท่านพ่อคงจำไม่ได้แล้ว ตอนที่ลูกยังเด็กมีครั้งหนึ่งท่านดื่มเหล้ากลับมาแล้วอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว…”

หมิงเฉิงจำได้ตอนนั้นเขาอายุเจ็ดปี ใช่ เป็นปีที่ท่านลุงสาม ‘เสียชีวิต’

เขามักจะไปเล่นที่ห้องหนังสือของบิดาวันนั้นก็เช่นกันแล้วก็เห็นว่าบิดาของตนเองเมามายแล้วร้องไห้ออกมา

เขาร้องไห้แล้วเรียกชื่อหนึ่งออกมา และกล่าวขอโทษซ้ำๆ

เขายังจำได้จนถึงวันนี้ว่าคำนั้นคือคำว่าอาหยู

เขาในตอนนั้นรู้สึกสับสนงุนงง แต่ก็รู้ว่าในหัวใจของบิดามีคนผู้หนึ่งอยู่แล้วคนผู้นั้นน่าจะเป็นผู้หญิง มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของเขา เป็นเรื่องง่ายที่มองเห็นเหตุผลเบื้องหลังพวกนั้น

อย่างเช่นท่านพ่อที่เย็นชากับท่านแม่ เช่นท่านแม่รู้สึกเศร้าเสียใจ

สิบปีที่เขาไม่พูดถึงมันเดิมทีมันเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรใส่ใจ ความรู้สึกของท่านพ่อ เขาจะยื่นมือเข้าไปยุ่งได้อย่างไร

จนกระทั่งเมื่อสี่เดือนก่อนเขากลับมาจากเมืองหลวง เสี่ยวชีที่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กจะอากาศร้อนหรือหนาวนางก็ล้มป่วยได้ง่าย วันนั้นครอบครัวของเขาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทานข้าวด้วยกันแล้วก็มีข่าวจากสวนอวี๋ฟางว่าเสี่ยวชีเป็นไข้ตัวร้อน

บิดาของเขาวางตะเกียบลงแล้วรีบออกไปเชิญหมอ

ตอนแรกหมิงเฉิงไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ในฐานะที่ท่านพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว การดูแลภรรยาของพี่ชายที่เสียไปเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำ

จนกระทั่งเย็นวันนั้นเขาไปหาท่านแม่แล้วได้ยินนางพูดกับแม่นมหยู

“ข้ารู้ดี แค่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในสวนอวี๋ฟางเขาก็พร้อมที่จะวางทุกเรื่องลง”

“แล้วข้าจะทำอย่างไรได้เล่า ทนมาได้หลายปีเพียงนี้ก็ทำได้แค่ทนต่อไปก็เท่านั้น”

หมิงเฉิงตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาแอบติดสินบนแม่เฒ่าท่านหนึ่งในสวนอวี๋ฟาง เขาจึงได้รู้ชื่อของฮูหยินสาม

หยู ที่แท้ก็คือหยู

วันนั้นหมิงเฉิงเมาอย่างหนักเพราะออกไปนัดเจอกับเพื่อนร่วมชั้นข้างนอก

เมื่อมองย้อนกลับไปตอนนั้นก็คิดว่าตนเองช่างโง่เขลามาก เพราะเบาะแสเหล่านี้ เขาจึงเข้าใจผิดว่าบิดาของตนเองกับป้าสะใภ้มีเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้

แล้วเขาจะทำอย่างไรได้เรื่องสกปรกของผู้อาวุโสไม่สามารถเปิดเผยได้ หรือคิดว่าเรื่องยังไม่แดงขึ้นมาท่านแม่ก็จะต้องทุกข์ทรมานต่อไปงั้นหรือ

แล้วเขาก็บังเอิญได้พบกับผู้มีวิชาท่านหนึ่งแล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

เขาวางแผนมาอย่างดีก่อนจะสร้างเรื่องผีออกมาหลอกหลอน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเขาจะแสร้งปลอมเป็นวิญญาณของท่านลุงสามมาเตือนท่านป้าสามให้ตระหนักในหน้าที่ของตนเอง

เขามีหน้าตาเหมือนผู้เป็นบิดา แต่มีนิสัยอ่อนโยนกว่าถูกผู้อื่นบอกว่าเหมือนท่านลุงสามมาตั้งแต่เด็กการปลอมตัวคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เขาใช้เวลากับเรื่องนี้อยู่ถึงสองเดือน แต่ใครจะรู้ว่าแผนของเขายังไม่ทันไปถึงขั้นสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น

เสี่ยวชีตกใจจนล้มป่วย ป่วยหนักจนเกือบตาย

ในตอนนั้นหมิงเฉิงรู้สึกหวาดกลัวมาก เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับน้องสาว ทุกวันเขาจมอยู่กับความเสียใจและคิดทบทวนทุกอย่างจนตระหนักได้ว่าวิธีของเขานั้นช่างเด็กเสียจริง

จนกระทั่งได้รับข่าวว่าเสี่ยวชีอาการดีขึ้นแล้วเขาจึงรวบรวมความกล้าไปหานาง

หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องพวกนี้

“เป็นความผิดของลูกเอง” หมิงเฉิงพึมพำ “เพราะลูก ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้าย…”

หมิงเวยมองเขาอย่างสมเพช “พี่สี่ทำผิดจนถึงขั้นจะเอาชีวิตคน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความโชคร้าย เรื่องเมื่อสิบปีก่อนหรืออาจเป็นสิบแปดปีก่อนต่างหาก ตอนนั้นความโชคร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว”

พูดถึงตรงนี้นางก็หันไปหานายท่านสี่ “ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านอาสี่”

นายท่านสี่ขยับริมฝีปาก แต่ไม่พูดอะไร

หมิงเวยไม่ปล่อยเขาไป “เพราะท่านเจอท่านแม่ก่อน แต่ไม่กล้าแข่งกับพี่ชายตนเอง ได้แต่มองนางแต่งงานกับคนไร้มนุษยธรรม ท่านรู้อยู่นานแล้วว่าท่านแม่ถูกลบหลู่ดูหมิ่นอย่างไร แต่ก็ได้แต่มองดูอย่างเงียบๆ มองนางดิ้นรนอยู่ในนรก ท่านคิดว่าท้ายที่สุดลุกขึ้นยืนมาได้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ คิดว่าจะสามารถล้างบาปของตนเองออกไปได้หรือ ครอบครัวจะกลับมารวมตัวและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในอนาคตได้หรือ หากเป็นเช่นนั้นแล้วที่ท่านแม่ต้องทนทุกข์มาตลอดสิบปีคืออะไร คิดว่าชีวิตของพวกเราแม่ลูกเป็นอะไรกัน!”

สิ้นคำพูดสุดท้ายเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย

แม่นมถงยืนขึ้นสีหน้าของนางดูงุนงง “คุณหนู ท่านเข้าใจผิดไปหรือเปล่า นายท่านสี่…ตอนนั้นจะเป็นนายท่านสี่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

หมิงเวยยิ้มเย็นแล้วมองนายท่านสี่ “ใช่หรือไม่ ให้เขาพูดออกมาเอง! ท่านอาสี่ ท่านกล้าบอกด้วยตนเองหรือไม่เล่า”

นายท่านสี่หลับตาลง ปากของเขาสั่น คนในตระกูลหมิงที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ นอกจากฮูหยินสี่และหมิงเฉิงแล้วทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตกใจ

ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินสอง ไปจนถึงนายท่านหกและฮูหยินหก ทุกคนต่างเบิกตากว้าง แม้กระทั่งนายท่านสองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยังมีสีหน้าสับสน

ตอนนั้นเป็นนายท่านสี่หรอกหรือแล้วทำไมเขาไม่พูดออกมา ในปีนั้นถือเป็นเรื่องราวดีๆ ของตงหนิงที่ว่านายท่านสามชอบช่วยเหลือผู้อื่นถึงได้กลายเป็นบุพเพสันนิวาสที่งดงามเช่นนั้น บุรุษผู้มีความสามารถกับสาวงาม เสมือนสวรรค์ได้บรรจงสร้างขึ้น

ที่แท้เรื่องราวภายในก็เป็นพี่น้องแย่งสตรีกันงั้นหรือ การที่นายท่านสี่เงียบก็เท่ากับว่าเขายอมรับในเรื่องนี้

แม่นมถงยังยอมรับไม่ได้นางพูดกับตนเอง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าคุณชายสามเป็นคนใจดีอ่อนน้อมถ่อมตน คุณชายสี่เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวไร้มารยาทหรอกหรือ”

นายท่านสามที่หมอบอยู่กับพื้นยิ้มเยาะเย้ย

“ก็เพราะว่าทุกคนพูดเช่นนั้นเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า เรื่องดีๆ ตกเป็นของคุณชายสาม เรื่องไม่ดีกลายเป็นของคุณชายสี่แล้วใครกันล่ะที่บอกว่าคนที่อารมณ์ร้ายไร้มารยาทจะทำเรื่องดีๆ ไม่ได้ นอกจากนี้คนที่เขาพบเป็นแม่หญิงวัยเยาว์ก็ต้องทำตัวให้ดีๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย”

“แต่…”

แม่นมถงยังรับไม่ได้นางคิดมาตลอดว่านายท่านสี่ไม่สามารถเทียบนายท่านของนางได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคนที่ฮูหยินสามหลงรักตั้งแต่แรกพบคือนายท่านสี่

“พอแล้ว!” ในที่สุดนายท่านสี่ก็เปิดปาก “เรื่องราวผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว มีอะไรให้นำมาพูดถึงอีก”

“แน่นอนว่ามีเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเย็น “หากไม่พูดถึงมันจะทำให้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านโง่แค่ไหนกัน หากท่านคิดต่อสู้ตั้งแต่แรกท่านแม่จะได้แต่งงานกับนายท่านสามหรอกหรือ”

“ทำไมจะไม่ได้” นายท่านสี่ถูกนางกดดัน “ถึงนางจะรู้ความจริงแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้ คุณชายสามแห่งตระกูลหมิงมีความรู้ความสามารถเปรียบดั่งดวงจันทราบนนภาสูง! คุณชายสี่แม้จะมีใบหน้าเหมือนพี่ชายอย่างกับแกะ แต่กลับไม่ฉลาดนัก ไร้ความสามารถคนปกติต่างก็ต้องเลือกเขาไม่เลือกข้าอยู่แล้ว!”

หมิงเวยยิ้มเย็น “ก็เพราะท่านคิดเช่นนี้ถึงได้มีวันนี้อย่างไรล่ะ นายท่านสามไม่คู่ควรกับท่านแม่ ท่านก็ไม่คู่ควรเช่นกัน!”

……………………………………

[1] 奠 : เป็นคำที่ใช้แปะตัวโตๆ ในงานศพ จะใช้สีขาวดำ ถ้าเห็นอักษรตัวนี้แปลว่ามีใครเสียชีวิตแล้ว เป็นอักษรเดี่ยวใช้คล้ายๆ กับในงานแต่งที่ชอบแปะคำว่า 囍 สีแดง