บทที่ 721 เข้าถ้ำเสือ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 721 เข้าถ้ำเสือ โดย Ink Stone_Fantasy

แสงแดดยามบ่ายแรงมาก ถนนหลวงถูกแดดส่องจนแห้งไปนานแล้ว ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นแปลกๆ ลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด

“นี่มันกลิ่นอะไรเนี่ย?” มู่เฉินสูดหายใจ แล้วรีบยกมือปิดจมูกด้วยสีหน้าเบี้ยวบูด

“เชื้อไวรัส” หลิงม่อพูดลอยๆ

“เชี่ย…” มู่เฉินขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรใหญ่โตนัก

เชื้อไวรัสที่ยังไม่ผ่านการกลายพันธุ์ไม่สามารถติดเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจได้ ถึงแม้จะเป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่เจ้า “วิกผม” หลั่งออกมาเอง ก็ยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทำให้ร่างกายคนเกิดอาการติดเชื้อได้

และในเมือง การที่มีกลิ่นแปลกๆ หลังจากฝนตกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ศพบวมอืด เลือดมากมายที่ไหลรวมกับน้ำ เนื้อเน่าเฟะที่กระเด็นกระดอนออกมาจากซอกหลืบอาคาร แล้วยังมีเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบของเหลวประหลาดอีกมากมาย…

เมื่อถูกแสงแดดสาดส่อง ไม่ว่ากลิ่นอะไรก็ลอยคลุ้งขึ้นมาหมด

และสาเหตุที่ที่นี่มีกลิ่นฉุน ต้องเป็นเพราะนิพพานสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

แถวๆ นี้มีซอมบี้ไม่เยอะ เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านการเคลียร์เส้นทางมาก่อนแล้ว แต่จำนวนซอมบี้ที่ตายในนิพพานสำนักงานใหญ่กลับไม่ใช่จำนวนที่น้อยอย่างแน่นอน

หลิงม่อทอดมองไปยังมหาลัยแพทย์ ด้านในรั้วล้อมเต็มไปด้วยพื้นชนิดต่างๆ กิ่งก้านหงิกงอบางส่วนแทรกตัวออกมาจากรอยแยกบนรั้ว ดูราวกับมือของศพแห้งกรังที่พยายามกระชากร่างคนที่เดินผ่านขึ้นไปบนรั้วอย่างไรอย่างนั้น หากมาเห็นเข้าในเวลากลางคืน คงจะต้องสะดุ้งตกใจเป็นแน่

สาเหตุที่พืชชนิดต่างๆ เจริญเติบโตจนมีรูปร่างอย่างนี้ เห็นชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

ทันทีที่ฝนตก รากของพวกมันก็จะถูกแช่ในน้ำผสมเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเกิดการกลายพันธุ์…

“แม้แต่สถานที่อย่างฟอลคอน ปลูกพืชผักจะกินได้รึเปล่ายังไม่รู้ แต่ถ้าหากสามารถเติมท้องให้อิ่ม แล้วยังไม่ทำให้กลายพันธุ์ทันที เหล่าผู้รอดชีวิตก็น่าจะรับได้อยู่…” ความคิดหลิงม่อลอยไปไกลชั่วขณะ

“สถานที่อย่างนี้…คงยากที่พวกเราจะลงมือใช่ไหม?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้น

ความจริง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มั่นใจว่านิพพานสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่จริงๆ แต่พอถึงตาพวกเย่เลี่ยนเฝ้ายาม ซย่าน่าก็บอกว่าเห็นคนเดินออกมาจากตรงนั้น

หลิงม่อไม่ถามอะไรมากความ วันที่สองก็ตัดสินใจแฝงตัวเข้ามาทันที

มู่เฉินเองก็หมดหนทางกับเรื่องนี้ เรื่องที่หลิงม่อตัดสินใจแล้ว ถึงเขาจะเสนอความคิดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

โชคดีที่ถึงแม้การตัดสินใจหลายๆ ครั้งของหลิงม่อจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ แต่สุดท้ายหลิงม่อก็ยังนำพาพวกเขาให้มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้

แต่เมื่อมันเป็นเรื่องใหญ่อย่างการแฝงตัวเข้ามาในนิพพานสำนักงานใหญ่ อย่างไรมู่เฉินก็ยังคงอดกังวลใจไม่ได้

นี่มันนิพพานสำนักงานใหญ่เชียวนะ…เขาไม่เหมือนกับหลิงม่อ เขาเคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่มามาก จึงทำให้หวาดกลัวที่นี่มาก

“อืม ยากมาก” หลิงม่อพยักหน้า

แค่ดูจากแนวกันภัยห่ากระสุนด้านนอกก็รู้แล้วว่าการรักษาความปลอดภัยด้านในจะสูงขนาดไหน บวกกับทั้งสองเป็นผู้รอดชีวิต จึงเป็นที่สะดุดตาง่ายมาก แค่เคลื่อนไหวธรรมดาก็ยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะทำอย่างอื่นเลย…

“เชี่ย…” นายก็ซื่อสัตย์เกินไปนะ! อ้อมค้อมหน่อยก็ได้!

มู่เฉินครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็พูดเสียงเบาขึ้นว่า “ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามนายมาตลอด…”

“อย่าลีลา ถามตรงๆ เถอะ” หลิงม่อลอบถอยห่างเงียบๆ

อยากหลีกเลี่ยงการถูกก่อกวน ต้องอยู่ให้ห่างจากตัวตลก…

น่าเสียดายที่หลิงม่อต้องร่วมทางกับเขา เดาว่าเขาคงจะต้องก่อกวนไปตลอดทางแน่นอน

หลิงม่อเองก็ไม่คิดจะเข้าไปในนิพพานสำนักงานใหญ่ทันที อย่างไรก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆ ก่อนดีกว่า

เพราะถึงอย่างไรการมองสถานที่ผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋ายก็มีขีดจำกัด สู้มองด้วยตาตัวเองดีกว่า

“นายสนใจซอมบี้มากขนาดนี้เพราะอะไรกันแน่?” มู่เฉินขมวดคิ้วถาม “นายยืนกรานจะเข้าไปในนิพพานสาขาใหญ่ให้ได้ เรื่องช่วยสวี่ซูหานเป็นแค่หนึ่งในเหตุผลของนายใช่ไหมล่ะ?”

พูดจบ เขาก็ลอบสังเกตสีหน้าของหลิงม่อ พร้อมทำสายตาประมาณว่า “ฉันจับไต๋นายได้แล้ว”

หลิงม่อกลอกตาใส่เขา นายนี่มันเจ้าทึ่มปากมากจริงๆ เลย!

เห็นหลิงม่อเพียงเหลือบมองตัวเองด้วยหางตา และไม่คิดจะตอบคำถาม มู่เฉินก็หัวเราะคิกคัก “ฉันเดาถูกใช่ไหมล่ะ? แต่นายกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่กันแน่? หรือว่าอยากได้พลังของซอมบี้เหมือนกับนิพพานสำนักงานใหญ่?”

เขาคิดไปคิดมา ก็มีแค่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น และนับตั้งแต่ที่เห็นหลิงม่อทำให้สวี่ซูหานประคองสติปัญญาไว้ได้ เขาก็มักรู้สึกว่าความจริงหลิงม่อมีความรู้ความเข้าใจต่อเชื้อไวรัสอย่างลึกซึ้งทีเดียว…

ถ้าหากเขาเองก็มีทฤษฎีความรู้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นการที่เขาจะสนใจการวิจัยของนิพพานสำนักงานใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“หุบปากเถอะน่า” หลิงม่อว่าเขาอย่างไม่สบอารมณ์

“ฮ่าฮ่า ถูกจับได้แล้วทำเป็นเคือง!” มู่เฉินหัวเราะชอบใจ

“เพิ่งหนีจากความยากลำบากมานายจะทำท่าทางดีใจอะไรนักหนัก แสร้งทำเป็นอมทุกข์หน่อยไม่ได้หรือไง” หลิงม่อบอก

“นายอย่าเรื่องมากน่า…โอ๊ยย เชี่ยย…หลิงม่อนาย…”

มู่เฉินกุมท้อง สีหน้าเหมือนเจ็บจุกสุดๆ

จางเหยียนโชคร้ายมาก เมื่อวานตากฝนมาทั้งวันแล้ว ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาก็ยังต้องมาเข้าเวร

ซอมบี้สุนัขที่ถูกล่ามโซ่คลานกับพื้นไปข้างหน้าช้าๆ แต่นั่นกลับทำให้เขาหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

มองดูต้นคอของเจ้าซอมบี้สุนัข จางเหยียนรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอีกครั้ง

โซ่เหล็กเส้นนี้ผูกไว้กับคอของซอมบี้สุนัขโดยตรง ผิวหนังที่ถูกไฟฟ้าช็อตจนไหม้สมานตัวกันเรียบร้อยแล้ว แต่มันกับสมานเข้ากับโซ่เหล็กเส้นนี้ด้วย

มองแค่แวบเดียวยังรู้สึกเสียสายตาขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้องมองอย่างนี้ไปตลอดเลย

“กลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แต่ยังรูปร่างเหมือนคนอีก น่าเกลียดจริงๆ”

จางเหยียนเพิ่งจะบ่นพึมพำไม่กี่คำ จู่ๆ เจ้าซอมบี้สุนัขก็เงยหน้าขึ้น

มันจ้องมองไปข้างหน้า ปากที่ถูกเลาะฟันออกจนหมดเปล่งเสียงครางหงิงๆ เบาๆ

“อะไรอีกแล้ววะ!”

จางเหยียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเต็มที่ แต่เขาก็ยังคงชักมีดสั้นออกมาแล้วตั้งท่าระวังตัว

ถึงแม้ภารกิจที่รับมาจะเป็นระดับล่างสุด แต่ร้ายดีอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ถ้าหากมีซอมบี้หลุดเข้ามา 1 – 2 ตัว เขาก็จัดการทิ้งได้ง่ายๆ

“เมื่อวานก็เอาแต่ดมอยู่ได้ วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม…”

จางเหยียนเพิ่งจะบ่นได้สองสามคำ จู่ๆ เจ้าซอมบี้สุนัขก็กระโจนออกไปข้างหน้าจนโซ่เหล็กเกือบหลุดจากมือของเขา

“เชี่ยย!”

จางเหยียนพยายามดึงซอมบี้สุนัขให้หยุด พร้อมกับกดปล่อยกระแสไฟสองครั้ง

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากที่ใกล้ๆ

“มีคน?”

แถวๆ นี้มีประตูข้างของมหาลัยแพทย์อยู่บานหนึ่ง บางครั้งสมาชิกของนิพพานมักจะเข้าออกโดยใช้ประตูบานนี้

ในเมื่อมีเสียงฝีเท้า ก็แสดงว่าต้องไม่ใช่ซอมบี้แน่นอน

จางเหยียนเก็บมีด แล้วกระชากซอมบี้สุนัขเดินเข้าไป

เพิ่งจะเดินเลี้ยว เขาก็มองเห็นเงาร่างของคนสองคนเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ

แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ สองคนนั้นเพียงทอดมองไปทางมหาลัยแพทย์ แล้วก็เดินหน้าต่อไป เหมือนไม่ได้คิดจะเข้ามาทางประตูข้าง

“เฮ้!”

จางเหยียนนึกสงสัยในใจ แต่ปากกลับตะโกนเรียกสองคนนั้นไว้ก่อน

ในเมื่อเป็นผู้รอดชีวิตที่ปรากฏตัวในเมืองเฮยสุ่ย ก็แสดงว่าต้องเป็นคนของนิพพานสาขาใหญ่แน่นอน จางเหยียนปักใจเชื่ออย่างนั้น

เพียงแต่สภาพของสองคนนั้นดูค่อนข้างงย่ำแย่ ฝีเท้าก็ดูหนักอึ้ง แล้วยังเนื้อตัวสกปรกมอมแมมอีก

กระเป๋าเป้ของพวกเขาไม่ได้ตุงมาก ดูไม่เหมือนคนที่ออกไปทำภารกิจ

ทั้งสองคนชะงักหยุดพร้อมกัน จากนั้นก็หันมามองทางจางเหยียน

จางเหยียนจูงซอมบี้สุนัขเดินออกมาจากพุ่มหญ้า “ทางนี้!”

“มีคนอยู่…”

“หรือว่าหาเจอแล้ว?”

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สองคนนั้นกลับผงะถอยไปสองก้าว

จางเหยียนได้ยินสองคนนั้นคุยกันแว่วๆ แล้วนึกโมโหขึ้นมา

บ้าชิบ เห็นฉันเป็นอากาศรึไงล่ะ!

ทว่าถ้าหากสองคนนี้ออกไปทำภารกิจค้นหาทรัพยากร ก็แสดงว่าระดับสมาชิกสูงกว่าเขา…

พอคิดถึงตรงนี้ จางเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “ฉันชื่อจางเหยียนเป็นสมาชิกระดับห้า รทำหน้าที่เดินลาดตระเวน ทางนี้ใกล้กว่านะ พวกนายสองคนจะเข้าทางประตูใหญ่หรือไง?”

น้ำเสียงเขาไม่ได้แสดงออกถึงความเกรงอกเกรงใจมากนัก แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาเกรงใจแล้ว

เจ้าซอมบี้สุนัขดิ้นพล่านสุดแรง แค่ดึงมันไว้เขาก็ต้องใช้แรงเยอะมากแล้ว

“นั่นตัวอะไรน่ะ?” หลิงม่อแสร้งตกใจ แต่มู่เฉินกลับตะลึงไปจริงๆ แล้วหันมาถามหลิงม่อเสียงเบา

“ตัวทดลองมั้ง น่าจะเหมือนกับหมายเลข 1” หลิงม่อเห็นเจ้าซอมบี้สุนัขมีปฏิกิริยารุนแรง ในใจก็ลอบลนลานไปด้วย

ดูเหมือนจะมีแต่เสี่ยวป๋ายเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากจมูกของเจ้าซอมบี้สุนัขไปได้…

เขาสัมผัสได้ว่าเจ้าซอมบี้สุนัขกำลังจ้องตัวเองอยู่ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นเฉพาะตัวของเขาทำให้มันกคลุ้มคลั่ง…

“โว๊ยย น่ารำคาญจริง…” จางเหยียนช็อตไฟใส่ซอมบี้สุนัขอีกครั้ง มันกรีดร้องเจ็บปวด สุดท้ายก็หมดแรงหมอบลงกับพื้น แต่ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่หลิงม่ออย่างไม่ยอมละสายตาออกไป

ท่าทางของหลิงม่อและมู่เฉินอาจดูเหมือนประหลาดใจกับการปรากฏตัวของจางเหยียน แต่ความจริงหลิงม่อสำรวจพบก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เดินมาทางนี้

ผลีผลามเข้ามาในมหาลัยแพทย์ อาจถูกสงสัยได้ แต่ถ้าหากใช้พลังสำรวจตามหาเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก่อน ทุกอย่างก็จะดูแนบเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น

“นี่ พวกนายสองคนเป็นใบ้รึไง?” จางเหยียนลอบหงุดหงิด รู้อย่างนี้ไม่น่าสนใจพวกนั้นตั้งแต่แรกเลย…

“คือว่า…ขอถามหน่อยนะ นายเป็นสมาชิกของนิพพานสำนักงานใหญ่หรือเปล่า?” มู่เฉินถูกหลิงม่อถลึงตามองแรง จึงทำได้เพียงก้าวออกไปแล้วเปิดปากถาม

พอหลุดคำถามนี้ออกไป ขนาดตัวเขายังอยากตบตัวเองแรงๆ ซักป๊าบ ดูจงใจถามเกินไปแล้ว!

—————————————————————————–