บทที่ 720 เครื่องกักเก็บพลังงาน

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 720 เครื่องกักเก็บพลังงาน โดย Ink Stone_Fantasy

จู่ๆ ก็อยู่ใกล้กันขนาดนี้ สวี่ซูหานถึงกับเกร็งไปทั้งตัวทันที

ไม่รู้เป็นเพราะสายตาของตัวเองได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสหรือเปล่า สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนแม้ในเวลาปกติ เธอก็ยังเห็นความแตกต่างเล็กๆ ของดวงตาทั้งสองข้างนั้นอยู่ดี

ดวงตาข้างหนึ่งดำลึกล้ำ ในขณะที่ดวงตาอีกข้างกำลังสะท้อนสีแดงอ่อนๆ อยู่

โดยเฉพาะความกระหายเลือดและความคลุ้มคลั่งของซอมบี้ ท่ะท้อนเลือนรางอยู่ในดวงตาสีแดงอ่อนๆ นั่น

ถึงแม้สัญชาตญาณของซอมบี้จะถูกกดข่มไว้แล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับร่างกายกลับไม่มีทางหายไปง่ายๆ

ทว่าถึงอย่างนั้น แค่ยากที่จะถูกแยกแยะออกในเวลาปกติ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

ด้วยนิสัยส่วนตัวของซย่าน่า ก็ไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาจ้องตาเธอใกล้ขนาดนี้อยู่แล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้สวี่ซูหานใจเต้นแรงจริงๆ กลับเป็นเสียงพูดเบาๆ นั่นของซย่าน่าที่เหมือนเธอมากระซิบอยู่ข้างหูสวี่ซูหาน

“เธอชอบพี่หลิงล่ะสิ?”

สวี่ซูหานนิ่งอึ้งไป 3 วินาที แล้วจึงค่อยโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “พูดอะไรน่ะ! จะเป็นไปได้ไงกัน! ฉัน…ฉันแค่กลัวว่าเขาจะทำล้มเหลว…ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากกลายเป็นซอมบี้เต็มตัว…เอาเป็นว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูดหรอก…”

ตอนแรกเธอพูดเสียงสูงเล็กน้อย แต่ยิ่งพูด เสียงของเธอก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ

ไม่ต้องส่องกระจก เธอก็รู้ว่าตัวเองกำลังหน้าแดงอยู่แน่นอน

ความรู้สึกร้อนผ่าวนั่น ทำให้เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

ควรบอกว่าไม่เสียแรงที่เป็นซอมบี้ไหมนะ…ทั้งที่เป็นแฟนหลิงม่อแต่กลับถามคำถามประเภทนี้ออกมาได้ตรงขนาดนั้น…

แถมหลังจากถามเสร็จ เธอกลับจ้องสวี่ซูหานด้วยสายตาล้อเลียนสุดๆ อีกด้วย!

ถ้าแค่เธอคนเดียวก็แล้วไป แม้แต่หลี่ย่าหลินกับเย่เลี่ยนก็ยังเอาแต่จ้องหน้าเธออย่างสงสัยด้วย!

อุณหภูมิบนใบหน้าของสวี่ซูหานเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เธอจะอธิบายไปแล้ว แต่การต้องอยู่ท่ามกลางวงล้อมสายตาของซอมบี้สาวสามตัว ขนาดตัวเธอยังรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองช่างฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย!

“ฉันไม่ได้…”

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” ในที่สุดซย่าน่าก็พยักหน้า

แต่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกไม่นาน สวี่ซูหานก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้าเด็กสาว

จิตใจที่เพิ่งจะสงบลงเมื่อกี้จึงเริ่มลนลานขึ้นมาอีกครั้ง…

สวี่ซูหานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบานประตูห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลบานนั้น หลิงม่อคงไม่คิดแบบนี้ด้วยหรอกนะ?

ถ้าหากเขารู้เข้า สวี่ซูหานคงจะแทรกแผ่นเดินหนีจริงๆ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ถูกมู่เฉินที่ทำหน้าที่เฝ้ายามตรงหน้าต่างเห็นเข้าเต็มๆ ตอนนี้เขากำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้รำไร “เห็นฉันเป็นอากาศธาตุหรือไง…”

หมับ!

เจ้าแมงกะพรุนที่ขนาดตัวหดเล็กลงอีกครั้งถูกหลิงม่อรับไว้ในมือ สีหน้าของเขาซีดเผือด หน้าผากเต็มไปด้วยชั้นเหงื่อบางๆ แต่ท่าทางเขากลับดูค่อนข้างพึงพอใจ

กว่าจะรู้ว่าขีดจำกัดของเจ้าแมงกะพรุนอยู่ตรงไหน เขาก็ได้ถ่ายเทพลังจิตของตัวเองไปกักเก็บไว้ในร่างแมงกะพรุนถึง 1 ใน 3 ส่วนแล้ว

ทว่าหลังจากที่พลังจิตล้นออกมาเล็กน้อย มันก็รีบทำให้พลังงานทางจิตหดตัวอีกครั้ง

และเมื่อรูปร่างของมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม พลังงานทางจิตในร่างกายของมันก็ได้ถูกบีบรัดจนถึงที่สุด และกลายเป็นเหมือนเปลวเพลิงเล็กๆ ที่กำลังเผาไหม้ด้วยความร้อนสูง

พลังงานกลุ่มนี้มีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ แต่ถ้าหากนำมาแปลงเป็นหนวดสัมผัสรูปสสาร มันกลับสามารถสังหารซอมบี้ได้เป็นร้อยตัวเลยทีเดียว

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่ง เมื่ออยู่ในการต่อสู้ที่แท้จริง อ้างอิงจากสถานการณ์ที่แตกต่างกัน พลังงานทางจิตที่หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งต้องใช้ก็ย่อมต้องแตกต่างกันไปด้วย

ถึงแม้อย่างนั้น มันก็มากพอที่จะบ่งบอกได้แล้วว่าพลังจิตที่ถูกกักเก็บไว้ในนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน

ถ้าหากสามารถนำสิ่งนี้มาใช้ในเวลาที่สูญเสียพลังจิตไปจนหมด สำหรับหลิงม่อก็เหมือนได้ชาร์จแบตฯ ให้ตัวเองอีกครั้ง

“เจ้าแมงกะพรุนดูดดกลืนพลังจิตจำนวนน้อยทุกวัน แต่ปริมาณพลังจิตเพียงเท่านี้ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพดีกว่ายาฟื้นพลัง แต่จุดเสียคือไม่อาจเพิ่มพลังกายได้…ถือเป็นการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไปก่อนแล้วกัน อย่างไรก็ต้องหายามาเพิ่มอยู่ดี” หลิงม่อคิดในใจ จากนั้นก็ยัดเจ้าแมงกะพรุนใส่กระเป๋าด้านในเสื้อตัวเอง และรูปซิปขึ้น

ถึงจะมีคนเห็น แต่ดูแค่ภายนอกก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต

แต่ถ้าหากเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก

ดังนั้นแทนที่จะเอามันเก็บไว้ในกระเป๋าเป้เพื่อเป็นเป้าล่อเหล่าผู้มีพลังจิต สู้เขาเอาเก็บไว้แนบกายจะดีกว่า…

เวลาเที่ยงวันของวันถัดมา ในที่สุดฝนก็หยุดตกแล้ว

แสงอาทิตย์เจิดจ้าแผ่ปกคลุมเมืองเฮยสุ่ย และในบ้านเรือนธรรมดาที่ดูไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อยหลังหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมวงกันอยู่ในนั้น

หลิงม่อกับมู่เฉินแบกกระเป๋าเป้คนละใบ บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบโคลนและรอยเลือด บวกกับสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ดูแวบแรกเหมือนคนที่เพิ่งมาถึงเมืองเฮยสุ่ยอย่างตรากระกำลำบากมากจริงๆ

โดยเฉพาะหลิงม่อ เขาจงใจสวมหมวกแก็ปเพื่อปิดบังดวงตาที่เป็นประกายลึกล้ำของตัวเองเกือบครึ่งส่วน นอกจากรูปร่างสูงโปร่ง ดูผิวเผินก็ไม่ต่างจากผู้รอดชีวิตธรรมดาเลย กระทั่งดูไม่น่ามีแรงคุกคามเท่ามู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ

มู่เฉินเหน็บมีดพกเล่มนั้นไว้ที่เอว ด้ามจับและตัวมีดที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังดูน่ากลัวไม่น้อย

นี่ก็เป็นความคิดของหลิงม่อเช่นกัน หากไม่มีพลังความสามารถอยู่บ้าง ก็ไม่มีวันเดินทางจากเมืองตงหมิงมายังเมืองเฮยสุ่ยได้อย่างแน่นอน

ถ้าหากจะบอกว่าเดินอ้อมมาโดยใช้เส้นทางเล็กๆ พวกเขาก็เดินทางมาถึงเร็วไปหน่อย

ต้องทำให้มู่เฉินดูร้ายกาจขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนหลิงม่อนั้นปกปิดความสามารถของตัวเองไว้อย่างมิดชิด แสร้งปลอมเป็นผู้มีพลังจิตที่ขาดศักยภาพด้านร่างกายธรรมดาคนหนึ่ง

“ฉันไปแล้วนะ ถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะส่งสัญญาณมาบอก” หลิงม่อพูดขึ้น

มู่เฉินมองหน้าเขาอย่างสงสัย แต่กำลังคิดจะอ้าปากถาม ก็ถูกซย่าน่าถลึงตาจ้องแรง

“บ้าจริง ฉันไม่ถามก็ได้ พอใจรึยังล่ะ…” มู่เฉินบ่นอย่างหงุดหงิด

แต่จะว่าไปแล้วอย่างไรหลิงม่อก็เป็นผู้มีพลังจิตนี่นา เขาอาจมีวิธีของเขาจริงๆ ก็ได้

พอคิดได้อย่างนี้เขาก็อุ่นใจขึ้นมาก ถ้าหากว่าพวกเขาสองคนผลีผลามเข้าไปในถ้ำเสือส่งเดช คงเป็นการท้าทายเกินไป…

สวี่ซูหานยืนอยู่ข้างหลังอย่างคนมีชนักติดหลัง ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าพวกหลิงม่อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ช่วงที่ผ่านมา เธอเองก็เหมือนจะรู้สึกได้รางๆ ว่าพวกเขาอาจมีวิธีพิเศษที่ใช้ติดต่อกัน

แต่สิ่งที่เธอรู้มีน้อยเกินไป ทำให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

แต่ที่มั่นใจได้ก็คือวิธีนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับพลังจิตของหลิงม่อ เธอกระทั่งคิดไปถึงว่ามันจะเป็นวิธีประเภทสะกดจิตหรือเปล่า…

“แต่พวกเย่เลี่ยนก็ไม่เห็นเหมือนถูกสะกดจิตเลยนี่นา…หรือจะถูกล้างสมองกันนะ…อ๊ะ! หรือโดนวางยา? ไม่หรอกๆ…ถ้าอย่างนั้นบางทีอาจเป็น…”

ในขณะที่ความคิดของสวี่ซูหานเริ่มเบนไปในทิศทางที่ฟังดูบ้าขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เธอกลับได้ยินเสียงหลิงม่อดังขึ้นมา

“สวี่ซูหาน หลายวันนี้เธอก็ทำใจให้สงบแล้วกันนะ ฉันเอายาให้ซย่าน่าไว้แล้ว ซย่าน่าจะเอายาให้เธอกินตรงเวลาเอง” หลิงม่อพูดพลางมองเธอ

สวี่ซูหานชะงัก เธอไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี โดยเฉพาะเมื่อสายตาของพวกเย่เลี่ยนพุ่งเป้ามาทางเธออย่างพร้อมเพรียง

ความรู้สึกตอนนี้น่าอับอายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า แต่ถูกหลิงม่อมองอยู่อย่างนี้ เธอจะยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อย่างนี้ต่อไปไม่ได้

“ฉัน…ฉันรู้แล้วล่ะ…” เสียงของสวี่ซูหานตอบกลับเบายิ่งกว่าเสียงมด

หลิงม่อมองหน้าเธออย่างนึกสงสัยเล็กน้อย พอเห็นท่าทางเธอเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงยื่นมือไปตบไหล่เธอเบาๆ แล้วบอกว่า “อย่ากังวล ฉันจะหาวิธีให้ได้เอง”

“อ๊ะ…” จู่ๆ ก็ถูกหลิงม่อแตะไหล่ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำเอาสวี่ซูหานเกือบกระโดดโหยงขึ้นมา

เธอพยักหน้าอย่างตื่นๆ แต่ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้ง “เข้าใจแล้ว…”

“จำไว้ว่าอย่าให้ถูกใครจับได้ ในเมืองเฮยสุ่ยนอกจากสมาชิกของนิพพาน เดาว่าคงไม่มีผู้รอดชีวิตคนอื่นแล้วล่ะ ถ้าหากถูกจับได้ก็จะแย่ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ…” หลิงม่อส่งยิ้มบางให้พวกเย่เลี่ยน

ความจริงเขาอยากสวมกอดพวกเธอแต่ละคนแน่นๆ ทว่าการแฝงตัวเข้าไปในครั้งนี้เขามีความมั่นใจสูงมาก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องร่ำลากันเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีสายสัมพันธ์ทางจิตอยู่ ถ้าหากจู่ๆ เขาทำตัวอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา กลับจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงมาก

มู่เฉินเองก็ยืนด้วยความกังวลอยู่อีกฝั่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่มแรงกดดันให้เขาดีกว่า

“เดี๋ยวก่อน…” พอเห็นหลิงม่อหันหน้ากลับมา แล้วมองเธอด้วยสีหน้าซักถาม สวี่ซูหานก็พูดเสียงเบาขึ้นมาว่า “อย่า…อย่าฝืนเกินไป ถ้าทำไม่ได้…ก็ช่างมันไม่เป็นไร”

เห็นชัดว่าเธอต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกว่าจะพูดออกมาได้ เพราะถึงอย่างไรความหมายของคำว่าช่างมันที่เธอหมายถึง ก็คือความหวังสุดท้ายที่เธอมีอยู่

แต่ถ้าหากไม่พูดตอนนี้ สวี่ซูหานก็จะรู้สึกไม่สบายใจมากอย่างนี้ต่อไป…

แต่เธอก็รู้ดีแก่ใจ ว่าหลิงม่อไม่ได้ทำเพื่อเธอคนเดียว…

“โอเค ฉันรู้แล้ว” หลิงม่อชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ายิ้มบาง

“เธอพร้อมที่จะกลายเป็นซอมบี้จริงๆ แล้วหรอ?” ซย่าน่าโบกมือให้หลิงม่อไปพลาง หันมาพูดกับเธอไปพลาง

สวี่ซูหานเงยหน้ามองเธอ จากนั้นก็เขี่ยนิ้วมือไปมา

“ฉันเองก็ไม่รู้…”

เห็นแผ่นหลังของหลิงม่อและมู่เฉินเดินห่างออกไปเรื่อยๆ สวี่ซูหานบอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

รอให้หลิงม่อกลับมา เธอคงจะรู้เอง ว่าโชคชะตาของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป…

—————————————————————————–