บทที่ 150 อีกฝ่ายปรากฏขึ้นมา

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 150

อีกฝ่ายปรากฏขึ้นมา

“อาการของท่านประมุขหอนั้นมันเกินความสามารถที่ข้าจะรักษาได้ไปแล้ว” เฉิงรุ่ยเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าที่มืดหม่น ราวกับโทษว่าเป็นความผิดของหลินซีเหยียนโดยไม่พูดอะไร

ในเรื่องนี้หลินซีเหยียนเองก็สำนึกผิดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นของนาง เจียงหวายเย่ก็คงไม่ต้องได้รับบาดเจ็บหรือถูกพิษเช่นนี้ นางจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบและยังต้องให้เป็นหน้าที่หลักด้วย

ดังนั้นหลังจากนี้หลินซีเหยียนจะเป็นคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าของเขาจนกว่าเขาจะหายดี แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนี้

ในเวลานี้เป้าหมายหลักคือการถอนพิษให้เจียงหวายเย่เสียก่อน

อย่างไรก็ดีเจียงหวายเย่นั้นก็มีพิษตกค้างอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพิษนี้จะรุนแรงมากหรือไม่ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาได้ง่ายๆเลย

หลังจากที่หลินซีเหยียนตัดสินใจ นางก็ได้เดินกลับไปหาเจียงหวายเย่ ก่อนอื่นเลยนางก็ได้บอกให้เจียงหวายเย่ทานยาถอนพิษที่อันอี้ต้มมาเสียก่อน แล้วจากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของ เจียงหวายเย่ออกแล้วก็ทำการฝังเข็ม

บาดแผลที่หลังของเจียงหวายเย่นั้นถูกเย็บเอาไว้ มันจึงได้ไม่ปริแตกออกมาอีก แต่เลือดก็ยังคงไหลซึมผ่านผ้าพันแผลอยู่ดี

หลินซีเหยียนจึงได้ทำการเปลี่ยนผ้าพันแผลของเขาก่อน แล้วค่อยทำการฝังเข็ม แล้วทำการขับพิษออกมาทางนิ้วกลางขวาของเขา ปักเข็มเงินลงไปที่ปลายนิ้วของเขาและขับเอาเลือดสีดำออกมา

พิษจากกำยานนั้นได้ถูกขับออกมาแล้ว แต่สีหน้าของเจียงหวายเย่ยังไม่ดีขึ้น หลินซีเหยียนจึงได้ทำการจับชีพจรแล้วพบว่าพิษตกค้างที่นางสะกดเอาไว้ก่อนหน้านี้มันได้กำเริบขึ้นมาอีกแล้ว

“เจียงหวายเย่, ท่าน…..”

หลินซีเหยียนอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เจียงหวายเย่ก็ได้กัดริมฝีปากของเขาจนเห็นรอยฟันของเขาที่ริมฝีปากได้อย่างชัดเจน

ในช่วงนี้เจียงหวายเย่นั้นต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่โชคยังดีที่พิษในคราวนี้ไม่รุนแรงมากนัก อาจเป็นเพราะพิษได้ทำการต้านพิษด้วยกันเอง และในเวลานี้พิษจากกำยานก็ได้ถูกขับออกมาแล้ว และพิษสะสมเก่าก็จะถูกสะกดในอีกไม่ช้า

หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย เจียงหวายเย่ก็มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็ยังดื้อไม่ยอมพักผ่อนง่ายๆ

“องค์ชาย ร่างกายของท่านนั้นมันเกินที่จะรับไหวแล้ว ท่านควรที่จะพักผ่อนเสียหน่อย!” หลินซีเหยียนก็ได้ผลักเขาลงไปนอนกับเตียง ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร แล้วก็ดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเขาเอาไว้

เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยเสียงที่แหบ “อย่าทำเรื่องเสี่ยงๆคนเดียวอีก”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ข้าไม่ทำแล้ว”

ด้วยคำมั่นของหลินซีเหยียน เจียงหวายเย่จึงได้รู้สึก โล่งอกแล้วก็นอนหลับไป อย่างไรเสีย ในเวลานี้เขาเองก็ได้ยินเสียงเตือนจากร่างกายของเขาเองอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นว่าเจียงหวายเย่หลับตาลงไปแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้ถอนตัวออกมาจากห้องนั้น แล้วจากนั้นก็ได้มองดูรอบๆบ้านหลังนี้อย่างเบื่อๆ บ้านเล็กๆหลังนี้น่าจะถูกซื้อเอาไว้โดย เจียงหวายเย่เป็นการชั่วคราว จึงไม่ค่อยมีอะไรมากมายนักนอกจากห้องเปล่าๆมากมาย

ดูท่าคงจะรีบมาก เจียงหวายเย่จึงไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก!

“ท่านแม่”

หลินซีเหยียนที่ยืนมองดอกโบตั๋นอยู่ในสวนนั้น ก็เหมือนกับได้ยินเสียงของเทียนเอ๋อเข้ามาในหูของนาง “นี่เราคิดถึงเจ้าตัวแสบมากขนาดนั้นจนหูแว่วเลยเหรอ?”

แต่กลายเป็นว่านางนั้นไม่ได้หูแว่วแต่อย่างใด แต่เป็นเทียนเอ๋อที่มาที่นี่จริงๆ

หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เด็กที่ไม่เชื่อฟังที่อยู่ตรงหน้านางด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีชิงอวี่อยู่ข้างหลังเขา “เจ้าเด็กตัวแสบ แม่อุตส่าห์ส่งเจ้ากลับไปที่เมืองหลวงแล้ว ทำไมถึงยังกล้ากลับมาที่นี่อีก?”

เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้บิดปากของเขาแล้วพูดอย่างเศร้าๆ “ท่านแม่ ท่านก็รู้นี่ว่าคนในจวนมหาเสนาบดีน่ะมีแต่คนไม่ดีทั้งนั้น?”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “แม่ของเจ้าน่ะรู้เรื่องนี้นานแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วคราวนี้มีเรื่องอะไรอีก? หรือว่าเจ้าถูกทำร้าย?”

เมื่อได้ยินที่พระชายาพูด ชิงอวี่ก็ได้บิดริมฝีปากของนางเล็กน้อย แต่นางนั้นไม่กล้าที่จะพูดออกไปได้แต่คิดอยู่เงียบๆในใจ: ใครจะกล้าไปรังแกนายน้อยกัน? พอนายน้อยลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ก็ได้อารมณ์เสียขึ้นมา แล้วฟาดงวงฟาดงาทำจวนมหาเสนาบดีวุ่นไปหมดเพื่อเป็นการระบายอารมณ์

เทียนเอ๋อทำตัวเหมือนไม่มีพิษมีภัยเฉพาะต่อหน้า หลินซีเหยียน แต่ลับหลังแล้วเขามันปีศาจน้อยชัดๆ แน่นอนว่า ชิงอวี่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไป แต่อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักกับนายน้อยของนาง

“ท่านแม่ คนในจวนมหาเสนาบดีไม่มีใครที่ชอบเทียนเอ๋อเลย เทียนเอ๋อไม่อยากที่จะอยู่ที่นั่น เลยออกมาตามหาท่านแม่ขอรับ”

คำพูดที่ไร้เดียงสานี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกสงสารขึ้นมาในใจของนาง มองไปที่ดวงตาที่อ้อนวอนของเทียนเอ๋อแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้กัดฟันและยอมให้เขาอยู่ด้วย

ยังไงเสียก็มีคนมากมายอยู่ที่นี่ ตราบเท่าที่นางดูแลเทียนเอ๋ออยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เมื่อหลินซีเหยียนคิดได้เช่นนี้ นางก็ได้จับมือของ เทียนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เทียนเอ๋อที่นี่อันตรายมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าแม่พูดเล่นๆโกหกเจ้า เพราะแม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเจ้าห้ามออกไปไหนตามใจนะเข้าใจไหม?”

เทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวอย่างเป็นเด็กดี

หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดเมื่อเห็นเขาทำเช่นนี้ นางไม่รู้เลยว่าเทียนเอ๋อนั้นจะจริงจังกับเรื่องนี้หรือเปล่า ดูเหมือนว่าต่อจากนี้นางจะต้องแบ่งเรี่ยวแรงบางส่วนของนางในการเฝ้าดู เทียนเอ๋อเสียแล้ว

หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้จนกระทั่งรุ่งสาง เจียงหวายเย่ที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นั้น แม้สีหน้าของเขานั้นจะยังซีดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ได้มีสีหน้ากลับมาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น ก็ได้มีคนเข้ามารายงาน “เรียนท่านประมุขหอ ท่านแม่ทัพเยี่ยปรากฏตัวแล้วขอรับ แล้วเขาก็ได้ทำการล้อมอำเภอจ้าวไว้ด้วยกองทัพเกราะดำแล้วขอรับ”

“อะไรนะ?”

หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ถึงกับตกใจ คนที่หายสาบสูญไปถึงสองวันนั้นในเวลานี้จู่ๆก็โผล่ออกมาแล้วล้อมอำเภอจ้าวเอาไว้ราวกับสายฟ้าแลบอีกต่างหาก เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก

จึงได้พากันวางตะเกียบในมือลง หลินซีเหยียนกับ เจียงหวายเย่จึงได้คิดที่จะพากันออกไปดู

“ชิงอวี่ฝากเจ้าดูแลเทียนเอ๋อด้วย อย่าปล่อยให้เขาหนีออกไปจากบ้านเด็ดขาด” หลินซีเหยียนนั้นไม่ลืมที่จะสั่งชิงอวี่ก่อนที่นางจะออกไป ซึ่งจะเห็นได้ถึงความกังวลของนางที่มีต่อเทียนเอ๋อ

เมื่อหลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ไปถึงอำเภอจ้าว พวกเขาก็พบว่ากองทัพเกราะดำนั้นประจำการอยู่ด้านในแล้ว และกองโจรของอู๋จื้อเฟิงนั้นก็ได้ถูกผลักให้ไปอยู่ในหุบเขา

ตัวตนของเจียงหวายเย่นั้นมีอิทธิพลอย่างมากจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดเผยตัวออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เฝ้าดูอยู่ในความมืดและมุ่งเป้าไปที่เยี่ยจุนเจี๋ย นอกจากสีหน้าของ เยี่ยจุนเจี๋ยที่ซีดเล็กน้อยราวกับเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บสาหัสแล้ว อย่างอื่นก็เหมือนจะไม่เป็นไร

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกโล่งอกขึ้นมา แต่แล้วก็มีหน่วยส่งสารที่ส่งมาจากเมืองหลวงได้เข้ามารายงาน

“รายงานท่านแม่ทัพเยี่ย ฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้ส่งแม่ทัพเฉิงให้มาช่วยท่าน เนื่องจากท่านได้หายตัวไปเป็นเวลานานและไม่สามารถยึดอำเภอจ้าวกลับคืนมาได้เสียทีขอรับ”

แววตาของเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มืดดำขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ ช่วยเหลืองั้นเหรอ? ช่างฟังดูดีเหมือนร้องเพลงเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้นั้นคิดที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการยึดอำนาจการทหารไปจากตระกูลเยี่ย

แล้วหน่วยส่งสารที่มาส่งข้อความนั้นก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ทำเอาหลังของเขาสั่นเล็กน้อย

เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ระงับอารมณ์โกรธของเขา เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นแค่คนส่งสารที่ไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “แล้วแม่ทัพเฉิงจะมาถึงเมื่อไร?”

“ท่านแม่ทัพเฉิงน่าจะมาถึงพรุ่งนี้เป็นอย่างต่ำขอรับ เพราะเขานั้นได้พาทหารจำนวนมากมาด้วย”

เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้โบกมือเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายนั้นถอยออกไปก่อน

ในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการกำจัดพวกคนที่อยู่ภูเขาอูอวิ๋นให้ราบคาบก่อนที่แม่ทัพเฉิงจะมาถึง

หลินซีเหยียนและเจียงหวายเย่ก็ได้มองหน้ากันเองในความมืดแล้วจากนั้นก็ได้พากันจากไป

“ฮ่องเต้คงไม่ได้คิดส่งแม่ทัพเฉิงมาช่วยเยี่ยจุนเจี๋ยแน่ๆ” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ สิ่งที่ฮ่องเต้เจียงคิดจะทำนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการขนของลงจากลาแล้วฆ่าลาเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากสำหรับจวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ