บทที่ 149
แม่ทัพเยี่ยปลอดภัยดี
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังขัดขืนอยู่ ก็ได้มีเสียงที่คุ้นเคยและอ่อนแรงดังขึ้นมาในหูของนาง “เสี่ยวเหยียนเจ้าสร้างปัญหาอีกแล้วนะ เจ้าจะอยู่เฉยๆบ้างไม่ได้รึยังไงนะ?”
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้ปรากฏซึ่งแววตาตกใจ แล้วจากนั้นนางก็ได้หยุดขัดขืนแล้วคิ้วก็ขมวดขึ้นมา “ท่านไม่มีสิทธิ์มาว่าข้าแบบนี้หรอกนะ ดูตัวท่านเองเถอะเคยนับจำนวนแผลของตัวเองบ้างไหม?”
หลินซีเหยียนนั้นโกรธอย่างมากที่เจียงหวายเย่นั้นไม่ดูแลร่างกายของตัวเอง แล้วมาหานางทั้งที่ยังป่วยอยู่ ถึงอีกฝ่ายนั้นจะทำเพื่อตัวนางก็เถอะ
“แล้วท่านจะปล่อยข้าได้หรือยัง?”
ในขณะที่ถูกกอดโดยเจียงหวายเย่นั้น หลังของ หลินซีเหยียนนั้นก็รู้สึกถึงความร้อนจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน นางจึงอยากที่จะออกจากตรงนี้
เจียงหวายเย่ก็ได้ปล่อยนางอย่างเชื่อฟัง แล้วพอ หลินซีเหยียนหันหลังกลับไป นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเจียงหวายเย่นั้นซีดขาวราวกับกระดาษ
“ทำไมอาการถึงได้หนักขนาดนี้เนี่ย?” หลินซีเหยียนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นนางก็จับมือของเจียงหวายเย่แล้วตรวจชีพจรของเขา
ชีพจรนั้นเต้นเบา, ช้าและเร็วสลับกัน แล้วนางก็ได้มองไปที่สีหน้าของเจียงหวายเย่ ด้วยความกลัวว่าเลือดของเขาจะไหลเวียนช้า
โดยไม่ได้พูดอะไร เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่คนที่มีสีหน้ามืดดำอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาสีดำของเขาก็ได้แสดงอารมณ์ออกมาในระดับหนึ่ง ดวงตาของเขาได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียนโดยไม่ขยับไปไหนราวกับกลัวว่าหลินซีเหยียนนั้นจะหนีหายไปไหนอีก
หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาและมองดูด้วยสีหน้าที่ช่วยไม่ได้ ต่อให้มีคนเพิ่มขึ้นมาก็ไม่ทำให้รู้สึกกังวลน้อยลงเลยจริงๆ
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย พวกเรากลับกันก่อนแล้วค่อยคิดวางแผนในระยะยาวกัน!”
เสียงที่ใสและฟังดูสดชื่นนี้ เมื่อเข้าหูของเจียงหวายเย่มา เขาก็ได้รู้สึกประหลาดใจ “เจ้าจะกลับแล้วเหรอ?”
“ตอบตามตรงก็ใช่ เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นไม่ใช่คนที่โง่พอจะตกอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามง่ายๆหรอก” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยดวงตาที่โค้งงอของนางแล้วมองไปที่เจียงหวายด้วยแววตาที่สว่างไสว แล้วจากนั้นทั้งสองคนก็ได้เตรียมตัวลงจากภูเขาอูอวิ๋น
เพราะวิชาตัวเบาของเจียงหวายเย่นั้นเป็นเลิศมาก เขาสามารถพาหลินซีเหยียนออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องรอให้พวกโจรเปลี่ยนกะได้
หลินซีเหยียนจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา คนเรามักเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองเสมอจริงๆ
แต่ทว่า ไม่ว่าจะมีวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ซึ่งอู๋จื้อเฟิงนั้นได้ทำการวางคนไว้ที่ทางออกเพื่อป้องกันคนหลบหนีไว้แล้ว
ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้เข้าเผชิญหน้ากัน หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างเป็นกังวล
เจียงหวายเย่ที่รู้สึกได้ถึงสายตา ก็ได้ก้มหน้าลงแล้วกระซิบกระซาบข้างหูของหลินซีเหยียน “ไม่ต้องกังวลนะ เปิ่นหวางไม่เป็นไร”
จากนั้นเขาก็ได้อุ้มหลินซีเหยียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วสู้กับอู๋จื้อเฟิงด้วยมืออีกข้างหนึ่ง อันอี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ได้คิดที่จะเข้าไปช่วย แต่ก็กลับถูกหยุดเอาไว้โดยคนของอู๋จื้อเฟิงที่มีเป็นจำนวนมากเสียก่อน
อันอี้รู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไปง่ายๆแน่ เขาจึงได้ตัดสินใจจัดการกับเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างจริงจัง แล้วฝ่าเข้าไปเคียงข้างองค์ชายให้ได้โดยเร็วที่สุด
“เจ้านี่ช่างแอบเก่งเสียจริงๆ ทำให้ข้าก็ตามหาเจ้าเสียเหนื่อยเลย”
อู๋จื้อเฟิงนั้นหาได้กลัวเจียงหวายเย่เพราะความพ่ายแพ้ในครั้งก่อนไม่ ในเวลานี้เขาได้หลบการโจมตีของเจียงหวายเย่ในขณะเดียวกันก็ได้พูดแซวทั้งสองคนไปด้วย
“คนงาม เมื่อใดที่เจ้าตกอยู่ในมือของข้า รอคอยข้าสั่งสอนเจ้าได้เลย”
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวด ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าเขาแค่พูดยั่วเท่านั้น แต่ก็ฟังดูไม่สู้ดีอยู่ดี
“ลูกพี่ใหญ่อู๋ ทำไมท่านถึงได้พูดราวกับว่าเอาชนะพวกเราได้แล้วล่ะ? อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น?” หลินซีเหยียนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิของนางในการหลบ เพราะนางนั้นได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจียงหวายเย่ นางจึงได้อาศัยโอกาสนี้ในการใช้วาจาพิษของนางอย่างเต็มที่
“ข้าไม่นึกเลยว่าลูกพี่ใหญ่อู๋จะไร้ความสามารถขนาดนี้ นี่ก็ตั้งนานแล้วแต่ท่านก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของแม่ทัพเยี่ยเลย ยิ่งกองทัพเกราะดำยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“อ้าว คิดหาคำพูดออกมาแย้งไม่ได้งั้นเหรอ หรือว่าหัวจะไม่ค่อยแล่น?”
หลินซีเหยียนกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ แต่อู๋จื้อเฟิงนั้นกลับโมโหอย่างเห็นได้ชัด เพราะสองวันมาแล้วแต่เขาก็ยังค้นหากองทัพเกราะดำไม่พบ มันจึงกลายเป็นปมในใจของเขาอยู่
ถ้ากองทัพเกราะดำยังไม่ถูกกำจัด มันก็จะเหมือนกับฝังมีดแหลมๆไว้ในใจของเขา ซึ่งสามารถที่จะปลิดชีพของเขาได้ตลอดเวลา
แต่เขาจะโกรธไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่เขาโกรธอีกฝ่ายก็จะชนะทันที ดังนั้นเขาจึงยังคงรอยิ้มไว้ในใบหน้าของเขาได้ “เจ้านี่ช่างพูดเก่งจริงๆ ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่พบกองทัพเกราะดำก็ตาม แต่มันก็ไม่สำคัญแล้วเพราะว่าอีกไม่ช้าเจ้าก็จะต้องตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”
คำพูดที่มั่นใจของศัตรูนั้นทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก และได้พูดอย่างประชดประชันต่อ “ลูกพี่อู๋ ท่านนี่โง่เขลาขนาดนี้คงจะป่วยเป็นแน่แท้ ท่านคงต้องหาเวลาไปรักษาบ้างนะ ไม่ควรปล่อยเอาไว้”
“โอ้, ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“หลังจากที่อู๋จื้อเฟิงกล่าวจบ สีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปทันที แล้วเขาก็ได้ขว้างอาวุธลับออกไป แล้วจากนั้นก็ได้รีบถอยห่างออกมา และเหล่าโจรก็ได้พากันถอยออกมาเช่นกัน ซึ่งแต่ละคนต่างก็ถือกำยานบางอย่างมือของพวกเขา
“เจ้าคิดจะโปรยยาสลบพวกเรางั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้รีบหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อของนางแล้วคิดที่จะเอามาปิดจมูกของเจียงหวายเย่ แต่มือของนางก็ได้ไปโดนอะไรบางอย่างที่ทั้งเย็นและแข็งแทน แล้วหลินซีเหยียนก็นึกขึ้นได้ว่าเจียงหวายเย่นั้นสวมหน้ากากอยู่แล้ว
นางจึงได้เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกของนางเอง แต่เพราะว่านางนั้นถูกอุ้มอยู่จึงทำให้หลินซีเหยียนนั้นหยิบเอาของออกมาจากกระเป๋าใบเล็กข้างเอวของนางได้ยาก
ในขณะที่นางกำลังหยิบเอายาถอนพิษออกมาจากกระเป๋าอยู่นั้นเอง เสียงครางของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังเข้าหูของนาง หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างสงสัยแล้วจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่ากำยานอันนี้อาจจะไม่ใช่กำยานธรรมดาๆเสียแล้ว
หลินซีเหยียนจึงได้ดึงเอาผ้าปิดจมูกลง แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ดมกลิ่นหอมแปลกๆนี้ในอากาศ แล้วจากนั้นสีหน้าของนางก็ได้แย่ขึ้นมาทันที แล้วนางก็ได้มองไปที่อู๋จื้อเฟิงด้วยดวงตาที่ยุ่งยากใจ “นี่เจ้าคิดจะฆ่าให้พวกเราตายตั้งแต่แรกนี่”
“พวกเจ้ารู้ความลับของอำเภอจ้าวมากเกินไปแล้ว คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้น่ะ?” อู๋จื้อเฟิงก็ได้มองไปที่ชายใส่หน้ากากแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าข้ากับเจ้าจะเป็นศัตรูกัน แต่ข้าก็ชื่นชมวรยุทธ์ของเจ้ามาก ทำไมพวกเราไม่มาร่วมงานกันล่ะ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่อู๋จื้อเฟิงด้วยดวงตาสีดำ ที่ปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ
ภายใต้สายตาที่สงสัยของอู๋จื้อเฟิง ริมฝีปากซีดและบางของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจ “ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะเอาข้าไว้ไม่อยู่หรอก”
จากนั้นเขาก็พบช่องว่างแล้วพาหลินซีเหยียนฝ่าวงล้อมออกไป หลังจากนั้นอันอี้ก็ได้ฝ่าวงล้อมตามไป แล้วทั้งสามคนก็รอดจากภูเขาอูอวิ๋นไปได้
ระหว่างทางหลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลออกมา เมื่อนางเงยหน้าขึ้นไปมองที่เจียงหวายเย่ โดยผ่านการปิดกั้นของหน้ากาก มีเลือดไหลลงมาตามคอของเขาปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนจึงรู้ว่ากำยานพิษนั้นจะต้องเข้าไปในร่างกายของเจียงหวายเย่แล้วแน่ๆ ในเวลานี้ร่างกายของ เจียงหวายเย่นั้นอ่อนแอมาก แต่เขาก็ยังพยายามฝืนทนเดินทางกลับไปยังบ้านเล็กๆแห่งนั้น
เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้ออกมารับพวกเขา แล้วพอเขาเห็นสภาพของเจียงหวายเย่ เขาก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ที่ท่านไปทำอีท่าไหน ถึงได้กลับมาในสภาพนี้อีกแล้วเนี่ย?”
“ข้าไม่เป็นไร” เจียงหวายเย่ตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะจับคอเสื้อของเขาแล้วถามเขาว่า เขาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรแล้วเป็นตั้งแต่เมื่อไร แล้วหลินซีเหยียนก็ได้กลับเข้าไปในห้อง แล้วก็สั่งให้อันอี้ต้มยาแล้วจากนั้นค่อยมาหารือเรื่องอาการของเจียงหวายเย่กับ เฉิงรุ่ยเหยียน