บทที่ 156 เมื่อเริ่มแล้วย่อมหยุดกลางคันมิได้

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

นี่เป็นผลกระทบที่หนอนกลืนกินวิญญาณทิ้งเอาไว้หรือไม่?

ทว่าสำหรับซินหรูแล้วการลืมเลือนมันไปก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าการที่นางนึกขึ้นมาได้แล้วทำให้ตื่นตระหนกจนนอนไม่หลับ ขอเพียงนางฟื้นขึ้นมาเรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ

ก่อนหน้านี้หลินชิงเวยได้ให้คนของตำหนักฉางเหยี่ยนมาบอกความแก่ตำหนักซวี่หยาง ยามนี้เมื่อหลินชิงเวยก้าวเข้ามาในตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น เห็นเขากำลังนั่งเอนกายพิงหัวเตียง บนร่างสวมเพียงเสื้อนอนบางๆ ตัวหนึ่ง ในมือถือตำราเล่มหนึ่งทว่าบนใบหน้าของเขาเขียนว่ารอคอยกึ่งหนึ่งและตื่นเต้นกึ่งหนึ่งเอาไว้ ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการตำราแม้แต่น้อย

หลินชิงเวยเดินเข้ามา เขาพูดขึ้นว่า “ชิงเวย เจ้ามาแล้ว”

หลินชิงเวยยิ้มตอบ “ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาทเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นพยักหน้า “อืม”

หลินชิงเวยเบี่ยงกายหันไปพูดกับคนข้างนอก “พวกเจ้ายกไหยาสมุนไพรเข้ามา”

ดังนั้นขันทีทั้งสี่คนจึงช่วยกันยกไหใบใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา เซียวจิ่นอดถามไม่ได้ว่า “ชิงเวย นี่คืออะไร?”

หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ “ย่อมต้องเป็นของดีเพคะ ทันทีที่เริ่มต้นในวันนี้ระหว่างทางย่อมมิอาจหยุดลงได้ มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะรู้สึกเจ็บปวดจนกระทั่งหมดสติไปหลายวัน ล้วนกล่าวว่าบาดแผลของเส้นเอ็นและกระดูกล้วนต้องใช้เวลานับร้อยวันจึงจะประสานตัว อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีระยะเวลาหลายเดือนที่ฝ่าบาทไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ราชกิจประชุมเช้า การอนุมัติฎีกาเรื่องราวต่างๆ ล้วนทำไม่ได้เพคะ”

เซียวจิ่นมองเซียวเยี่ยนแล้วยิ้มอ่อนโยน “ชิงเวย เจ้าวางใจเถิดในเมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มทำแล้ว เรื่องราชกิจต่างๆ เจิ้นได้มอบหมายให้เสด็จอาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ความขุ่นมัวในแววตาที่ปรากฏขึ้นจางๆ ถูกรอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยนและเจิดจ้านั้นปิดบังอำพราง หลินชิงเวยคิดจะจับสังเกตเพื่อแยกแยะให้ชัดเจนทว่ามันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลินชิงเวย “เช่นนั้นก็ดีเพคะ เสด็จอา ท่านประคองฝ่าบาทให้นั่งลงริมเตียงให้ขาทั้งคู่ของฝ่าบาทห้อยลงมาด้านนอกของเตียง”

ขันทีช่วยกันเคลื่อนย้ายไหสมุนไพรมาวางลงริมเตียงของเซียวจิ่น หลินชิงเวยย่อกายลงไปเปิดฝา กลิ่นสมุนไพรฉุนนั้นกำจายออกมาจากปากขวดทั้งเข้มข้นและขมฝาด ช่างทำให้คนรู้สึกไม่ใคร่อยากเดินหน้าต่อไป

เซียวจิ่นถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ชิงเวย ข้างในนี้คืออะไร?”

หลินชิงเวย “ฝ่าบาททรงอยากรู้มากหรือเพคะ? หม่อมฉันคิดว่าให้พระองค์ทอดพระเนตรก่อน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของจิตใจก็เป็นเรื่องไม่เลวเลยทีเดียวเพคะ” ดังนั้นนางเรียกหาที่คีบไม้อันยาวอันหนึ่ง นางใช้ที่คีบนั้นลงไปกวนในไหสมุนไพร นางตักสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมา สีหน้าสายตาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แหะ ตักได้แล้วเพคะ”

เมื่อนางตักออกมาดูกลับมีสีหน้าผิดหวังอย่างอดไม่ได้ เห็นเพียงโสมลักษณะคล้ายคนอายุเก่าแก่ต้นหนึ่งอยู่ระหว่างที่คีบไม้

เซียวจิ่นเห็นแล้วตื่นตะลึง ขณะเดียวกันก็ลอบโล่งใจพูดขึ้นว่า ที่แท้เป็นน้ำสมุนไพรโสมนี่เอง ชิงเวยเจ้าคงไม่ได้นำโสมอายุห้าร้อยปีที่เจิ้นมอบเป็นรางวัลให้เจ้ามาหมักดองน้ำสุมนไพรนี้เพื่อให้เจิ้นใช้กระมัง?”

หลินชิงเวยพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “เอ๊ะ หม่อมฉันคีบผิดแล้วเพคะ” ดังนั้นนางจึงใช้ที่คีบนั้นควานหาในไหสมุนไพรอีกครู่หนึ่ง เมื่อหยิบขึ้นมาดูครานี้เป็นงูหางกระดิ่ง เดิมทีลวดลายและสีสันของงูชนิดนี้เป็นที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นอย่งาที่สุด แต่มันถูกดองอยู่ในน้ำสมุนไพร จึงทำให้ลวดลายบนร่างกายของมันจืดจางลงเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้เซียวจิ่นตื่นตระหนกตกใจ

หากขาของเซียวจิ่นสามารถเดินเหินได้เองแล้วละก็ เขาย่อมต้องถอยทัพกลับไปแน่นอน

หลินชิงเวยปล่อยงูลงไปในไหสมุนไพร แล้วคีบสัตว์มีพิษชนิดอื่นๆ ขึ้นมา อย่างเช่น แมงป่อง หนอน มด เป็นต้น เซียวจิ่นมีสีหน้าขาวเผือด เขาพูดอย่างฝืนทำให้หนักแน่น “เร็วเข้า เริ่มเลยเถิด เจิ้นไม่อยากดูแล้ว”

หลินชิงเวยวางที่คีบไม้ลงแล้วฝังเข็มลงบนขาของเซียวจิ่นเพื่อเป็นการทะลวงจุดชีพจรบนขาของเขา “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ทูลฝ่าบาทแล้วว่า กระดูกขาของฝ่าบาทมีลักษณะผิดรูป อีกทั้งยามนี้ได้ยึดติดไปกับกล้ามเนื้อและสูญเสียประโยชน์ของมันมาเป็นเวลายาวนาน ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะให้ฝ่าบาทแช่ขาของพระองค์ในไหสมุนไพรเป็นเวลาสองชั่วยาม ให้กระดูกและกล้ามเนื้อบนขาของพระองค์คลายตัวอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าระหว่างนั้นจะเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด พระองค์จะมีความรู้สึกว่าขาค่อยๆ ถูกนึ่งจนสุกเพคะ”

ยามนี้บรรดาหมอหลวงทั้งหมดของสำนักหมอหลวงล้วนรวมตัวกันรออยู่ในตำหนักซวี่หยาง พวกเขารออยู่ด้านนอกตำหนักบรรทม ขอเพียงมีความจำเป็นพวกเขาจะเข้ามาดูแลทันที

เซียวจิ่นกัดริมฝีปาก ขอเพียงสามารถยืนขึ้นมาได้ เขาไม่มีวันปล่อยให้โอกาสใดๆ หลุดลอยไป ไม่ว่าจะต้องทนรับความเจ็บปวดมากมายเพียงใดเขาก็จะลองดู

หลินชิงเวยเก็บเข็มเงินแล้วบีบนวดขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นอีกครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ยกขาของเขาวางลงในไหสมุนไพร ปากขวดค่อนข้างแคบนั้นพอเหมะพอเจาะให้ขาเรียวเล็กทั้งคู่ของเซียวจิ่นวางลงไปอย่างพอดิบพอดี

เมื่อแรกเริ่มกลับไม่มีความรู้สึกอันใดเป็นพิเศษ เซียวจิ่นรับรู้เพียงว่าขาของตนแช่อยู่ในน้ำ และในน้ำนั้นมีสิ่งของลอยอยู่ในนั้นไม่น้อย เขาเห็นสิ่งที่หลินชิงเวยคีบมาให้ดูเพียงแค่คิดถึงสิ่งของที่อยู่ในน้ำสมุนไพรในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง

เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเผือดขาว “ชิงเวย เจิ้นกลับปรารถนาให้เจ้าบอกว่าสิ่งของที่หมักดองอยู่ในน้ำสมุนไพรนี้เป็นเพียงสมุนไพรมิใช่สัตว์มีพิษ”

หลินชิงเวย “นั่นคือการเพ็จทูลเบื้องสูงเพคะ หม่อมฉันไม่บังอาจ อีกทั้งเจ้าสิ่งของเหล่านี้เมื่อแยกกันแล้วเป็นสัตว์มีพิษ ทว่าเมื่อรวมกันแล้วกลับเป็นโอสถเพคะ”

“เจิ้นยังไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ”

“ฝ่าบาทอย่างเพิ่งร้อนพระทัยเพคะ”

ผ่อนคลายแต่แรกเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง เซียวจิ่นค่อยๆ รับรู้ถึงความไม่สบายเนื้อสบายตัว อีกทั้งความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้ำอุ่นหม้อหนึ่งที่ค่อยๆ เดือดขึ้นกระทั่งสุดท้ายเดือดพล่าน ขาทั้งสองข้างของเขาถูกแผดเผาให้ร้อนยิ่งขึ้น กระทั่งสุดท้ายไม่อาจทนรับได้

เขารู้สึกว่าขาของตนกำลังถูกต้มจนสุก ถูกเผาจนไหม้เกรียม

เซียวจิ่นทนไม่ไหวเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวเผือดของเขาค่อยๆ แดงก่ำ คิดจะหลบหลี้หนีหายไปจากมหาสมุทรแห่งความเจ็บปวดทุรนทุรายนี้ แต่จนใจที่ขาทั้งสองข้างของเขามิอาจเชื่อฟังคำสั่งของตน ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วยาม เซียวจิ่นหายใจหอบหนัก เหงื่อแตกท่วมตัว

เขาจับมือของหลินชิงเวยเอาไว้แน่นออกแรงเสียจนทำให้ข้อนิ้วของเขากลายเป็นสีขาวปนเขียว ปลายเล็บสีชมพูแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว พูดขาดเป็นห้วงๆ “ชิงเวย…ชิงเวย…เจิ้น…จะทนไม่ไหวแล้ว…”

ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับหลินชิงเวยกลายเป็นที่พึ่งพาจิตใจของเขา หลินชิงเวยราวกับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เซียวจิ่นส่งผ่านมา ด้วยเหตุนี้ต่อให้มือของนางถูกเขาบีบจนแทบจะเปลี่ยนรูปนางก็กัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะ

เซียวเยี่ยนเห็นเช่นนี้สีหน้าเคร่งขรึมของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหนักใจ เขาพูดกับหลินชิงเวยว่า “จะหยุดพักสักหน่อยหรือไม่ ฝ่าบาทอาจจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว”

หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ข้าพูดอย่างไรกัน หลังจากเริ่มต้นแล้วห้ามหยุดกลางคัน นอกจากเขาคิดจะทนรับความเจ็บปวดเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์ ข้าเป็นหมอหรือท่านเป็นหมอ?”

เซียวเยี่ยนไม่เอ่ยอันใดอีก

เสียงร้องของเซียวจิ่นเปลี่ยนเป็นเสียงแหบพร่าสุดท้ายไม่มีเรี่ยวแรงที่จะร้องออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดหรือความร้อนลวก ผิวของเซียวจิ่นเริ่มแดงก่ำไปทั้งร่าง แดงก่ำเหมือนมะเขือเทศก็ไม่ปาน หลังจากที่เขารู้สึกว่าขาทั้งคู่ของตนถูกต้มจนสุกแล้ว กล้ามเนื้อและกระดูกค่อยๆ แยกออกจากกัน ความเจ็บปวดจากเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อนั้น หากเขาที่อยู่ในวัยเยาว์เช่นนี้สามารถทนรับได้ ต่อไปยังมีสิ่งใดที่เขาไม่อาจทนรับได้อีกเล่า?

สองชั่วยามเท่ากับเวลาตลอดช่วงเช้าจนถึงเที่ยง เซียวจิ่นตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เขาเจ็บปวดเสียจนหมดสติไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วเริ่มดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวดอีกครั้ง

หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนได้แต่ดูอยู่ข้างๆ ไม่อาจรับความเจ็บปวดแทนเขาได้แม้สักกระผีก

เมื่อเวลาสองชั่วยามมาถึง เซียวจิ่นตกอยู่ในภาวะหมดสติอย่างแท้จริง เมื่อหลินชิงเวยยกขาทั้งคู่ของเขาขึ้นมา เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น