เบเจอร์กำลังเดินเหม่อลอยอยู่บนโถงทางเดินอย่างไร้สติ

หากเป็นปกติเขาคงจะติดต่อเรียกตัวดอกเตอร์โอมัลลี่มาที่บ้านพักของเขาแล้ว แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจอดใจทนรอได้ไหว

เมื่อครู่หลังจากได้เห็นสภาพของแคลอฮันที่เดินมุ่งไปยังห้องทำงานของเจ้าตระกูลพร้อมกับเจ้าชายลำดับที่สอง เขาก็เอาแต่วิ่งไม่หยุดมันเป็นสถานที่ที่ปกติเขาไม่ค่อยได้แวะมาเท่าไหร่ จึงต้องคลำหาทางอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ตามหาห้องวิจัยของดอกเตอร์โอมัลลี่จนเจอ

โครม!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก ดอกเตอร์โอมัลลี่ตกใจจนต้องวิ่งออกมาดู

“มีธุระอะไรถึงได้มาถึงที่นี่ได้ครับเนี่ย! แค่ส่งคนมาข้าก็ไป…”

“แคลอฮัน เป็นโรคอะไร”

“คะ…ครับ? พูดเรื่องอะไร”

“อย่าได้คิดที่จะโกหกข้า ข้ารู้ว่าแคลอฮันไม่ได้ขาหักจริงๆ”

คำพูดของเบเจอร์ครึ่งหนึ่งคือคำโอ้อวด

เขารู้มาว่าเบื้องหลังงานเลี้ยงประจำวันชาติของอาณาจักรเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น

แต่เรื่องวุ่นวายที่เขาได้ยินผ่านคนอื่นๆ มานั้น มีเพียงแค่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองเจ้าชายที่ชี้ดาบใส่กันเท่านั้น

ไม่มีเรื่องที่แคลอฮันขาหัก

แต่แคลอฮันกลับเดินทางกลับมายังคฤหาสน์ในสภาพเดินไม่ได้ หลังจากนั้นก็ยังต้องพักรักษาตัวอยู่หลายวัน

มีข่าวลือว่าขาหักแพร่ออกไปก็จริง แต่เบเจอร์รู้สึกสงสัยว่ามันคงไม่ได้มีแค่นั้นแน่

“ระ…เรื่องนั้น…”

ดอกเตอร์โอมัลลี่เองก็มัวแต่ลังเล ไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ในทันที มันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสมมติฐานของเขาต้องเป็นเรื่องจริง

เบเจอร์กระซิบเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เพื่อเกลี้ยกล่อมดอกเตอร์ให้ยอมเปิดปากเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“คิดดูดีๆ นะครับ ดอกเตอร์โอมัลลี่ ข้าเองก็มาถึงที่นี่เพราะทราบเรื่องทั้งหมดอยู่แล้วไงครับ ที่ข้าถามเนี่ยก็เพราะเผื่อว่าจะให้ความช่วยเหลืออะไรแก่น้องชายได้บ้างในฐานะพี่ชายก็เท่านั้นเอง”

ดอกเตอร์ลังเลไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็คล้อยตามอีกฝ่ายจนได้

“…ต่อให้ทราบชื่อโรคไป ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกครับ”

“นั่นมัน…หมายความว่ายังไงกันแคลอฮันเป็นโรคอะไรกันแน่”

“ทะ…เทรนด์บลูครับ…”

การเคลื่อนไหวของเบเจอร์ถึงกับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

“ถ้าเป็น…เทรนด์บลู งั้นก็โรคร้ายถึงแก่ชีวิต?”

แม้แต่เสียงเองก็สั่นระริก

ดอกเตอร์โอมัลลี่หลับตาแน่น รู้สึกราวกับย้อนกลับไปยังวันที่แจ้งข่าวเรื่องโรคร้ายให้แก่แคลอฮันกับท่านเจ้าตระกูลทราบ

ต่อให้เป็นเบเจอร์ที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินข่าวว่าน้องชายเป็นโรคร้ายที่ต้องตาย ก็คงจะรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากเลยสินะ

ดอกเตอร์เข้าใจแบบนั้น

แต่ว่า

“ฮ่าฮ่า! …วะฮ่าฮ่าฮ่า!”

เบเจอร์เริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

บนใบหน้าของเบเจอร์ที่หัวเราะจนตัวงออยู่พักใหญ่มีกระทั่งรอยยิ้มกว้างเบิกบานขึ้น ก่อนที่จะร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“สวรรค์มอบโอกาสให้ข้าแล้วสินะ!”

ใบหน้าเบิกบานราวกับน้ำหนักที่แบกรับมาหลายสิบปีถูกปลดทิ้งไปได้เสียทีทุกเสียงหัวเราะมันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีใจจากใจจริง จนไม่อาจมองหาภาพของคนที่กำลังจะสูญเสียน้องชายไปด้วยโรคร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว

“ขอบใจ แคลอฮัน! ขอบใจ!”

เบเจอร์เอาแต่หัวเราะด้วยความดีใจอยู่แบบนั้น ไม่ได้รู้แม้กระทั่งว่าดอกเตอร์โอมัลลี่กำลังมองเขาด้วยใบหน้าหวาดกลัวแค่ไหน

หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานของท่านปู่แล้วแยกกับท่านพ่อ เธอกับเฟเรสก็เดินมุ่งหน้าไปยังสวนของปีกคฤหาสน์

ลอรีลเองก็กลับไปพร้อมกับท่านพ่อเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือท่าน

เมื่อมาถึงบริเวณที่น้ำพุไหลรินอย่างเงียบสงัด เธอก็หันหน้าไปมองเฟเรส

“เจ้าทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”

“…ข้าเหรอ”

“ใช่ เจ้านั่นแหละ ทำไมเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาแบบนั้น เกรงใจอะไรข้าหรือไง”

เฟเรสทำตัวราวกับคนที่กำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง เขาระมัดระวังแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าด้วยซ้ำและมันก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด

“เทีย ข้าแค่คิดว่าเจ้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ และก็…เรื่องบิดาเจ้าก็ด้วย”

เฟเรสกำลังเห็นใจเธอ

จู่ๆ ฟีเรนเทียก็รู้สึกว่าตัวเองที่หงุดหงิดขึ้นมานั่นช่างน่าหัวเราะเสียจริง

เด็กที่เพิ่งจะอายุได้แค่สิบสามปีอุตส่าห์คอยสังเกตความรู้สึกของเธอแท้ๆ แต่เธอกลับโมโหเขาเสียได้

เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ก่อนจะเอ่ยพูด

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพ่อข้าหรอก แน่นอนว่าท่านเป็นโรคที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ท่านไม่จากไปแน่”

“รู้จักชื่อโรคนั่นมั้ย”

เฟเรสเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“เทรนด์บลู”

“อา…”

เฟเรสพยายามทำหน้านิ่งให้ได้มากที่สุด แต่ก็ล้มเหลว

แค่ใบหน้าเหมือนลูกสุนัขที่มองเธอด้วยความเป็นห่วงนั่นก็ไม่รอดแล้ว

เธอยืนเท้าสะเอว พูดกับเขา

“ตอนนี้คนคิดค้นยารักษาโรคเทรนด์บลูกำลังเดินทางมาไงล่ะ และยังเอายารักษามาด้วยนะ”