บทที่ 66

“มียารักษาเหรอ”

“อื้อ มีสิ”

ฟีเรนเทียนึกถึงเอสทีร่าที่ตอนนี้คงจะกำลังนั่งรถม้าเดินทางกลับมายังลอมบาร์เดียพลางเอ่ยตอบอาจจะไม่สามารถยับยั้งสาเหตุของการเกิดโรคได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถขัดขวางไม่ให้ตายได้

เธอพยายามปลอบหัวใจที่ปั่นป่วนไม่เป็นสุขเหมือนน้ำโคลนให้สงบลง

ทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่การเฝ้ามองท่านพ่อป่วยเป็นโรคนั้นอีกครั้ง สำหรับเธอมันเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ

แต่ครั้งนี้มันจะต้องแตกต่างออกไป

แตกต่างจากในอดีตที่ได้แต่เฝ้ามองท่านพ่อเจ็บปวดทรมานโดยไม่อาจทำอะไรได้เพราะไร้กำลัง

เธอเอาแต่ปลอบใจตัวเองเช่นนั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็อดที่จะเครียดไม่ได้อยู่ดี

“สีหน้าดูไม่ดีเลยเทีย”

เฟเรสขยับเท้าเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่งในขณะที่เอ่ยพูด

“…ไหวหรือเปล่า”

เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เฟเรสก้มหน้ามองพื้นที่ที่ว่างลงเพราะเธอก้าวถอยหลังไป คิ้วเรียวได้รูปขมวดแน่น

“อืม”

เขาครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งทั้งๆ ที่คิ้วยังคงขมวดแน่น ก่อนจะรื้อค้นหาอะไรบางอย่าง แล้วหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“คุกกี้ช็อกโกแลต”

มันเป็นคุกกี้ชิ้นหนาที่มีช็อกโกแลตชิ้นโตผสมอยู่ประปราย

“ของที่ช่วยได้…เวลาที่ลำบาก ที่ข้าพอจะรู้ก็มีแค่เจ้านี่น่ะ”

“อ๊ะ…อื้อ ขอบใจนะ”

เธอรับมันมาถือไว้ก่อน

มันค่อนข้างหนักเหมือนที่คาดไว้

พอเห็นเธอเอาแต่ถือคุกกี้ไว้เฉยๆ ไม่ยอมกิน เฟเรสก็จ้องเธอไม่ยอมละสายตา

จะบอกให้กินเหรอ

ฟีเรนเทียค่อยๆ เลื่อนคุกกี้เข้าหาปากอย่างเชื่องช้า พลางเห็นความคาดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟเรส

เธอหยิบมันใส่ปาก กัดเสียงดังกร๊อบ รสชาติหอมหวานละมุนลิ้นแผ่ซ่านกระจายไปทั่วปาก

“อร่อย”

ไม่ได้พูดออกไปเพื่อเฟเรส แต่มันอร่อยจริงๆ

“…จริงเหรอ”

“อื้อ อร่อย”

“โล่งอกไปที”

เฟเรสยิ้มกว้างเสียจนลักยิ้มบุ๋มลึกปรากฏขึ้นบนแก้ม

หรือว่าอันนี้

“เฟเรส เจ้าเป็นคนอบเองเหรอ”

“อื้อ”

ขนาดทำอาหารก็ยังเก่งเลยเหรอเนี่ย!

แค่รูปร่างหน้าตา การเรียน การฟันดาบยังไม่พอ นี่ยังทำอาหารเก่งอีก!

รู้สึกเคืองสวรรค์เสียแล้วสิ ที่มอบความสามารถทุกด้านให้คนคนเดียวแบบนี้

“เอาไว้ทีหลังจะทำให้เยอะๆ เลยนะ”

เฟเรสเอ่ยพูดทั้งๆ ที่ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินอาย

“เอาไว้ทีหลังเหรอ อืม เอาสิ”

เธอตอบไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะยังไงมันก็เป็นแค่คุกกี้แสนอร่อย

แต่คำตอบของเธอทำให้รอยยิ้มของเฟเรสยิ่งดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม

ชั่วขณะเธอได้แต่เหม่อมองใบหน้าของเขา โดยลืมคุกกี้ที่ถืออยู่ในมือไปเสียสนิท

ต่อให้อยู่นิ่งๆ ไร้อารมณ์ความรู้สึก ใบหน้านั้นก็ยังหล่อเหลา แต่เล่นยิ้มขวยเขินแบบนั้นยิ่งมีพลังดาเมจรุนแรงมากขึ้นไปอีก

แถมพอเขาเริ่มอายุมากขึ้นจนเข้าสู่วัยหนุ่มอย่างเต็มตัว ก็ยิ่งอัปเกรดระดับความหล่อจนเหนือชั้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วย

เด็กหนุ่มตรงหน้ามีเสน่ห์ยิ่งกว่าดอกกุหลาบที่เบ่งบานอยู่รอบๆ สถานที่ที่พวกเรากำลังยืนอยู่พอดี น่าหลงใหลยิ่งกว่าที่เคย เขาต้องใช้ชีวิตโดยถูกผู้คนลืมเลือน แต่แล้วจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นครองสายตาของผู้คนทั่วอาณาจักรได้ในพริบตา สาเหตุหลักที่เขาทำแบบนั้นได้ อันที่จริงรูปร่างหน้าตานี่ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งสินะ

“เทีย?”

พอเห็นเธอมองเขาเหมือนต้องมนตร์สะกด เฟเรสก็เอียงคอด้วยความสงสัยพลางเอ่ยเรียกชื่อเธอ

“อึก!”

เส้นผมสีดำคุณภาพดีนั่น แค่ขยับกายเล็กน้อยก็พลิ้วไหวน่ามอง เป็นงานศิลปะชั้นยอดอีกแล้ว!

เธอลูบศีรษะของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจและคาดหวังในอนาคตอันแสนสดใสของเฟเรส

“โตไวๆ นะเฟเรส โตขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้ หน้าตาแบบเจ้านี่สมบัติของชาติเลย”

“ข้าเหรอ”

“ใช่แล้วละ! ตอนฝึกซ้อมยังไงก็อย่าให้บาดเจ็บที่หน้าเด็ดขาดเลยนะ! ใบหน้างดงามของเจ้าน่ะเป็นสมบัติของทุกคน ไม่สิ ไม่ใช่แบบนั้น ยังไงก็ช่างเถอะ ต้องรักษามันไว้ให้ดีนะ!”

“อย่างนั้นเหรอ…”

เฟเรสลูบใบหน้าของตัวเองดูหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอ่ยพูดราวกับว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย

อา เด็กหนุ่มรูปงามผู้ไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดีอย่างนั้นเหรอ

“เทีย เจ้างามกว่าข้าอีก”

“…นี่ล้อกันเหรอ”

“เปล่า ข้าพูดจริง”

มือของเฟเรสสัมผัสลงบนแก้มของเธอโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้หลบเลี่ยง

เพียงชั่วพริบตาระยะห่างระหว่างพวกเราก็แคบลง

นัยน์ตาสีแดงสดยิ่งกว่าดอกกุหลาบกำลังมองเธออยู่ตรงหน้าห่างกันแค่คืบ

นะ…นี่มันอะไรกัน

เธอได้แต่ตัวเกร็งทื่อไปทั้งแบบนั้น

และเด็กหนุ่มก็เอ่ยพูดกับเธอเสียงกระซิบ ราวกับกำลังบอกความลับ

“งดงาม”

“นะ…นั่น…”

ตกใจมากเสียจนพูดอะไรไม่ออก

แต่แล้วในตอนที่เธอได้แต่อึ้ง อ้าปากพะงาบๆ ราวกับคนโง่

สวบ

ต้นไม้ในสวนที่อยู่ห่างออกไปสั่นไหวเล็กน้อย

เธอคิดว่าคงจะเป็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อาศัยอยู่ในสวน

“ใครน่ะ”

ชิ้ง

เฟเรสชักดาบออกมา ตัดต้นไม้ต้นนั้นทิ้งในดาบเดียว

ตุบ

ต้นไม้ถูกตัดจนล้มเอนมาด้านข้าง ข้างหลังมีศีรษะสามหัวที่นั่งซ่อนตัวกันอยู่

“ทำเรื่องบ้าอะไรน่ะ!”

คนที่ส่งเสียงร้องตะโกนปาวๆ ด้วยความหวาดกลัวจนหน้าซีดหลังจากมองต้นไม้ที่ถูกตัดจนล้มก็คือเบเลซักนั่นเอง

“อื้อ…”

และเด็กขี้ขลาดที่ส่งเสียงครางด้วยความกลัวก็คือ อาสทัลลีอู กับเครนีย์น้องชายที่เพิ่งอายุได้เจ็ดขวบ

“ถะ…ถ้าพลาดฟันพวกเราไปด้วยจะทำยังไง!”

“นั่นสิ แล้วทำไมถึงได้มาแอบฟังบทสนทนาของคนอื่นเขาเหมือนหนูสกปรกแบบนั้นกันล่ะ”

เธอถามกลับไปด้วยความเย็นชา

“นะ…หนูสกปรก”

เบเลซักโมโห ลุกขึ้นพรวดจากพื้นที่เขานั่งยองๆ ขดตัวอยู่

เจ้าเด็กนี่อายุสิบสามปีแล้ว เขาโตขึ้นพรวดพราดเหมือนเฟเรสที่อายุเท่ากัน แต่ความหน้าด้านและอารมณ์ฉุนเฉียวนั่นก็โตไปพร้อมกับร่างกายของเขาด้วย