เมืองเฟิ่งเทียนมีข้าราชการมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ และเป็นเมืองที่ฮ่องเต้มาพำนักอยู่กับท่านอ๋องเยี่ยน

ที่นี่เปรียบเสมือนเป็นเมืองหลวงในยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะเป็นสถานที่ชั่วคราว แต่ก็สามารถคาดการณ์ได้ หากต่อไปมีการย้ายเมืองหลวง สถานที่แห่งนี้ที่เคยเป็นที่พำนักของท่านอ๋องเยี่ยน สถานะของมันย่อมไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับเมืองกวางโจวและเมืองเซินเจิ้น

บ้านเรือนราคาเท่าไร?

ซ่งฝูเซิงตอนอยู่ในยุคปัจจุบันเขาเป็นคนชอบซื้อบ้าน และแต่ละครั้งที่ขายไปก็ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ

เขาอยากนำข้อดีนี้ของเขามาทำต่อให้รุ่งเรืองในยุคโบราณ

เงินเก็บของหมี่โซ่ว เก็บไว้แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ สู้นำมาซื้อร้านค้าหรือบ้านไม่ได้ ซื้อเสร็จแล้วแค่ให้เช่าก็สามารถสร้างรายได้ไม่มากก็น้อย ถึงแม้บ้านอาจจะผุพังลงได้ แต่ที่ดินที่อยู่ตรงนั้นอยู่นานเท่าไรก็ไม่เสียหายไปไหน แต่พื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัยกันหนาแน่นอยู่ตรงไหนกันนะ? อย่างน้อยต้องรู้เรื่องพวกนี้ก่อน

ดังนั้นเขาจึงต้องสอบถาม การพูดคุยก็เพื่อให้ทราบข้อมูล ในสายตาของเขาโอกาสค้าขายมักมาจากการพูดคุยทั้งหมด

เจ้าผลิตอะไร เขาผลิตอะไร ผลิตภัณฑ์ของเจ้าที่ผลิตเป็นที่ต้องการของเขา สามารถขนส่งมาให้ได้หรือไม่ ถ้าสามารถทำได้นี่ก็เป็นโอกาสทางการค้าแล้วและยังสามารถสร้างรายได้ได้อีก

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาเห็นเสี่ยวเอ้อร์กำลังว่างอยู่พอดี เขากจึงซักถามออกไปสองรอบ

เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกรำคาญ มองดูพวกเจ้ามีสภาพโทรมเช่นนี้ยังอยากจะรู้อีก ใจใหญ่ขนาดนี้ ราคาบ้านเรือนของเมืองเฟิ่งเทียนจะแพงหรือไม่แพงเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย?

พวกเจ้ากลับบ้านไปแทะเมล็ดแตงครุ่นคิดว่าจะสามารถซื้อที่นากี่แปลงยังจะดีเสียกว่า

เสี่ยวเอ้อร์ขมวดคิ้ว ฉายแววตารังเกียจ พูดด้วยกิริยาที่ไม่ดี “บอกมา จะเพิ่มแป้งกี่แผ่น!”

ซ่งฝูหลิงสงสัย พวกเราสั่งเกี๊ยว ทำไมต้องถามให้พวกเราเพิ่มแผ่นแป้งอีก

ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นยืน

“ไปเถอะ ไม่กินของที่นี่แล้ว ดูถูกคนอื่น ยังไม่ทันได้กินอิ่มก็ทำให้โมโหเสียก่อน…

…เพียงแค่ถามเจ้าว่า ที่ไหนมีผู้คนพลุกพล่าน แค่เพียงไม่กี่คำก็พูดไม่ได้หรือไง? ตอนนี้แขกที่มากินข้าวก็มีแค่พวกข้าเพียงโต๊ะเดียว ไม่ใช่ว่าเจ้าจะงานยุ่งสักหน่อย…

…พวกเราเป็นคนต่างถิ่นเพิ่งอพยพมา ไม่รู้เรื่องภายในเมืองว่าที่ไหนเป็นอย่างไร สอบ ถามก็เพื่อที่จะได้เดินไปสำรวจดู ดูอาการที่เจ้าแสดงออกมาสิ ไม่เอาแล้ว เจ้าปิดปากเงียบไปเลย ถึงเจ้าพูดออกมาข้าก็ไม่กินแล้ว”

“ไม่กินก็ไม่กิน เจ้าคิดว่าข้าขาดแคลนเงินค่าน้ำซุปแผ่นแป้งเพียงไม่กี่ชามของพวกเจ้าหรือไง?”

ซ่งฝูเซิงยิ่งโมโหมากขึ้น ฟังสิ ซุปแผ่นแป้ง? เขาบอกอย่างชัดเจนว่าเอาเกี๊ยว กลับไม่เชื่อ

พวกเขาดูเหมือนคนที่ไม่สามารถกินเกี๊ยวได้หรือ? มองคนเพียงแค่เปลือกนอก “เจ้าดูถูกคนแบบนี้ สมน้ำหน้าที่ทั้งชีวิตเจ้าต้องมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์เพราะตาเจ้าสองดวงเห็นแต่โลกแคบ”

เขาพูดจบก็แบกหมี่โซ่ว พาภรรยากับลูกสาวเดินไปทางสถานที่ที่มีผู้คนคึกคัก

เฉียนหมี่โซ่วคิดว่าท่านลุงจะต้องโมโหมาก เขาตกใจจนไม่กล้าออกเสียงและคอยสังเกตสีหน้าของซ่งฝูเซิง

แต่ไม่คิดว่าพี่สาวจะใจกล้ามาก นางหัวเราะออกมาเสียงดัง

เฉียนเพ่ยอิงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“แม่ลูกสองคนนี่จริงๆ เลย เฮ้อ” ซ่งฝูเซิงพูดจบ เขาก็ยิ้มให้กับตนเอง แม่ลูกสองคนนี้อารมณ์ดีเสียจริง ต้องนับถือเลยจริงๆ คนอื่นดูถูกยังสามารถหัวเราะออกมาได้

ทั้งสี่คนเดินตรงไป มีผู้คนเดินขวักไขว่ผ่านไปมา และมองเห็นรถม้าของครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวผ่านไป-มา

พวกเขาทั้งสี่ไม่รู้จักเส้นทาง แต่อาศัยความรู้สึกเดินไปยังถนนที่คึกคักมากที่สุด

เดินตามผู้คนไปแล้วเลี้ยวไปมุมหนึ่งก็เห็นถนนที่มีผู้คนเดินกันอย่างคึกคัก มีร้านค้าเยอะแยะเต็มไปหมด

หน้าประตูบางร้านก็มีรถม้าจอดอยู่

ที่จอดรถม้าในยุคโบราณเทียบได้กับที่จอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าในยุคปัจจุบัน บนถนนสายนี้ดูเหมือนจะมีสินค้าราคาแพงขายไม่น้อย

ซ่งฝูเซิงยืนมองอยู่หน้าโรงเตี๊ยมสี่ชั้น

สายตาของเขามองไปยังโรงเตี๊ยมใหญ่ แต่มือกลับยื่นชี้ไปทางด้านข้าง “พวกเราเข้าไปกินในโรงเตี๊ยมไม่ได้ แต่ก็สามารถกินร้านอาหารเล็กๆ นั่นได้ ไปเถอะ ข้าเห็นร้านนั้นดูดี นั่งกินอยู่ข้างนอกยังมีเต็นท์กางให้”

สถานการณ์ตามเดิม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นพวกเขาก็ถามว่าจะเติมแผ่นแป้งไหม?

ซ่งฝูเซิงตอบกลับเสียงดัง “เอาเกี๊ยวที่มีเนื้ออยู่ด้านใน” แม่เจ้า ทำไมถึงชอบถามแบบนี้กัน “เอามาห้าชาม” พวกเขาดูเหมือนคนที่จะมากินเกี๊ยวเพียงไม่กี่ลูกหรือ หลังจากนั้นในชามมีแต่แผ่นแป้งหรือไง?

“ต้องขอโทษนายท่านด้วย โปรดรอสักครู่”

เกี๊ยวร้อนๆ ในชามที่มีไอน้ำขาวลอยออกมา ถูกวางไว้บนโต๊ะ

เฉียนหมี่โซ่วนั่งอยู่ข้างกายท่านลุง เขาใช้ปากเล็กๆ เป่าไอร้อนๆ แต่เขาก็ทนรอให้หายร้อนไม่ไหวจึงกัดเข้าไปคำหนึ่ง มีเนื้อที่อยู่ด้านในเกี๊ยวจริงๆ ด้วย

ว้าว อร่อยมาก

“ท่านลุง อร่อยมาก”

“อร่อยก็กินเยอะๆ หน่อย” ซ่งฝูเซิงช่วยหมี่โซ่วเป่าไล่ไอร้อนที่อยู่ในชาม แต่ก็ไม่ได้เป่าจนเย็น ส่วนเขาก็ยกชามเกี๊ยวของตนเองขึ้นมากิน

ซ่งฝูหลิงใช้มือพัดปากไล่ความร้อนและบ่นพึมพำกับเฉียนเพ่ยอิงว่า “ถ้ามีน้ำพริกด้วยก็จะดีมาก ที่นี่พวกเขาไม่มีพริก ไม่อย่างนั้นใส่น้ำส้มสายชูลงไปหน่อยแล้วใส่น้ำพริกลงไปอีกนิด คนให้เข้ากัน ถ้าจะให้ดีก็เพิ่มซอสหม่าล่าลงไปอีกหน่อย นั่งกินอยู่ข้างนอกท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ น่าจะมีความสุขมาก”

เฉียนเพ่ยอิงตักเกี๊ยวในชามของตัวเองใส่ลงในชามของลูกสาวไปหลายชิ้น “ทําไมเจ้าถึงเหมือนพ่อของเจ้าเช่นนี้ กินอะไรก็ขาดพริกไม่ได้ เมื่อคืนข้ายังได้ยินเขาบ่นพึมพำเกี่ยวกับพริก”

“อืม”

นางแอบกระซิบกับลูกสาว “พ่อของเจ้าเขาอยากจะปลูกต้นพริก บอกว่าที่นี่ไม่มีพริก เขาอยากจะตั้งราคาขายเท่าไหร่ก็ขายได้ และยังบอกอีกว่าเขาจะเป็นผู้จําหน่ายพริกให้ทั่วทุกเมือง ทำเป็นร้านเดียวและขายส่งให้กับร้านเครื่องปรุงทั่วทุกเมือง ฮ่าๆ”

เฉียนเพ่ยอิงพูดพลางอยากจะหัวเราะไปด้วย “และยังบอกอีกว่าจะขายพริกป่น ทำแบบนี้ ใครก็ไม่สามารถเอาเมล็ดไปปลูกได้ เจ้าดูพ่อของเจ้าสิ คิดอย่างละเอียด เขามองการณ์ไกลขึ้นทุกวัน”

ซ่งฝูหลิงกําลังจะพูดว่า ทําไมข้าถึงไม่รู้? ท่านสองคนคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในกลุ่มผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนเรียกมาทางพวกเขา

“โอ้ว คนนั้นไง ท่านพี่ ท่านรีบหันกลับไปมองสิ”

ใครกัน?

ซ่งฝูเซิงหันมามองว่าเป็นใคร

ท่านคหบดีคนที่อพยพมาจากถิ่นเดียวกัน โอ้ว นั่นไง

ทั้งสองฝ่ายต่างหันมาสบตากันด้วยความดีใจ

เพื่อนบ้าน ตอนนั้นจากกันไปหลายวัน พวกเจ้าสบายดีไหม?

ซ่งฝูเซิงรู้สึกขอบคุณคหบดีท่านนี้ที่ให้ยารักษาบาดแผลหนึ่งขวดราคาสิบตำลึงกับพวกเขาและทักทายด้วยความดีใจ “ไม่ได้แล้ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น นั่งลงกินอาหารด้วยกันก่อน ตอนนั้นข้าได้พูดกันแล้วว่า ถ้าได้พบเจอกันอีกครั้งข้าจะเลี้ยงรับรองท่านอย่างดี เสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์? สั่งกับมาเพิ่มอีกสักสี่ห้าอย่างสิ เอามาวางบนโต๊ะให้หมด”

ใช่ ตอนนั้นได้พูดคุยกันแล้ว ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งจะเชิญมาดื่มเหล้า แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกันเร็วขนาดนี้ ช่างเป็นพรหมลิขิตแท้ๆ

เมื่อเห็นการแต่งตัวของครอบครัวซ่งฝูเซิง พวกเขาคงเพิ่งจะลงหลักปักฐาน คงมีเรื่องที่จะต้องใช้เงินเยอะ เขาวางแผนว่าจะให้ผู้ติดตามของเขาแอบไปจ่ายเงินก่อน

“เมื่อวานข้าเพิ่งรู้จักคนคนหนึ่งเป็นคนในอำเภออวิ๋นจง ข้ายังสอบถามเรื่องราวของท่าน แต่ครอบครัวเขาอยู่ในตัวเมืองและบอกว่ามีผู้อพยพจำนวนมากไปที่นั่นกันเยอะ ต้องใช้เวลาในการสอบถาม ข้ายังให้เขาช่วยข้าหาข่าวคราวเกี่ยวกับท่านด้วย”

ท่านคหบดีรีบบอกอีกว่าพวกเขาได้ถูกแบ่งให้ไปอยู่ที่หมู่บ้านหลิวซู่ วันนี้ที่มาก็เพื่อมารับเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์และมาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นเข้าบ้าน นอกจากนี้ยังต้องหาซื้อคนใช้ที่มีเรี่ยวแรง อะไรกัน? เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกเจ้าถูกหลี่เจิ้งรับไปแทนแล้วหรือ? ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไป ข้ารู้ว่าสถานที่ที่แจกเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์อยู่ที่ไหน

ซ่งฝูเซิงบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน พวกเรากินอาหารนี้กันก่อนแล้วอาศัยนั่งที่นี่พูดคุยกัน ในเวลานี้เจ้าหน้าที่ก็คงกำลังพักกินข้าวอยู่ อาจจะไม่มีใครอยู่ที่นั่นในตอนนี้

ท่านยายจับแขนเฉียนเพ่ยอิงพูดถึงรายละเอียดเพิ่มเติม

นางบอกว่า หลี่เจิ้งหมู่บ้านของพวกนางไม่ได้เอาเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกนางไปและยังบอกเรื่องรับเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ให้รับรู้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?

สมาชิกคนในครอบครัวของพวกเรามีน้อย จะได้รับเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ได้เท่าไรกัน? นำมารวมกันก็ไม่คุ้มกับจำนวนเงิน ตอนที่พวกเราเข้าหมู่บ้านก็ได้ให้ผลประโยชน์กับหลี่เจิ้งไปไม่น้อย มีมูลค่ามากกว่าเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์นี้เสียอีก

“นี่ แม่ของเจ้าล่ะ?”

ท่านยายถามถึงท่านย่าหม่าทำไมถึงไม่ได้มาด้วย

“อยู่บ้าน ทำความสะอาดบ้านมุงจากอยู่”

ท่านยายรีบบอกกับเฉียนเพ่ยอิงว่า บ้านของนางที่ได้พักอาศัยอยู่ก็ธรรมดามาก แต่ไม่ใช่บ้านมุงจาก

ยังคงเป็นประโยคเดิม ทำไมถึงไม่รังแกพวกเขาและไม่แบ่งบ้านที่พังแล้วให้? เพราะเงินจำนวนมากที่ให้ไว้เป็นของกำนัล

เฮ้อ เมื่อเอ่ยถึงก็รู้สึกเศร้าใจ นอกจากนี้ครอบครัวของพวกเขาถึงแม้จะไม่ได้อยู่บ้านที่ผุพัง แม้ว่าบ้านนั้นจะไม่ใช่บ้านกระท่อมมุงจาก แต่พวกเขาก็ต้องใช้เงินซื้ออิฐราคาแพงจากชาวบ้าน ถ้าให้เงินเยอะก็มีคนมาคอยช่วยพวกเขา แต่พวกเขาก็ต้องเสียเงินจำนวนมากไป มันต้องมีส่วนหนึ่งที่ต้องสละไป

ซ่งฝูหลิงอาศัยช่วงเวลาที่พวกผู้ใหญ่พูดคุยกันสอบถามทางร้านว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน

พวกผู้ใหญ่ก็กำลังพูดคุยกัน ผู้ติดตามของท่านคหบดีก็เข้าร้านไปช่วยเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารออกมา ไม่มีใครคอยสังเกตดูเฉียนหมี่โซ่วที่กินเสร็จแล้ว

หมี่โซ่วกินเกี๊ยวอร่อยเสร็จแล้ว เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดท้อง เขาค่อยๆ ลงมาจากเก้าอี้แล้วหันไปมองดูบรรยากาศรอบด้าน ที่นี่มีบรรยากาศคึกคักมากกว่าเมืองเดิมที่พวกเขาเคยอยู่

เอ๊ะ? เขาคนนั้นนิ

ใช่เขาจริงๆ เป็นเขาแน่ เฉียนหมี่โซ่วดีใจอย่างมาก

เขาดึงชายเสื้อของท่านลุง แต่ไม่ได้พูดแทรก ท่านลุงก็ไม่ได้สนใจเขา

“ท่านป้า”

เฉียนเพ่ยอิงต้องทำตัวมีมารยาท ท่านยายท่านนี้ช่างเป็นคนพูดเก่ง นางจึงพูดตัดบทเฉียนหมี่โซ่ว “นั่งอยู่ด้านข้างรอพี่สาวของเจ้า ข้ากับท่านยายกำลังคุยกันอยู่” หลังจากนั้น นางก็หันกลับไปพูดคุยกับท่านยายต่อ

เฉียนหมี่โซ่วร้อนใจ กังวลว่าท่านแม่ทัพจะเดินไปแล้ว

หมี่โซ่วพบว่าแม่ทัพน้อยมีคนตัวใหญ่ขนาดเท่าเขาหลายคนเดินตามเข้าไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านข้าง

หมี่โซ่วควักเห็ดหูหวังจวินจำนวนหนึ่งที่ตากแห้งแล้วอยู่ในตะกร้าที่วางอยู่ด้านข้างโต๊ะ เขาหันกลับไปมอง กะระยะห่างระหว่างโรงเตี๊ยมกับร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ ระยะทางไม่ไกลนัก สักครู่เขาสามารถเดินกลับมาได้ คงไม่หลงทางแน่

เด็กน้อยรีบวิ่งออกไป ตามลู่พั่นเข้าไปในโรงเตี๊ยม