ลู่พั่นเดินนำหน้า

ด้านหลังที่เดินตามกันมามีบุตรชายคนโตของท่านอู่อานโหว นามว่า เซี่ยเหวินอวี่ ซึ่งเป็นบุตรชายผู้สืบทอดอำนาจเพียงคนเดียว

หลินโส่วหยาง บุตรชายคนสุดท้องของเสนาบดีกรมอาญา

ติงเจียน มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องพี่ชายคนรองของลู่พั่น

พวกเขาทั้งสี่คนและผู้ติดตามของพวกเขาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าห้องก็ได้ยินเสียงเด็กตะโกนเรียก “พี่แม่ทัพ พี่แม่ทัพ”

เจ้าของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก

เขาส่งสายตาให้กับเถ้าแก่ไม่หยุด ตอนเขารู้ข่าวก็รีบออกมาจากบ้านทันทีเพื่อมาปรนนิบัติคุณชายเหล่านี้โดยเฉพาะ

“ข้ามอบอำนาจให้เจ้าคอยจัดการดูแล เจ้าดูแลจนเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้หรือ? ทําไมเจ้าถึงปล่อยให้ใครก็ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยมนี้ ถ้ารบกวนความสงบของใต้เท้าเหล่านี้ รอพวกเขาจากไป ข้าจะจัดการกับเจ้าก่อน”

เฉียนหมี่โซ่วรีบวิ่งตามมาจนเหนื่อยหอบ รองเท้าของเขาก็ไม่พอดีกับเท้า

เขาเดินตามหลังผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหน้ามา

“พี่แม่ทัพ พี่แม่ทัพ นี่ข้าเอง ข้าชื่อเฉียนหมี่โซ่ว ท่านจำข้าได้หรือไม่?”

มีเสี่ยวเอ้อร์สองคนจะเข้ามาขวางเพื่อจะนำตัวออกไป เฉียนหมี่โซ่วดวงตาเบิกกว้าง “ข้ามีอะไรจะพูดกับพี่แม่ทัพ หลีกไปนะ”

แม้ตัวเขาจะเล็กแต่ก็มีเรี่ยวแรงเยอะ

ด้วยท่าทางที่ขู่และแสดงออกมาเป็นธรรมชาติ ทำให้เสี่ยวเอ้อร์สองคนที่เข้ามาขวางไว้ถึงกับงุนงง ใครน่ะ? เจ้าเป็นใครกัน?

เฉียนหมี่โซ่วรีบวิ่งไปที่บันได ตะโกนบอกลู่พั่นที่อยู่ชั้นสองอย่างร้อนรน “ข้าเป็นคนอพยพลี้ภัย ระหว่างทางได้เคยขอไข่ไก่จากท่าน และได้ขอไข่ไก่ให้กับพี่สาวข้าด้วย พี่แม่ทัพ ข้ามาเพื่อขอบคุณท่าน”

ลู่พั่นหยุดเดิน เข้ามองไปยังชั้นล่าง

พวกเซี่ยเหวินอวี่ต่างหันกลับมามองเด็กชายตัวน้อยที่มีสภาพเหมือนกับขอทาน

เซี่ยเหวินอวี่ถามด้วยความสงสัย “หมินรุ่ย เขาดูเหมือนกำลังเรียกเจ้านะ พี่แม่ทัพ?”

ซุ่นจื่อที่คอยติดตามลู่พั่นได้เดินลงบันไดมาดูเฉียนหมี่โซ่ว

อืม ดูคุ้นๆ เขานึกออกแล้ว “ใครใช้ให้เจ้าเรียกแบบนี้”

เฉียนหมี่โซ่วไม่สนใจซุ่นจื่อ เขาเห็นลู่พั่นหันหน้ามามองเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น

เฉียนหมี่โซ่วโขกศีรษะให้กับเขา เมื่อโขกเสร็จเขาก็เงยหน้าพูดทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่

“พี่แม่ทัพ ท่านลุงบอกว่า พวกเราไม่ต้องไปเป็นทหารกองหนุนแล้ว ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก…

…ไม่เป็นทหารกองหนุน ในภายภาคหน้าหมี่โซ่วก็สามารถเล่าเรียนหนังสือได้ เรียนหนังสือถึงจะมีอนาคตที่ดี ข้าอยากมาโขกศีรษะให้กับท่าน เพื่อขอบคุณที่ท่านทำให้ข้ามีโอกาสที่ดีในอนาคต…

…หมี่โซ่วยิ่งต้องขอบคุณท่าน ตอนนั้นให้ไข่และของกินกับข้า ขอบคุณมาก”

ซุ่นจื่อเกือบจะทำตาขาวใส่ เจ้าเป็นใครมาจากไหนยังจะตั้งใจมาขอบคุณอีก ใครใช้ให้เจ้ามาขอบคุณ?

เมื่อหันกลับมามองนายท่านก็พบว่านายท่านจะเดินเข้าห้องไป เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะทนฟังต่อไป เขาจึงรีบพาตัวเด็กน้อยออกไป “รู้แล้ว รู้แล้ว ลุกขึ้นเถอะ ให้ข้าไปส่งเจ้า?”

เฉียนหมี่โซ่วใช้มือปัดไม่ให้ซุ่นจื่อยืนบังเขา เขาพบว่าพี่แม่ทัพกำลังจะเข้าห้อง ไม่สนใจเขาแล้ว เขาก็รีบตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“ข้านำเห็ดมาให้ท่าน ท่านดูสิ ท่านรีบมาดูเร็ว”

มือน้อยประคับประคองเห็ดที่ตากแห้งอย่างระมัดระวัง เขาชูเห็ดขึ้นสูง

“พวกเขาบอกว่านี่คือราชาแห่งเห็ดและยังบอกว่ากินสิ่งนี้ดี ข้ายังเก็บเห็ดอย่างอื่นมาอีก อันนั้นก็ดีเช่นกัน เรียกว่าเห็ดมัตสึตาเกะ…

…พี่แม่ทัพ ข้าไม่ให้ท่านลุงขายเพื่อหาเงินแล้ว ข้าวิ่งตามมาก็เพื่อที่จะเอามาให้ท่าน…

…ท่านสามารถไปตรงปากทางถนนกับข้าได้หรือไม่ ข้าจะให้ท่านลุงเอาออกมาให้ท่าน ท่านลุงกำลังพูดคุยกับคนตรงปากทางถนน ข้าอุ้มตะกร้าเอามาไม่ไหว…

…ข้าไม่ให้ท่านลุงขายเพื่อหาเงินแล้ว ข้าให้เห็ดกับท่านทั้งหมดเลย ให้ทั้งหมด”

เซี่ยเหวินอวี่หัวเราะออกมา

หลินโส่วหยางหันมามองสีหน้าของลู่พั่นแล้วก็หัวเราะ

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นการมอบสิ่งของให้โดยตรง

แต่พี่ชายคนที่สอง ติงเจียน มองเด็กน้อยที่สวมเสื้อผ้าโทรมๆ ที่อยู่ชั้นล่าง เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ เขาคิดว่าน่าจะมีผู้ใหญ่คอยสอนอยู่เบื้องหลังแน่

ติงเจียนแกล้งสอบถาม “ไม่ขายเพื่อหาเงิน จะเอาอะไรมาซื้อของกิน? เจ้าไม่เสียดายเลยหรือ? อีกอย่างเจ้าอายุยังน้อย จะสามารถตัดสินใจเองเหมือนผู้ใหญ่ได้อย่างไร?”

ไม่คาดคิดว่า เฉียนหมี่โซ่วจะบอกว่า เขาทำได้

เขาตะโกนบอกกับลู่พั่นว่าเขามีเงิน เป็นเงินที่ท่านปู่เก็บไว้ให้เขา ท่านลุงก็ไม่อยากใช้ ท่านลุงเป็นคนดีมาก พวกเขาทั้งครอบครัวต่างก็รู้สึกขอบคุณพี่แม่ทัพ พวกเขาจะรู้สึกเสียดายเห็ดได้อย่างไร?

เมื่อเฉียนหมี่โซ่วครุ่นคิดก็พูดเสริมขึ้นมา “หากท่านลุงรู้สึกเสียดาย สามารถหักเงินของข้าได้ ข้าจะกินอย่างประหยัด แต่จะต้องให้สิ่งของดีๆ กับพี่แม่ทัพ”

เพราะเขาได้ยินมาว่าเห็ดชนิดนั้นหาได้ยากมาก เมื่อเป็นสิ่งของที่หายากเขาก็ไม่ขาย เขาอยากให้พี่แม่ทัพ

เพราะอะไรถึงต้องให้ลู่พั่น

ยังไม่มีใครถาม เฉียนหมี่โซ่วก็รีบพูดขึ้นมาเอง

“ท่านป้าบอกว่า บุญคุณแม้เพียงน้ำหยดเดียว ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร ตอนเดินทางอพยพลี้ภัยไม่มีทางเลือกอื่น ข้ามีเงินแต่ก็ไม่สามารถซื้ออะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือข้าได้ แต่ตอนนี้ข้าเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง มีบ้านแล้ว และสามารถเข้าไปซื้อสิ่งของในร้านค้าได้ ข้าก็อยากจะตอบแทนบุญคุณ”

เมื่อพูดถึงเมืองเฟิ่งเทียน พี่แม่ทัพเป็นคนแรกที่เขาพบเจอและเป็นคนช่วยเหลือเขา

เมื่อพบเจอคนอื่นที่เคยให้ความช่วยเหลือก็ต้อง “ใจกว้างมากหน่อย” มอบเห็ดให้กับเขา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ซุ่นจื่อรู้สึกไม่อยากจะตําหนิเฉียนหมี่โซ่วเหมือนเมื่อครู่นี้อีก และไม่กล้าหิ้วคอเสื้อเด็กน้อยโยนออกไป เพราะเขาเชื่อในคำพูดของเด็กน้อยแล้ว

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ตั้งแต่เจ้าของร้านตลอดจนเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสอง ตลอดจนติงเจียน เซี่ยเหวินอวี่ หลินโส่วหยางและคนอื่นๆ ที่อยู่ชั้นสองก็เชื่อกันแล้ว

บุญคุณแม้เพียงน้ำหยดเดียว ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร

เด็กน้อยใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนพูดคำพวกนี้ออกมาดูเหมือนเป็นมนต์สะกด

เด็กน้อยที่สวมใส่เสื้อผ้าโทรมๆ ใช้แววตาอันสดใสจริงใจ ในสายตาของเขานอกเหนือ จากความดีใจที่ได้เจอลู่พั่นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝงอีก

“ข้ารู้แล้ว” ลู่พั่นตอบกลับเฉียนหมี่โซ่วอย่างตั้งใจ

เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเดินเข้าไปในห้อง

ซุ่นจื่อคิดในใจ อย่าได้ดูแคลนคำว่า “ข้ารู้แล้ว” นั่นหมายความว่านายท่านยอมรับคำพูดของเฉียนหมี่โซ่ว ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้

“เอ๊ะ?” เฉียนหมี่โซ่วสงสัย ทำไมถึงเดินไปแล้ว ไม่ไปเอาเห็ดกับเขาหรือ? หรือว่าให้ท่านลุงมาส่งให้?

ขณะที่ซุ่นจื่อกำลังจะดึงหมี่โซ่วให้ลุกขึ้นมา หมี่โซ่วก็รีบลุกขึ้นมาเอง

“ไปเถอะ ท่านไปกับข้าก็ได้ ข้าหอบตะกร้ามาไม่ไหว ข้าก็อยากให้ท่านลุงเห็นว่าข้าเอาไปให้ใคร สิ่งของมีราคา ไม่ใช่แค่ข้าพูดเพียงคำเดียวก็ได้แล้ว”

ซุ่นจื่ออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าสนใจดี มีความคิดรอบคอบ

“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อนและก็ไม่ได้จะไปเอาเห็ดของเจ้า เจ้านายของพวกข้ายอมรับในความมีน้ำใจของเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็อย่าได้เรียกพี่แม่ทัพอีก นั่นมันเป็นคำเรียกที่เจ้าจะเรียกได้ตามอำเภอใจหรือ?”

“ถ้าเช่นนั้นจะให้เรียกว่าอย่างไร” เรียกท่านอา น้าก็ไม่ได้

“ก็เรียก เอ๊ะ ข้าจะพูดเรื่องนี้กับเจ้าไปทำไมกัน”

“แต่ข้าอยากให้เขา”

ซุ่นจื่อพูดตัดบท “เจ้าอย่าได้คิดอีกเลย ไม่ต้องพูดถึงเห็ดนั่นอีก เจ้าพูดออกมาทำให้ข้าปวดหัวไปหมด เก็บเอาไว้ขายนำเงินมาซื้อไข่ไก่ไว้กินจะดีกว่า”

เขาบอกให้หมี่โซ่วเดินตามมา เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเด็กน้อยก้มหน้าจับเห็ดที่อยู่ในมือด้วยความเสียใจ

ซุ่นจื่อใจอ่อนลง เขาเข้าไปจับแขนหมี่โซ่วเพื่อพากันเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมและพูดคุยสอบถามเรื่องทั่วไป

“ครอบครัวลุงของเจ้ามีบ้านอยู่กันแล้วหล่ะสิ ดีที่ข้าได้ไปสั่งกำชับไว้ตั้งแต่แรก…

…เจ้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ดูแล้วพวกเจ้าคงจะสบายดี ไม่เสียแรงที่นายของพวกข้าได้ช่วยเหลือพวกเจ้า ไม่ต้องมอบเห็ดให้กับเขาหรอก…

…ใช่สิ พวกเจ้าตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนใช่ไหม? อยู่ในเขตอำเภอไหน?”

เฉียนหมี่โซ่วก้มหน้าก้มตาไม่ค่อยจะมีชีวิตชีวา แต่เมื่อได้ยินซุ่นจื่อสอบถาม เขาก็เล่ารายละเอียดสถานการณ์ครอบครัวของตนเองให้ฟัง

“ไม่น่ะ พวกเราอยู่หมู่บ้านเหรินจยา…

…อยู่บ้านกระท่อมมุงจาก พวกเรามีบ้านกระท่อมมุงจากหลายหลัง…

…ท่านพูดมาก็ไม่ค่อยถูกนัก ความเป็นอยู่ของพวกเราไม่ค่อยดีเท่าไร เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ที่จะต้องได้มาก็ถูกแย่งไปแล้ว…

…ไม่ใช่สิ ท่านลุงบอกว่าถูกโกงไปแล้ว อืม ถูกโกง”

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี้ เฉียนหมี่โซ่วก็เดินนำซุ่นจื่อไปแล้วหลายก้าว

เพราะซุ่นจื่อหยุดเดิน

เขาเป็นผู้ติดตามคนสนิทของลู่พั่น เรื่องการปกครองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก

ซุ่นจื่อรู้มาว่า เรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยอยู่ในการควบคุมดูแลของตระกูลลู่ อาจกล่าวได้ว่าท่านกั๋วกงเหยียของพวกเขาแนะนำให้ท่านอ๋องเปิดประตูเมืองเพื่อรับผู้ประสบภัยเข้ามา

อาหารบรรเทาทุกข์ของครอบครัวเด็กน้อยถูกคนอื่นเอาไป?

ครอบครัวเด็กน้อยยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ แล้วผู้อพยพลี้ภัยคนอื่นล่ะ

ซุ่นจื่อดึงคอเสื้อเฉียนหมี่โซ่วพาเขากลับไปยังโรงเตี๊ยม เจ้าของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนที่กำลังมองอยู่ตาแทบถลนออกมา

“นายน้อย” ซุ่นจื่อกระซิบที่ข้างหูของลู่พั่น

“ให้เขาเข้ามา”

เจ้าของโรงเตี๊ยมยกอาหารมาเสิร์ฟด้วยตนเอง เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง เทียนจื้อก็ถึงกับอึ้งไป

เขามองเห็นเด็กน้อยที่สวมใส่เสื้อผ้าโทรมๆ กำลังยืนด่าอยู่ข้างหน้าคุณชายลู่ “ไอ้สารเลว ไอ้คนทุจริต ถ้าสวรรค์มีตาคงส่งสายฟ้าผ่าเขาให้ตาย”

เจ้าของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียนรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก เขาอยากจะอันตรธานหายตัวไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปเสิร์ฟอาหารดีหรือไม่

ลู่พั่นมองเฉียนหมี่โซ่วที่อยู่ด้านหน้า เขาครุ่นคิดในใจ อืม คนพวกนี้ควรจะจับมาหักคอเสีย

ตรวจสอบ

อย่างนี้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด