กู้ซีคิดถึงข้อมูลที่ตนให้คนไปตามสืบเรื่องอวี้ถัง
ชาวหลินอัน บุตรสาวสกุลซิ่วไฉ สกุลมีเพียงร้านค้ากับที่นาหนึ่งร้อยหมู่ บ่าวรับใช้อีกสามสี่คน
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าสกุลอวี้อยู่อย่างสมถะไม่ชอบโดดเด่น ตอนนี้ดูท่า เกรงว่าจะข้นแค้นเหลือคณา
นิ้วเรียวขาวผ่องของกู้ซีไล้ผ่านหน้าโต๊ะสีดำที่แวววาวไร้ฝุ่นเกาะ นางหัวเราะไร้เสียงทีหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวกลับมา เอ่ยกับอวี้ถังเสียงนุ่มว่า “คุณหนูอวี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน รอให้นายหญิงเสิ่นดีขึ้นอีกนิด ข้าค่อยมาเยี่ยมใหม่”
อวี้ถังพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ถามไถ่ด้วยซ้ำว่าอาการของนายหญิงเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง เพียงมองตามซวงเถาที่พากู้ซีนายบ่าวออกไปส่ง
จากนั้นอวี้ถังก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาหวิวของคุณหนูห้าที่ยืนอยู่ข้างๆ
ตอนที่คุณหนูห้าอยู่เบื้องหน้ากู้ซีต้องตึงเครียดขนาดนี้เชียว?
อวี้ถังมองคุณหนูห้าอย่างไม่เข้าใจ
ดวงหน้าของคุณหนูห้าขึ้นสีแดงก่ำโดยพลัน นางงึมงำตอบว่า “พี่กู้นางเก่งกาจมาก สิ่งใดล้วนเชี่ยวชาญไปหมด ข้าขี้ขลาด…”
จนทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันรึ?
อวี้ถังพยายามข่มกลั้นสุดตัวไม่ให้หัวเราะออกมา
ชาติก่อนกู้ซีก็เป็นเช่นนี้ เพียงแค่ปรากฏตัวก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ชาตินี้ต่อให้นางจะพยายามสำรวมเมื่ออยู่ต่อหน้าคนสกุลเผย แต่บางสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกหาใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ หากว่านางมาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง เกรงว่าแม้นอนหลับฝันนางก็คงคิดไม่ถึง ว่าสิ่งที่นางภาคภูมิใจหนักหนาจะกลายมาเป็นอุปสรรคในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสกุลเผย
อวี้ถังอยากจะเงยหน้าหัวเราะสุดเสียง
นางปลอบใจคุณหนูห้าด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน “ไม่เป็นไรๆ คนที่เก่งกาจอย่างคุณหนูกู้มีอยู่ไม่กี่คนหรอก พวกเราเป็นคนธรรมดา แค่มองนางจากที่ไกลๆ ก็พอแล้ว”
คุณหนูห้าพยักหน้ารัวเร็ว สายตาที่ใช้มองอวี้ถังยิ่งสนิทชิดเชื้อกว่าเก่า “พี่กู้กับพี่รองแล้วก็น้องสี่ชอบเล่นด้วยกัน ส่วนพี่สามจะชอบมาเล่นกับข้า”
อวี้ถังนึกถึงท่าทางหยิ่งผยองของคุณหนูรองกับสายตาวิบวับมีชีวิตชีวาของคุณหนูสี่
หรือพูดได้ว่า บัดนี้กู้ซีลากคุณหนูรองกับคุณหนูสี่มาเป็นพวกได้แล้ว
นางค่อนข้างจะประหลาดใจ
นางคิดว่าคุณหนูสามที่เคร่งครัดในกฎระเบียบจะชื่นชอบกู้ซีมากกว่า แล้วคุณหนูรองที่สุดจะเย่อหยิ่งน่าจะชิงดีชิงเด่นกับกู้ซี
เห็นทีนางคงมีตอนที่มองคนพลาดอยู่เหมือนกัน
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ พวกนางกลับไปที่ห้องด้านใน เห็นว่าสาวใช้ปูเตียงเรียบร้อยแล้ว นางเองก็รู้สึกเมื่อยล้า จึงถามคุณหนูห้าว่า “เจ้าอยากจะนอนพักกับข้าหรือไม่? อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยไปหาท่านแม่เฒ่ากัน”
คุณหนูห้าหยุดคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับอย่างยินดี
สาวใช้ข้างกายของคุณหนูห้าจึงเข้ามาปลดเครื่องประดับต่างๆ และอุ่นผ้าห่มเตรียมไว้ให้
หลังจากวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง สองคนก็ล้มตัวลงนอน
สาวใช้พลันปลดผ้าม่านโปร่งให้ทิ้งตัวลงมา
คุณหนูห้านอนมองม่านโปร่งสีขาวซึ่งเป็นผืนเดิมที่เคยแขวนไว้ก่อนหน้านี้ อดจะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่อวี้ ท่านชอบสีอะไรรึ? ข้าจะให้อาซันหยิบมาให้ ข้าทางนั้นมีผ้าโปร่งหลายผืน ลายดอกไม้ก็มี ข้ามอบให้ท่านผืนหนึ่ง”
“ไม่ต้องหรอก” อวี้ถังเข้าใจความหมายของนาง
ชาติก่อน ตอนที่คุณหนูสกุลหลินมาเยี่ยมสกุลหลี่ ไม่ต้องพูดถึงผ้าม่านผ้าห่ม กระทั่งเก้าอี้กระโถนยังต้องใช้ของที่เตรียมมาเองเท่านั้น
นางมิได้เป็นคนเรื่องมากปานนั้น
แน่นอนว่า เป็นเพราะนางไม่อาจเรื่องมากได้น่ะสิ
อีกอย่าง ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็ไม่มีนิสัยทำเรื่องเหนือกำลังเพื่อรักษาหน้าตาของตนด้วย
“ข้าแค่มาพักที่นี่ไม่กี่วัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยุ่งยากเกินไป” นางหัวเราะพลางพลิกตัวนอนตะแคงมองหน้าคุณหนูห้า “อีกอย่าง ข้าคิดว่าต่อให้เป็นสิ่งของที่ข้านำมาจากเรือนเอง ก็คงไม่ต่างจากสิ่งของที่สกุลเจ้าใช้ตกแต่งห้องรับแขกสักเท่าไร จึงไม่อยากทรมานบ่าวรับใช้ของข้าอีก”
คุณหนูห้าเห็นว่านางสารภาพอย่างสัตย์ตรง ก็หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “พี่อวี้ เช่นนั้นข้ามอบเตาอุ่นให้ท่านดีหรือไม่? ป้าสะใภ้ข้าส่งมาให้จากจินหลิง บอกว่าเป็นลายใหม่ล่าสุดของจินหลิงเลย ข้าคิดว่าสวยงามยิ่งนัก”
อวี้ถังนึกขึ้นมาได้ว่า พี่น้องฝั่งมารดาของนายหญิงรองรับราชการอยู่ที่จินหลิง
นางเห็นว่าคุณหนูห้าเอ่ยด้วยความจริงใจ จึงไม่อยากปฏิเสธให้นางเสียความรู้สึก รีบขอบคุณนางด้วยรอยยิ้ม “ประเสริฐยิ่ง! สกุลเจ้าดึงความร้อนจากพื้นไฟยังดีหน่อย เรือนข้านั้น ขนาดคัดอักษรตัวใหญ่ๆ ยังทำไม่ได้เลย มือยื่นออกมาไม่ทันไรก็แข็งทื่อแล้ว”
เห็นชัดว่าคุณหนูห้าไม่เคยอยู่ในห้องที่ไม่มีการดึงความร้อนจากพื้นไฟมาก่อน ได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็ไม่สงสัยเลยสักนิด ทั้งลอบดีใจที่ตนเลือกของที่ถูกต้องมอบให้กับผู้อื่น
สองคนหัวเราะคิกคักกันครึ่งค่อนวัน จากนั้นความง่วงก็เข้าจู่โจม แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ตอนที่ทั้งสองคนถูกปลุกให้ตื่น ก็ใกล้จะถึงยามเซิน[1]แล้ว คุณหนูห้ากระเด้งตัวขึ้นมาอย่างตกใจ แล้วร้องบอกว่า “แย่แล้วๆ สายแล้วๆ!”
อาซันเป็นแม่นางน้อยที่อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ได้ยินว่าตั้งแต่คุณหนูห้าเกิดก็อยู่รับใช้คุณหนูห้ามาตั้งแต่ต้น อย่างไรนางก็อายุมากกว่าคุณหนูห้า จึงเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ตื่นตระหนกว่า “คุณหนูห้าไม่ต้องรีบร้อน เวลานี้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าหวีผมนับว่าทันการพอดีเจ้าค่ะ”
คุณหนูห้ามองไปข้างๆ ทีหนึ่ง เห็นสีหน้านิ่งเฉยของอวี้ถัง นางถึงค่อยผ่อนคลายลง ยกมือทาบอกแล้วหันไปยิ้มสดใสให้อวี้ถัง เอ่ยอธิบายว่า “ข้า ข้ามักเอาแต่ละล้าละลัง จนไปสายตั้งหลายครั้งแล้ว…”
อวี้ถังอย่างไรก็ไม่ใช่คุณหนูอายุสิบเจ็ดจริงๆ หากว่าเป็นตอนนี้เมื่อชาติก่อน นางเห็นคุณหนูห้าคงจะรู้สึกขบขัน แต่มาบัดนี้ นางกลับคิดว่าออกจะน่ารักดี
“ใจเย็นๆ” อวี้ถังปลอบใจคุณหนูห้า “หากว่าไปสาย ก็มิใช่มีข้าสายเป็นเพื่อนเจ้ารึ?”
คุณหนูห้าหัวเราะอย่างอายๆ ทางหนึ่งก็ปล่อยให้อาซันพยุงนางให้ลุกขึ้น ทางหนึ่งก็ถามอาซันว่า “พี่สาวคนอื่นมาถึงแล้วหรือยัง?”
อาซันตอบยิ้มๆ “เพิ่งจะขึ้นเขามา ตอนนี้น่าจะยังเก็บของไม่เรียบร้อย รอให้คุณหนูแต่งตัวเสร็จ ก็คงไปคารวะท่านแม่เฒ่าได้พร้อมกันพอดีเจ้าค่ะ”
สีหน้าของคุณหนูห้ายิ่งคลายกังวลกว่าเก่า
อวี้ถังลอบแปลกใจ
ท่าทางนายหญิงรองน่าจะเป็นคนคุยง่าย เหตุใดพอมาเป็นคุณหนูห้า กลับคล้ายถูกควบคุมอย่างเข้มงวดแบบนี้?
พวกนางแต่งตัวเสร็จกำลังออกจากประตู ก็เหมือนกับที่อาซันบอกไว้ ที่ประตูของโถงหลัก ได้เจอกับคุณหนูสกุลเผยอีกสามคนที่จะไปคารวะท่านแม่เฒ่าพอดี
คุณหนูรองยังเย่อหยิ่งอย่างที่เคยเป็น นางสวมเสื้อกั๊กตัวยาวสีน้ำผึ้งขลิบขอบแดง ในมือประคองเตาอุ่นเคลือบทองลายดอกเหมย เวลาที่มองคนก็มักจะเชิดหน้าขึ้นสูง
คุณหนูสามสวมเสื้อกั๊กตัวยาวสีฟ้าอ่อนปักขนเพียงพอนสีเทา ซ่อนมือใต้หมอนซุกมือขนกระต่ายสีขาว ดูปุกปุยน่ารัก มองแล้วทำให้คนอบอุ่นไปถึงหัวใจ
นางมองอวี้ถังกับคุณหนูห้า จากนั้นก็เอ่ยปากเรียก “พี่อวี้” กับ “น้องห้า” อย่างถูกต้องตามธรรมเนียม
คุณหนูสี่กลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาดึงมือของคุณหนูห้าเอาไว้ หลังจากทักทายอวี้ถังเสร็จก็เริ่มพูดไม่หยุดเกี่ยวกับสิ่งของปีใหม่ที่สกุลได้ตระเตรียมเอาไว้ เสื้อคลุมสีเขียวอ่อนยิ่งดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษเมื่ออยู่กลางฤดูหนาวเช่นนี้
อาจเพราะคนในห้องได้ยินเสียงเอะอะ หรืออาจเพราะก่อนหน้ามีสาวใช้เข้าไปรายงานแล้ว เฉินต้าเหนียงเดินหน้ายิ้มแย้มออกมาเลิกผ้าม่านเปิดให้ แล้วเอ่ยกับพวกนางว่า “ท่านแม่เฒ่าคาดไว้แล้วว่าคุณหนูทั้งหลายคงใกล้มาถึงแล้ว เพิ่งจะสั่งให้พวกข้าไปต้มน้ำหวานดอกกุ้ยฮวาเข้ามาเจ้าค่ะ พวกคุณหนูก็มาถึงพอดีเลย”
ทุกคนหัวเราะชอบใจแล้วพากันเดินเข้าด้านในห้อง
คุณหนูสี่ปล่อยให้สาวใช้ของตนช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกให้ แล้วเอ่ยเสียงดังด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านย่าใจดีที่สุดแล้ว รู้ว่าพวกเราอยากดื่มน้ำหวานดอกกุ้ยฮวา ทั้งยังเก่งกาจยิ่งนัก! แค่ยกนิ้วขึ้นนับก็รู้แล้วว่าพวกเราจะมาถึงตอนไหน”
ท่านแม่เฒ่าถูกกระเซ้าจนหัวเราะออกมา
คุณหนูสี่ลากมือคุณหนูห้าวิ่งเข้าไปหาแล้วคารวะท่านแม่เฒ่าเป็นคนแรก
ท่านแม่เฒ่ารับคารวะจากนาง แล้วมอบหยกนวดมือให้นางลูกหนึ่ง
คุณหนูสี่ชอบใจจนดวงตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
อวี้ถังนึกว่าคุณหนูรองกับคุณหนูสี่จะแก่งแย่งความโปรดปรานกัน นึกไม่ถึงว่าคุณหนูรองไม่เอ่ยออะไรสักคำ เพียงเดินขึ้นไปคารวะท่านแม่เฒ่าพร้อมกับนางและคุณหนูสาม
ท่านแม่เฒ่ามองกลุ่มแม่นางน้อยที่งดงามชวนพิศเบื้องหน้า สีหน้าจึงผ่อนคลายตามไปด้วย “ใกล้วันปีใหม่แล้ว ให้พวกเจ้าขึ้นเขามาเที่ยวผ่อนคลายเสียบ้าง ไม่อนุญาตให้วิ่งเล่นไปทั่ว ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะไม่พาพวกเจ้าออกนอกจวนอีก!”
ทุกคนตอบเสียงขอบคุณพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะนั่งล้อมวงท่านแม่เฒ่าเอาไว้
ท่านแม่เฒ่าถามขึ้นว่าหลายวันนี้แต่ละคนทำอะไรกันบ้าง ถามว่าอักษรที่ฝึกคัดได้ผลเป็นอย่างไร บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น
หางตาของอวี้ถังอดจะสำรวจคุณหนูรองที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างสักหลายครั้งไม่ได้
คุณหนูสี่ไม่รู้ว่าเข้ามากระซิบที่หูนางตั้งแต่เมื่อไร นางเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่อวี้ไม่ต้องแปลกใจหรอกเจ้าค่ะ พี่ีรองใกล้จะออกเรือนแล้ว นางคงไม่อยากเล่นกับพวกเราอีก”
อวี้ถังตกตะลึง แต่กลับถูกคุณหนูรองที่ได้ยินเสียงคุณหนูสี่พูดถลึงตาใส่อย่างดุดัน
นางถึงได้แต่ฉีกยิ้มแห้งส่งให้คุณหนูรองอย่างลุแก่โทษ
คุณหนูรองสะบัดหน้าหนี ไม่สนใจนางอีก
อวี้ถังพลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
จี้ต้าเหนียงเดินเข้ามาถามท่านแม่เฒ่าว่าจะให้ตั้งอาหารเย็นเลยหรือไม่
ท่านแม่เฒ่าโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ตั้งโต๊ะเลย! พวกคุณหนูคงหิวแย่แล้ว” ทั้งบอกกับพวกนางเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้ห้องครัวทำข้าวแปดสมบัติด้วย”
มีเด็กสาวคนใดบ้างที่จะไม่ชอบกินข้าวแปดสมบัติ?
หลายคนพากันส่งเสียงร้องดีใจยกใหญ่
คุณหนูสี่ยังเอ่ยทวงท่านแม่เฒ่าอย่างร่าเริงว่า “ท่านย่า พรุ่งนี้พวกข้าจะได้กินขนมหนวดมังกรกับขนมแห้วไหมเจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่ายิ้มจนตาแทบปิด “ได้สิ อีกเดี๋ยวจะสั่งห้องครัวทำให้พวกเจ้ากิน”
พวกคุณหนูพลันส่งเสียงเฮฮาขึ้นมาอีก
ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่า “นายหญิงเสิ่นกับคุณหนูกู้มาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนพากันนิ่งอึ้ง
รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านแม่เฒ่ายังเหือดจางไปหลายส่วน
“เชิญพวกนางเข้ามา!” ท่านแม่เฒ่าสั่ง
เฉินต้าเหนียงพาคนทั้งสองเข้ามาด้วยมือเท้าที่คล่องแคล่ว
นายหญิงเสิ่นมีท่าทางคล้ายคนป่วยหนักเพิ่งฟื้นไข้ กู้ซีกลับดวงหน้าเปล่งปลั่งเป็นประกาย อยู่ในชุดคลุมตัวยาวผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อน ขับให้คนงดงามจนน่าตื่นตะลึง
อวี้ถังรู้สึกหนักอึ้งในใจ นางรีบชำเลืองไปมองท่านแม่เฒ่าทีหนึ่ง
ดวงหน้าของท่านแม่เฒ่าไม่แสดงอารมณ์รักหรือเกลียด นางถามนายหญิงเสิ่นด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “มิใช่ให้เจ้าพักผ่อนอยู่บนเตียงรึ? แล้วลุกขึ้นมาทำไม? ดึขึ้นแล้วหรือไม่ล่ะ?”
“ขอบคุณท่านแม่เฒ่าเจ้าค่ะ” นายหญิงเสิ่นยิ้มอย่างอ่อนแรง “แค่ท้องไส้ไม่สบายเท่านั้น หาใช่โรคร้ายแรงอะไร กินยาไม่กี่เทียบก็หายแล้ว”
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยว่า “อย่างไรก็ต้องพักผ่อนให้มาก อายุไม่ละเว้นคน เจ้าเองก็โตเป็นผู้ใหญ่รู้ความแล้ว มิเหมือนกับเมื่อก่อน จะทำอะไรเหลวไหวตามใจตัวเองไม่ได้”
สีหน้าของนายหญิงเสิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
กู้ซีรีบเอ่ยแทรกว่า “ท่านป้าเสิ่น ข้าพยุงท่านไปนั่งนะเจ้าคะ!”
เฉินต้าเหนียงพยายามกู้สถานการณ์ รีบยกตั่งไม้เตี้ยออกมาวางใกล้ๆ นายหญิงเสิ่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เชิญนั่งเจ้าค่ะ!”
นายหญิงเสิ่นนั่งลงด้วยสีหน้าซีดเผือด หันไปมองเหล่าคุณหนูทั้งหลายทีหนึ่ง “ข้าได้ยินว่าคุณหนูต่างขึ้นเขามาหมดแล้ว ถึงได้ตั้งใจมาทักทายเป็นพิเศษ”
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้าเป็นผู้อาวุโส ต่อให้ต้องเข้าไปทักทาย ก็ต้องเป็นพวกนางที่ไปคารวะเจ้า มีที่ไหนให้เจ้าต้องวิ่งมาหาด้วยตนเอง”
นายหญิงเสิ่นเอ่ยว่า “พวกเราสองสกุลมิใช่คนอื่นคนไกล ไม่จำเป็นต้องถือธรรมเนียมพวกนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้ส่งเสียง
คุณหนูหลายคนอายุยังน้อย ทั้งอวี้ถังยังเป็นคนนอก จึงไม่ได้กระไร แต่คุณหนูรองทางนั้นกลับร้องเหอะเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง
————————————————————-
[1]ยามเซิน คือเวลาประมาณ 15.00 – 16.59 น.