บทที่ 159 เฉียบแหลม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

หากเป็นเวลาอื่นก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนั้นนายหญิงเสิ่นเพิ่งจะพูดจบ ท่านแม่เฒ่ายังไม่ได้พูดต่อ ทุกคนจึงได้ยินเสียงเย้ยหยันของคุณหนูรองได้อย่างชัดเจน

สีหน้าของนายหญิงเสิ่นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายตาที่มองคุณหนูรองมีความชิงชังแฝงอยู่

ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ

อวี้ถังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฉินต้าเหนียงที่อยู่ด้านข้างไม่อาจปล่อยให้บรรยากาศแย่ลงไปกว่านี้ นางรีบโพล่งขึ้นว่า “นายหญิงเสิ่นเพิ่งจะหายป่วย ไม่รู้ว่าท่านหมอสั่งห้ามสิ่งใดไว้บ้างหรือไม่? ข้าจะสั่งสาวใช้กับหญิงรับใช้ให้ระวังเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”

แค่ท้องไส้ไม่ดีมิใช่เป็นโรคพิสดารอะไร หญิงรับใช้ในสกุลสูงศักดิ์มากกว่าครึ่งล้วนมีความรู้ทั่วไปทางด้านนี้อยู่แล้ว เฉินต้าเหนียงถามเช่นนี้ เห็นชัดว่าต้องการกู้คืนสถานการณ์เท่านั้น

ท่านแม่เฒ่าไม่รู้ว่าลำเอียงหรือไม่ชอบนายหญิงเสิ่น นางไม่ได้เอ่ยปราม คนอื่นล้วนยึดท่านแม่เฒ่าเป็นจ่าฝูง แต่ละคนเอาแค่ก้มหน้างุดๆ เหมือนนกกระทา

สีหน้าของนายหญิงเสิ่นย่ำแย่กว่าเก่า ปากอ้าพะงาบๆ คล้ายจะพูดบางอย่าง

กู้ซีเหลือบมองอวี้ถังอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง

นางคิดไม่ถึงว่าคุณหนูอวี้จะเป็นเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง พอเกิดเรื่องก็วางตัวอยู่นอกวง คอยมองความครึกครื้นอยู่ด้านข้างอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เช่นนั้นท่านแม่เฒ่าให้นางมาทำอะไรที่นี่กัน?

หรือเพราะนางเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย?

แต่เหล่าคุณหนูของสกุลเผยมีคนใดที่ไม่ว่านอนสอนง่ายบ้าง?

ท่านแม่เฒ่าจำเป็นต้องหาเด็กว่านอนสอนง่ายสักคนถึงขนาดรับคุณหนูจากสกุลอื่นมาอยู่ข้างกายเลยรึ?

กู้ซีลอบดูแคลนอวี้ถัง ในใจรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ทว่ามุมปากกลับยกขึ้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำให้เฉินต้าเหนียงต้องเป็นห่วงแล้ว ท่านหมอไม่ได้สั่งอะไรไว้เป็นพิเศษ บอกแค่สองสามวันนี้อย่าเพิ่งกินเผ็ดก็พอ”

นางต้องหาทางรู้แน่ชัดให้ได้ว่าท่านแม่เฒ่าเรียกอวี้ถังให้มาพักที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด!

เฉินต้าเหนียงเห็นว่ากู้ซีตอบความ ก็ถอนหายใจโล่งอก

นางรับใช้ท่านแม่เฒ่ามาตั้งกี่ปีแล้ว นิสัยของท่านแม่เฒ่านางรู้จักดี โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเสียไป ท่านแม่เฒ่าก็ยิ่งทำอะไรตามใจไม่คำนึงถึงข้อเว้นห้าม ไม่ต้องพูดถึงอย่างนายหญิงเสิ่นผู้นั้น ขนาดนายหญิงใหญ่สกุลซ่ง ท่านแม่เฒ่าของนางอยากจะปะทะก็ปะทะทันที ไม่มีไว้หน้ากันเลยสักนิด

บัดนี้คุณหนูกู้ได้ยื่นบันไดลงให้แล้ว นางย่อมคว้าไว้ในมือ พลันเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “หลีกเลี่ยงการกินเผ็ดข้าเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แม้ปกติที่เรือนจะกินอาหารรสอ่อนอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ข้าจะกำชับกับสาวใช้อีกสักคำเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็รีบเรียกสาวรับใช้มาทันที “นอกจากห้องครัวทางนั้นที่ต้องไปแจ้งแล้ว คนที่รับใช้ข้างกายนายหญิงเสิ่นก็ต้องสั่งให้ชัดเจน หากว่ามีสิ่งใดบกพร่อง ก็ระวังผิวหนังของเจ้าไว้ให้ดี!”

เด็กรับใช้รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

เฉินต้าเหนียงถามนายหญิงเสิ่นว่า “ท่านรับอาหารเย็นแล้วหรือยังเจ้าคะ? รับเพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่?”

วาจานี้นับว่าถามได้ไม่ค่อยจะเกรงใจเท่าไรแล้ว

ปกติหากจะชวนผู้อื่นให้ร่วมกินอาหารด้วยกัน ก็ต้องเอ่ยรั้งตัวไว้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ถามกับผู้อื่นว่าต้องการจะอยู่กินอาหารหรือไม่

อีกอย่างที่พวกนายหญิงเสิ่นเลือกมาในเวลานี้มิใช่เพราะมากินอาหารเย็นด้วยหรือ?

นายหญิงเสิ่นได้ยินหัวคิ้วก็เลิกขึ้น

กู้ซีออกมาแก้สถานการณ์อีกครั้ง

ตอนที่นายหญิงเสิ่นไม่ทันได้เปิดปาก นางก็ชิงเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มว่า “กลัวแต่ว่าในครัวไม่ได้เตรียมเผื่อไว้ ข้าให้เหอเซียงไปบอกกับหญิงรับใช้ที่เรือนพักสักคำ ให้ยกอาหารเย็นของทางโน้นที่เตรียมไว้มาที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ?”

หมายความว่าจะอยู่กินข้าวที่นี่ให้ได้อย่างนั้นสินะ

ท่านแม่เฒ่าเหลือบมองนายหญิงเสิ่นทีหนึ่ง

หน้าผากของนายหญิงเสิ่นผุดเส้นเลือดจนเห็นชัดเจน แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธคำของกู้ซี

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะ “เอาสิ! นายหญิงเสิ่นกินอาหารเผ็ดไม่ได้ แต่ข้านั้นถ้าไม่เผ็ดกินไม่ลง นายหญิงเสิ่นเพิ่งจะหายดี หากว่าอาการกำเริบขึ้นมาอีกคงเป็นความผิดของข้ากระมัง”

ท่านแม่เฒ่าชอบกินเผ็ด?

อวี้ถังเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

กู้ซีกลับยิ้มให้แล้วตอบว่า “แต่ก่อนได้ยินจากป้าสะใภ้ของน้าหญิงบอกว่าท่านแม่เฒ่าเคยติดตามไปอยู่ที่เมืองฉางซาตอนท่านผู้เฒ่าเฉียนไปรับราชการที่โน่น ไม่คิดว่ารสปากของท่านแม่เฒ่าจะเปลี่ยนมาเหมือนกับคนหูหนานเสียแล้ว”

เรื่องนี้อวี้ถังเพิ่งเคยได้ยิน นางมองท่านแม่เฒ่าต้องความประหลาดใจ

ท่านแม่เฒ่าที่เมื่อครู่ทำหน้าบึ้งตึง พอได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะทันที นางใช้น้ำเสียงหวนระลึกถึงวันเก่าๆ แล้วถอนหายใจตอบว่า“นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ห้าสิบกว่าปีก่อนแล้ว!”

กู้ซียิ้ม “ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไรแต่ทุกคนก็ยังจำได้เจ้าค่ะ หลายวันก่อนได้ยินท่านพี่พูดว่า ศิษย์พี่ของเขาไปที่เมืองฉางซายังตั้งใจแวะไปเดินเล่นแถวคลองขุดที่ท่านผู้เฒ่าเฉียนซ่อมแซมเอาไว้เมื่อปีนั้น ทั้งพูดว่าแม้จะผ่านไปห้าสิบปีแล้ว แต่ระบบชลประทานของหนิงเซียงยังคงยึดตามแนวคลองน้ำไม่กี่สายที่ท่านผู้เฒ่าเคยทำไว้ตอนที่รับตำแหน่งอยู่เลย! ทุกคนยังรำลึกถึงบุญคุณของท่านผู้เฒ่าเฉียนอยู่เสมอ ทั้งยังมีคนตั้งป้ายเพื่อบูชาท่านผู้เฒ่าเฉียนด้วยนะเจ้าคะ!”

“จริงรึ?” ท่านแม่เฒ่าทั้งแตกตื่นทั้งยินดี สายตาที่มองกู้ซีไม่ได้เย็นชาเฉกเช่นก่อนหน้านี้ แต่เปลี่ยนมาเป็นความเร่าร้อนทันที “ยังมีคนจดจำบิดาของข้าได้?”

“จริงเจ้าค่ะ!” กู้ซีพยักหน้า ท่าทางเถรตรงอย่างที่สุด “พี่ชายข้าเขียนจดหมายกลับมาเล่าให้ฟัง ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? อีกอย่างจดหมายของพี่ชายก็มิได้ส่งถึงข้า แต่เขียนถึงท่านลุงใหญ่เจ้าค่ะ บอกว่าเป็นขุนนางก็ควรจะเป็นให้ได้อย่างท่านผู้เฒ่าเฉียน บอกให้ท่านลุงใหญ่สั่งสอนลูกหลานในสกุลให้ยึดท่านผู้เฒ่าเฉียนเป็นแบบอย่าง”

“ไอหยา พี่ชายเจ้าช่างใส่ใจเหลือเกิน” ท่านแม่เฒ่าเอ่ยอย่างเกรงใจ ดวงหน้าบานแฉ่งเฉกดอกไม้ดอกหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องตอนเด็กซึ่งติดตามบิดาไปรับราชการให้ฟัง

กู้ซีก็คอยพูดเสริมอยู่ข้างๆ ไม่ขาด บรรยากาศพลันครื้นเครงขึ้นมาทันที

อวี้ถังรู้สึกนับถืออย่างสุดใจ

ชาติก่อน นางนับว่าดูถูกกู้ซีเกินไปแล้ว

ที่นางได้รับความรักใคร่จากทุกคน อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว

บทสนทนาของทั้งสองต้องชะงักลงเพราะการมาถึงของนายหญิงรอง เช่นนี้ ความเบิกบานของท่านแม่เฒ่าก็มิได้ลดลง นางลากนายหญิงรองคุยเรื่องนี้ต่ออีกเป็นนาน

เห็นชัดว่านายหญิงรองไม่ใช่เคยฟังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นางไม่เพียงรับคำด้วยรอยยิ้มตาหยี ทั้งยังเอ่ยว่า “ท่านแม่ วันเซ่นไหว้ของท่านตาก็ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านอยากไปบอกเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงไว้สักคำไหมเจ้าคะ จัดงานบุญอุทิศกุศลให้ท่านตาสักหน่อย”

“ไม่ต้องหรอก” ท่านแม่เฒ่าถอนหายใจเฮือก “เจ้าไม่เคยเจอท่านตาของเจ้า นิสัยเขาดื้อรั้นจะตายไป ปีนั้นก่อนเขาจะจากไป ยังสั่งเสียเอาไว้ว่า ให้เผาศพของเขาเสีย แล้วเอาเถ้ากระดูกไปโปรยที่ทะเลสาบซีหู พวกน้าชายของเจ้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ถึงกับต้องเชิญผู้นำสกุลออกหน้า ถึงฝังศพของท่านตาเจ้าไว้ในสุสานบรรพบุรุษได้ บางครั้งที่ข้าสงสัย ว่านิสัยของสยากวงได้ใครมากันแน่ ข้ารู้สึกว่าคงได้มาจากท่านตาของพวกเจ้านี่แหละ แต่ท่านตากับท่านยายของพวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้น ทั้งถูกใจนิสัยของเขาเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้น ตอนที่ท่านยายของพวกเจ้าเสียคงไม่ทิ้งสินเดิมของตนทั้งหมดให้กับสยากวง ตอนนั้นพวกเจ้าเพิ่งจะแต่งงานเองนี่นะ!”

ท่านลุงของเผยเยี่ยนคือพี่ชายของท่านแม่เฒ่า?

ไม่ใช่เพราะว่าเผยเยี่ยนเป็นหลานชายแท้ๆ ของตนเองหรือ?

อวี้ถังคิดว่าไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไรนัก

ทว่า ได้ยินท่านแม่เฒ่าพูดเช่นนี้ เผยเยี่ยนก็เหมือนกับท่านตาของเขามากอยู่จริงๆ

ถึงกับให้เผาร่างของตนเอง กระทั่งเถ้ากระดูกก็โปรยทิ้งได้…แค่คิดนางก็สะท้านสั่นไปทั้งตัวแล้ว

อาจเพราะนายหญิงรองมิได้ไม่พอใจเรื่องที่เผยเยี่ยนได้รับมรดกจากสกุลฝั่งมารดา และเป็นเรื่องจริงที่ว่านางพูดจาน่าฟังเสียเหลือเกิน

“ท่านตาได้ทำตามที่ใจปรารถนามาทั้งชีวิต ท่านอาสามนิสัยเหมือนกับท่านตา ท่านตาก็คงรักใคร่ท่านอาสามมาก จึงคิดจะทิ้งสิ่งที่เป็นของตนเองไว้ให้ท่านอาสาม อีกอย่างข้าวของของท่านตาไปอยู่ในมือท่านอาสามก็ยังดีกว่ามาอยู่ในมือของพวกเรา ถือว่ามอบได้ถูกคนแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มอย่างอ่อนช้อย “เล่าลือกันออกไป ก็มีแต่เรื่องที่ดีน่าฟังทั้งสิ้น”

ท่านแม่เฒ่าทั้งยินดีและปลาบปลื้ม จับมือนายหญิงรองเอาไว้พลางผงกศีรษะ

เจินจูเดินเข้ามารายงานเสียงเบาว่าตั้งโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว

นายหญิงรองจึงประคองท่านแม่เฒ่าให้ลุกยืนขึ้น

คนทั้งกลุ่มยกขบวนตามท่านแม่เฒ่าไปที่ห้องอาหารด้านในสุดฝั่งทิศตะวันตก

นายหญิงเสิ่นกับนายหญิงรองแยกกับนั่งประกบสองข้างของท่านแม่เฒ่า

กู้ซีนั่งเก้าอี้ที่ถัดลงมาจากนายหญิงเสิ่น อวี้ถังนั่งเก้าอี้ที่ถัดลงมาจากนายหญิงรอง คุณหนูสกุลเผยทั้งหลายก็นั่งเรียงกันตามลำดับอายุ

อาหารมื้อนี้นับว่ากินได้อย่างสงบราบรื่น ไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ

หลังจากกินอาหารเสร็จ ท่านแม่เฒ่าก็อารมณ์ดีไม่เลว ทุกคนจึงกลับไปที่ห้องฝั่งตะวันออกอีกครั้งเพื่อดื่มชาและสนทนากันต่อ

หัวข้อเรื่องเริ่มจากท่านผู้เฒ่าเฉียนตั้งแต่ก่อนกินข้าว ไปจนถึงทิวทัศน์ยามหิมะโปรยที่เขาเฟิ่งหวง

เขาเฟิ่งหวงตั้งอยู่แถบชานเมืองของหังโจว พูดถึงฉากหิมะตกที่เขาเฟิ่งหวงแล้ว แน่นอนว่ากู้ซีย่อมมีเรื่องให้เล่ากว่าใครๆ

นางบรรยายอย่างเห็นภาพถึงตอนเล็กที่นางติดตามกู้เจาหยางไปจับนกกระจอกที่เขาเฟิ่งหวง

เหล่าคุณหนูรวมทั้งท่านแม่เฒ่า นายหญิงรองและนายหญิงเสิ่น ต่างก็นั่งฟังอย่างออกรส มีเพียงอวี้ถังเท่านั้นที่ลอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ

ชาติก่อน นางก็เคยฟังเรื่องที่กู้ซีไปจับนกกระจอกมาก่อน

แต่มิใช่ที่เขาเฟิ่งหวง ทว่าเป็นวัดหย่งฝูซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองตะวันตกของหังโจว

ตามเรื่องเล่าของกู้ซีเมื่อชาติก่อน นั่นเป็นวันครบรอบวันตายปีที่สิบของมารดานาง นางติดตามพี่ชายกู้เจาหยางไปทำบุญให้มารดาเป็นครั้งแรก

นางยังเชื่อคำพูดของกู้ซีเมื่อชาติก่อนมากกว่า

แต่ที่กู้ซีสามารถพัฒนาฝีมือจนถึงขั้นนี้ได้ อวี้ถังก็รู้สึกนับถือนางอยู่ดี

ในห้องกำลังครึกครื้น จี้ต้าเหนียงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าระมัดระวัง ก่อนจะกระซิบหลายคำที่ข้างหูท่านแม่เฒ่า

รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านแม่เฒ่าหายวับในทันใด

คุณหนูห้าตกใจจนกระชากกระโปรงของอาซันที่อยู่ข้างกายเอาไว้

บรรยากาศในห้องคล้ายถูกทำให้แข็งค้างอยู่กับที่

กู้ซีเผยสีหน้าลังเลให้เห็น

อวี้ถังรู้ว่า สมควรแก่เวลาที่นางจะขอตัวกลับแล้ว แต่นางไม่อยากเสียโอกาสในการเข้าใกล้ท่านแม่เฒ่าไป

โอกาสบางอย่างเพียงกะพริบตาก็คลาดกันแล้ว

กู้ซียังไม่ทันได้เปิดปาก ท่านแม่เฒ่าก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อนางมีใจ ก็เรียกให้นางเข้ามาเถอะ!” พูดจบ ก็หันไปมองนายหญิงเสิ่นทีหนึ่ง

นายหญิงเสิ่นงงงวย ทว่าใจของกู้ซีกลับมีลางสังหรณ์แปลกๆ

อวี้ถังกับคุณหนูคนอื่นๆ แทบจะกลั้นหายใจรอ

ไม่นาน จี้ต้าเหนียงก็พาหญิงสาวที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวเดินเข้ามา

อวี้ถังตกใจจนแทบจะส่งเสียงร้องออกมา

คนที่มาก็คือนายหญิงใหญ่สกุลเผยนั่นเอง

อวี้ถังเพ่งตามอง เพียงเวลาไม่ถึงปีที่ไม่พบหน้า เทียบกับครั้งแรกที่อวี้ถังได้เจอนายหญิงใหญ่สกุลเผยแล้ว คล้ายนางจะแก่ขึ้นเป็นสิบปี ไม่เพียงจอนผมที่เริ่มขาว ริ้วรอยก็เห็นชัด สีหน้าซีดเซียว คล้ายถูกถอนกระดูกออกไป ทั่วร่างไร้จิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง

“ท่านแม่!” นายหญิงใหญ่คารวะท่านแม่เฒ่าอย่างนบนอบ วางท่าอ่อนน้อมถ่อมตน หาได้มีท่าทีเย่อหยิ่งสูงส่งเหมือนเมื่อก่อนไม่

อวี้ถังตกอยู่ในความสับสนชั่วขณะ

เกือบหนี่งปีที่ผ่านมานายหญิงใหญ่ไปเจอเรื่องอะไรเข้า? เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองแห่งนี้? ตั้งแต่งานศพของนายท่านใหญ่ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่? หรือเพราะท่านแม่เฒ่าขึ้นเขามาจึงได้พานางมาด้วย?

ในใจอวี้ถังคล้ายมีคลื่นยักษ์โถมซัด นางกลัวผู้อื่นจะมองความแตกตื่นของนางออก จึงแสร้งก้มหน้าจิบชาเพื่อซ่อนเร้น

เพียงแต่ตอนที่นางวางถ้วยชาลงนั้นเอง หางตาก็เหลือบไปทางกู้ซีอย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่ากู้ซีก็กำลังก้มหน้าดื่มชาเช่นเดียวกัน

อวี้ถังยิ้มเยาะ

ท่านแม่เฒ่าเอ่ยกับนายหญิงใหญ่ว่า “ตอนนี้เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ทุกเดือนยังต้องเชิญหมอหลวงหยางมาคอยจับชีพจรให้ ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ข้าทางนี้มีสะใภ้รองคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ทั้งมีเด็กๆ พวกนี้อีก ไม่มีเรื่องใดต้องลำบากเจ้าหรอก เจ้าดูแลตนเองให้ดีก็ใช้ได้แล้ว”