บทที่ 160 สะใภ้ใหญ่

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

นายหญิงใหญ่ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นหันไปเอ่ยกับนายหญิงรองด้วยรอยยิ้ม “ต้องโทษข้าที่สุขภาพไม่ได้ความ จึงต้องลำบากสะใภ้รองเช่นนี้”

นายหญิงรองวางท่าไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยนดังเก่า “คนบ้านเดียวกันไม่ต้องพูดจาห่างเหิน พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปยกตั่งไม้เตี้ยมาให้นายหญิงใหญ่ด้วยตนเอง “พี่สะใภ้นั่งสนทนากันก่อนเจ้าค่ะ”

นายหญิงใหญ่หันไปส่งยิ้มให้นายหญิงรอง รอยยิ้มนั้นอบอุ่นทว่าไร้เรี่ยวแรง ทำให้สายตาของผู้อื่นอดจะลอบมองร่างผ่ายผอมของนางมิได้

อวี้ถังประหลาดใจมาก

นายท่านใหญ่เสียก่อนท่านผู้เฒ่า หากจะบอกว่านายหญิงใหญ่ตรอมใจเพราะสามีที่เสียไป แต่ตอนนั้นที่นางเห็นแม้จะมีท่าทางเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่ไม่คล้ายกับตอนนี้…ราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก…

นางลอบขมวดคิ้วมุ่น

นายหญิงเสิ่นก็เกิดความงุนงงเช่นกัน แต่ที่นางงุนงงนั้นมิใช่ว่าเหตุใดนายหญิงใหญ่เปลี่ยนไปมากในเวลากระทันหันเช่นนี้ อย่างไรนางก็เป็นถึงภรรยาของขุนนางขั้นสาม นายหญิงผู้นำสกุลในอนาคตกลับเปลี่ยนมาเป็นหญิงม่ายผู้ต้องรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ ไม่ว่าใครก็ต้องมีช่วงที่ทำใจยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่นางสงสัยก็คือสายตาที่ท่านแม่เฒ่าใช้มองนางต่างหาก

การปรากฏตัวของนายหญิงใหญ่เกี่ยวอะไรกับนางด้วย?

นางกับสกุลเสิ่นไม่ได้สนิทสนมกัน งานเลี้ยงระหว่างเครือญาติก็ไม่จำเป็นให้นางต้องออกหน้า นายหญิงใหญ่กับสกุลเสิ่นมีความเกี่ยวดองทางการแต่งงานหรือไม่นางไม่รู้ แต่นายหญิงใหญ่ไม่มีความเกี่ยวดองกับสกุลฝั่งมารดาของนางแน่ หรือว่าที่นายหญิงใหญ่มีสภาพอย่างทุกวันนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางรึ?

ความคิดเหล่านี้แวบผ่านสมองของนางไปอย่างรวดเร็ว นางยังคงเอ่ยทักทายนายหญิงใหญ่ด้วยมารยาทและท่าทีเกรงอกเกรงใจ

การตอบคำถามของนายหญิงใหญ่ทั้งถูกต้องตามจารีตและไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกห่างเหินหรือสนิทสนมเกินไปนัก สามารถรักษาระยะได้พอดิบพอดี

นายหญิงเสิ่นแอบชื่นชมในใจ ทั้งยังลอบสังเกตนายหญิงใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

และเมื่อสังเกตดู นางก็พบว่าชุดเรียบง่ายที่นายหญิงใหญ่สวมอยู่ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วออกจะดูอัตคัดเกินไปหน่อย

รองเท้าถูกซักจนสีเริ่มซีด เสื้อคลุมด้านนอกเป็นผ้าไหมหังโจวสีขาว แต่เสื้อด้านในเป็นเพียงผ้าเนื้อละเอียดเท่านั้น

หัวใจของนายหญิงเสิ่นหนักอึ้ง

นางรู้ว่าตัวเองมีนิสัยตรงไปตรงมา วาจาสัตย์จริงที่กล่าวออกไปบางครั้งก็ทำให้หลายคนไม่สบายใจ แต่นางกลับคิดว่า นี่คือลักษณะซึ่งผู้เป็นคนควรจะกระทำ

หรือว่าหลังจากที่นายท่านใหญ่ตายไป สกุลเผยก็รังแกนายหญิงใหญ่ นายแม่เฒ่ากลัวนางจะดูออกแล้วเอาไปโพนทะนาอย่างนั้นรึ?

นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

โดยเฉพาะเมื่อท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งผู้นำสกุลได้ข้ามหน้าข้ามตาหลานชายคนโตและบุตรชายคนรอง ไปตกอยู่ที่นายท่านสาม

ต้องรู้ด้วยว่า นายท่านสามสกุลเผยผู้นี้เป็นสุดรักสุดดวงใจของท่านผู้เฒ่าและท่านแม่เฒ่าเลยทีเดียว

นึกถึงตอนแรก เขาเผาเรือนหลังใหม่ของนายท่านสกุลซ่ง ท่านแม่เฒ่ากลับไม่อาจตัดใจให้บุตรชายคนเล็กต้องเอ่ยวาจาขอโทษสักคำด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ถูกเล่าลือไปทั่วทั้งในวงศาคณาญาติและชาวเมืองทั่วไป

นายหญิงเสิ่นก้มหน้าจิบน้ำชาต่อ

ส่วนทางกู้ซี นางรู้สึกสนใจนายหญิงใหญ่ผู้นี้เป็นพิเศษ นางไม่เพียงทักทายนายหญิงใหญ่อย่างกระตือรือร้น ทั้งเอ่ยถามเรื่องจิปาถะประจำวันกับนายหญิงใหญ่อีกด้วย อีกอย่างคำถามพวกนี้ก็มิใช่คำถามที่ใช้พบปะเข้าสังคมทั่วๆ ไป เพราะบทสนทนาของนางเริ่มจากการคัดหนังสือสวดมนต์ไปจนถึงการเขียนอักษรอย่างรวดเร็ว นางบอกว่าตอนแรกตนตั้งใจจะเลียบแบบลายมือของเหยียนเจินชิง ทว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นเลียนแบบลายมือของเว่ยฮูหยินเสียอย่างนั้น ทำให้ดวงตาของนายหญิงใหญ่เป็นประกายวับ พูดจาเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง

อวี้ถังเดาว่าลายมือของนายหญิงใหญ่จะต้องงดงามมากเป็นแน่

ในใจนางพลันเกิดความเศร้าสร้อยขึ้นกระทันหัน

ดูท่าแล้วกู้ซีคงมาที่นี่เพราะมีสกุลเผยเป็นเป้าหมายจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่รู้เรื่องคนในสกุลเผยมากขนาดนี้

บรรยากาศเริ่มกลับมาอบอุ่นอีกครั้งเพราะกู้ซี ทั้งนายหญิงรองก็ค่อยๆ เข้าร่วมบทสนทนาระหว่างกู้ซีและนายหญิงใหญ่ด้วย สายตาที่นายหญิงเสิ่นใช้มองนายหญิงใหญ่จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นางถึงขนาดเอ่ยชื่นชมทั้งทางตรงทางนัย ว่านายหญิงใหญ่สกุลหยางเป็นหญิงมากความสามารถอย่างแท้จริง

นายหญิงใหญ่ถ่อมตัวว่า “มิได้ แค่เพราะสกุลข้าชอบเขียนหนังสือเท่านั้น พวกข้าที่เป็นรุ่นหลานจึงพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย”

นายหญิงเสิ่นนึกได้ว่าบิดาของนายหญิงใหญ่เป็นถึงผู้ทำพิธีบวงสรวงของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยน[1] ทั้งนึกถึงตอนที่เสิ่นซ่านเหยียนปฏิเสธการไปสอนหนังสือที่กั๋วจื่อเจี้ยนแล้วเลือกมาหมกตัวอยู่ที่เมืองหลินอันแทน ในใจพลันไม่สบอารมณ์อย่างมาก จึงระบายความอัดอั้นออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง

นายหญิงใหญ่รีบสะกัดบทสนทนาเอาไว้ทันที แล้วเบี่ยงประเด็นไปถามถึงการเล่าเรียนของคุณหนูทั้งหลาย และถามว่าอวี้ถังนั้นเป็นใคร

คุณหนูสกุลเผยค่อยๆ ตอบคำถามของนายหญิงใหญ่ทีละคน ทั้งคุณหนูสี่ยังมีน้ำใจแนะนำว่าอวี้ถังเป็นใครอีกด้วย

อวี้ถังจึงลุกขึ้นยืนแล้วย่อกายคารวะนายหญิงใหญ่อีกรอบหนึ่ง

นายหญิงใหญ่ล้วงมือไปใต้แขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างละอายว่า “ไม่คิดว่าที่เรือนจะมีแขกมากเพียงนี้ จึงไม่ได้พกสิ่งของติดตัวมา ครั้งหน้าจะชดเชยให้พวกเจ้าแน่ๆ”

อวี้ถังกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม

นายหญิงใหญ่พลันรื้อฟื้นเรื่องคณาญาติกับกู้ซี “ในเมื่อเจ้าเป็นคนสกุลกู้แห่งหังโจว เช่นนั้นรู้จักท่านป้าที่มีชื่อก่อนแต่งงานว่า ‘หลิวเฉิน’ หรือไม่ นางแต่งเข้าสกุลข้ามา ข้าต้องเรียกนางว่า ‘ป้าสะใภ้’ น่ะ”

กู้ซีฉีกยิ้มตอบว่า “ใช่ท่านป้าจากบ้านสี่สกุลข้าหรือไม่เจ้าคะ? นางออกเรือนไปก่อนที่ข้าจะเกิด ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนพูดอยู่เลย ว่านางเป็นหญิงที่งามที่สุดในสกุลกู้ของเรา น่าเสียดายที่ข้าไร้วาสนาได้พบ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

นายหญิงใหญ่เม้มปากหัวเราะ ดวงหน้าพลันสว่างไสว น่าพิศน่าใคร่เป็นที่สุด

อวี้ถังเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่จึงครองรักกันอย่างแนบแน่น

หากใครมีภรรยาเช่นนี้สักคน ต่างก็ต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดีกระมัง?

สองคนพลันหันไปสนทนาเรื่องท่านป้าผู้นั้น ยิ่งคุยก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อ

นายหญิงเสิ่นมุ่นคิ้วแน่น

นางรู้สึกว่านายหญิงใหญ่จงใจเปลี่ยนหัวเรื่องสนทนาเพราะนาง เดิมนางคิดจะอธิบายสักหน่อย แต่เสียงคุยเล่นของเหล่าคุณหนูดังจ้อกแจ้กจอแจ ไม่มีช่องให้นางแทรกได้เลย แม้ยังอยากจะแก้ต่าง แต่ก็ไม่อาจหาโอกาสที่เหมาะสมได้

นางเอาแต่หมกมุ่นว่าจะหาจังหวะพูดกับนายหญิงใหญ่ได้อย่างไร ด้วยกลัวว่านายหญิงใหญ่จะเข้าใจผิดคิดว่าตนชักสีหน้าใส่นาง เช่นนั้นตนเองมิกลายเป็นคนข่มเหงรังแกนายหญิงใหญ่ผู้เป็นม่ายแล้วรึ!

อวี้ถังกำลังลอบสังเกตท่านแม่เฒ่ากับนายหญิงรองอย่างเงียบเงียบ

น่าเสียดายที่ท่านแม่เฒ่ากับนายหญิงรองเป็นผู้ผ่านร้อนหนาวมาโชกโชน หากไม่ต้องการให้ผู้อื่นมองออกย่อมไม่มีทางแสดงออกให้เห็น คนหนึ่งนั่งดื่มชาดวงหน้าไร้ซึ่งอารมณ์รักเกลียด คนหนึ่งมองนายหญิงใหญ่กับกู้ซีสนทนากันด้วยรอยยิ้ม วางท่าราวกับล้างหูรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

นายหญิงใหญ่ผู้นั้นมาทำอะไรกันแน่นะ?

เพียงต้องการมาคารวะท่านแม่เฒ่าจริงๆ รึ?

แล้วเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองได้เล่า?

อวี้ถังคิดว่าสมองของนางไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เช่นนั้นก็คงได้แต่ทำตัวให้เรียบร้อยไว้ อย่าได้คิดอะไรเกินกำลังอีก ไม่เช่นนั้นกระทั่งตนเองตายอย่างไรก็คงยังไม่รู้เลย

นางได้แต่ถอนหายใจในอก

บรรยากาศในห้องนับว่าไม่เลวนัก แต่ก็ไม่ได้สนุกสนานอย่างแท้จริงเหมือนก่อนหน้า อย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยหน่ายอยู่ดี

ยังดีที่นายหญิงใหญ่ไม่นั่งอยู่นาน บอกว่าเพื่อความสงบของตน ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ร่วงนางก็พักอยู่แต่บนเขา ซึ่งก็คือเรือนชิวซ่วงที่อยู่ถัดออกไปทางทิศตะวันตก ทั้งบอกให้พวกนาง โดยเฉพาะนายหญิงเสิ่นกับกู้ซี หากมีเวลาว่างก็สามารถไปนั่งเล่นได้ นางอยู่คนเดียวมักจะคัดหนังสือสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ค่อนข้างจะผ่อนคลายมีอิสระ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นเพื่อบอกลา

นายหญิงเสิ่นกับกู้ซีก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม

นายหญิงใหญ่คล้ายเพิ่งนึกออกว่ามีอวี้ถังอยู่ตรงนี้อีกคน จึงหมุนตัวมากำชับกับอวี้ถังเป็นพิเศษอีกครั้ง “ตอนที่หิมะตก ทิวทัศน์ทางนั้นงดงามไม่แพ้ใคร ถึงเวลานั้นเจ้ากับพวกน้องๆ จะมาเที่ยวเล่นก็ย่อมได้”

อวี้ถังก็รับคำอย่างยิ้มๆ เช่นกัน

นอกจากท่านแม่เฒ่า ทุกคนต่างลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งนายหญิงใหญ่ที่ประตู

นายหญิงใหญ่ไปถึงหน้าประตูก็บอกไม่ให้ทุกคนออกมาส่ง “ด้านนอกหนาว มีเฉินต้าเหนียงคนเดียวก็พอแล้ว”

นายหญิงรองช่วยนายหญิงใหญ่ไล่คนอื่นๆ ที่เหลือกลับไปเช่นกัน แต่ว่าตนเองกลับเดินไปส่งนายหญิงใหญ่ถึงหน้าประตูเรือนท่านแม่เฒ่า แล้วค่อยเดินกลับมา

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เข้าแทรก บรรยากาศย่อมไม่อาจย้อนกลับไปเหมือนตอนแรกได้อีก ทุกคนต่างนั่งกันอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะทยอยลุกขอตัวไป

ท่านแม่เฒ่าพยักหน้าอนุญาต ไม่ได้รั้งพวกนางไว้ ให้ทุกคนแยกย้ายกลับห้องตน

ซวงเถาเดินตามอวี้ถังเข้ามาในห้อง จากนั้นก็กางแผงกั้นออกทันที

อวี้ถังคิดว่านางจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตน ใครจะคิดว่านางกลับฉีกยิ้มกว้างแล้วล้วงห่อกระดาษน้ำมันออกมาจากในอก ก่อนจะเปิดออกแล้วยื่นมาตรงหน้าอวี้ถัง “คุณหนู ท่านจะกินสักหน่อยไหมเจ้าคะ?”

กลิ่นมันม่วงเผาหอมกรุ่นไปทั่วทั้งห้อง ทำให้อวี้ถังต้องกลืนน้ำลายดังอึก “เจ้าไปเอามาจากไหนน่ะ?”

เพราะว่าอวี้ถังพาสาวใช้อย่างซวงเถาขึ้นเขามาคนเดียว ท่านแม่เฒ่าจึงยกสาวใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วซวี่มาคอยดูแลอาหารที่พักให้ อวี้ถังกลัวว่าซวงเถาจะเสียกิริยา จึงให้ซวงเถาติดตามและคอยเรียนรู้จากหลิ่วซวี่ ตอนที่กินอาหารเย็นและดื่มชา ข้างกายนางมีเพียงหลิ่วซวี่คอยรับใช้ ซวงเถานั้นให้รออยู่ที่ห้องน้ำชาด้านนอกพร้อมกับสาวรับใช้ขั้นสองของเหล่าคุณหนูสกุลเผย เพื่อถือโอกาสทำความรู้จักผู้อื่นเอาไว้

ซวงเถารู้ว่าอวี้ถังชอบกินมันม่วงเผากับเกาลัดคั่วในหน้าหนาว จึงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “สาวใช้ข้างกายคุณหนูรองเป็นคนเผาเจ้าค่ะ พวกเราแบ่งกันคนละหัว” จากนั้นก็เล่าต่อว่า “ข้ารู้สึกว่าเหล่าคุณหนูสกุลเผยไม่เสียแรงที่เกิดในสกุลใหญ่จริงๆ ไม่เพียงปฏิบัติตัวกับผู้อื่นอย่างเป็นมิตร กระทั่งสาวใช้และหญิงรับใช้ข้างกายก็ดูแลได้ไม่เลว สาวใช้ของคุณหนูสามสอนข้าเกี่ยวกับกฎระเบียบมากมายของสกุลเผย ซ้ำบอกว่าหากไม่เข้าใจก็ให้ไปถามนางได้เลย”

เช่นนี้ก็ดีสิ!

อวี้ถังผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม แล้วชี้ไปที่มันม่วงในมือนาง “มิใช่บอกว่าหนึ่งคนหนึ่งหัวหรือ? เจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ ตอนอยู่กับท่านแม่เฒ่า ยังจะขาดแคลนของให้ข้ากินหรืออย่างไร? ต่อไปหากว่าเจอเรื่องแบบนี้อีก เจ้าห่วงแค่ดูแลตนเองก็พอแล้ว”

ซวงเถารับคำอย่างดีใจ แต่ก็ยังเก็บมันม่วงอีกครึ่งไว้ให้อวี้ถัง บอกว่าเผื่ออวี้ถังเกิดหิวขึ้นมาก็ค่อยกิน

อวี้ถังไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับซาบซึ้งมาก

นางรู้ว่าซวงเถาคงกังวล เพราะตนเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในเรือน เมื่ออยู่เบื้องหน้าท่านแม่เฒ่าอาจไม่ค่อยได้กินอะไร จึงตั้งใจแบ่งเอาไว้ให้

เช้าตรู่วันถัดมา ตอนที่พวกนางตื่นนอนก็เห็นร่องรอยเปียกน้ำบนผมของสาวรับใช้ที่ยกน้ำร้อนเข้ามาให้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้กลางดึกมีหิมะตกลงมาระลอกใหญ่

นี่เป็นหิมะแรกของปีแห่งเมืองหลินอัน

อวี้ถังกับซวงเถารีบผลักหน้าต่างให้เปิดออกด้วยความตื่นเต้น

ด้านนอกเป็นสีขาวโพลน เกล็ดหิมะแผ่นใหญ่กำลังโปรยตัวลงมาราวกับปุยนุ่น บนใบไม้ถูกหิมะเกาะทับจนมิด บางครั้งกิ่งไม้บางกิ่งก็รับน้ำหนักของหิมะไว้ไม่ไหว ทำให้หิมะที่ทับถมอยู่บนใบไม้ไถลร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘ตุบ’

อวี้ถังกับซวงเถาไม่คิดว่าหิมะจะตกหนักถึงเพียงนี้

ซวงเถาเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะว่า “สามารถปั้นตุ๊กตาหิมะได้เลยเจ้าค่ะ!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ลมหนาวละรอกหนึ่งก็พัดผ่านมา ทำเอาคนทั้งสองสั่นสะท้าน แต่เพราะพวกนางต่างเก็บตัวอยู่ในห้องที่ดึงความร้อนจากพื้นไฟตั้งแต่เมื่อคืน บนร่างยังพอมีไออุ่น จึงไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวยะเยือก ทว่าพวกนางก็ยังรีบงับหน้าต่างปิดทันที

ซวงเถาถามอวี้ถังว่า “วันนี้ท่านอยากปั้นตุ๊กตาหิมะหรือไม่เจ้าคะ?”

หากว่าอยู่เรือนสกุลอวี้ ได้เจอหิมะห่าใหญ่เช่นนี้ ย่อมออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะแล้ว

อวี้ถังลังเลอยู่พักใหญ่ เอ่ยว่า “รอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

หากว่าคนในสกุลเผยไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ นางก็ไม่ปั้นจะดีกว่า

ความจริงชาติก่อนตั้งแต่ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ นางก็ไม่เคยได้ปั้นตุ๊กตาหิมะอีกเลย

————————————————————-

[1]สำนักกั๋วจื่อเจี้ยน เป็นสำนักที่ช่วยสนับสนุนการสอบไล่ของขุนนางในราชสำนัก มีภารกิจหลักสำคัญคือจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตสุดยอดบัณฑิตของแผ่นดิน ควบคุมดูแลความประพฤติของบัณฑิตให้มีคุณธรรม อยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยา