เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวทางด้านหลัง เจียงป่าวชิงก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นใจ นางรีบหันกลับไปดูทันที
ไป๋จีตอบสนองเร็วกว่าเจียงป่าวชิงเล็กน้อย เขาประคองกงจี้ไว้ด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน “นายท่าน ขาของท่าน ?”
เจียงป่าวชิงเองก็ไม่สนใจที่จะขุ่นเคืองกงจี้อีกต่อไปแล้ว นางรีบวิ่งกลับมาวัดชีพจรให้เขา ทว่ากงจี้ยังโกรธเจียงป่าวชิงอยู่เล็กน้อย เมื่อเขาเห็นนางเอื้อมมือมาจับข้อมือของตน คิ้วเข้มขมวดมุ่นและเขาดึงข้อมือกลับมา
เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่กงจี้อย่างโหดเหี้ยมแล้วตะเพิดด้วยเสียงอันดัง “ยื่นแขนออกมา!”
ไป๋จีเหงื่อตกทันที หลังจากที่นายท่านของพวกเขาถูกพิษจนเดินไม่ได้ อารมณ์ของนายท่านก็โหดร้ายขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ หลังจากที่แม่นางเจียงฝังเข็มให้นายท่านของเขามาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่านายท่านของเขาจะยังคงอึมครึมและเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้ามากกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเขาเองก็รู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้เห็น
แต่ทว่ายังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับนายท่านของพวกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน… แม่นางเจียงช่างกล้าหาญเกินใครจริง ๆ
ไป๋จีมองนายท่านของเขาอย่างหวาดหวั่น เขากลัวว่านายท่านของตัวเองจะระเบิดความโกรธและจัดการกับเจียงป่าวชิง แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ ถึงแม้ว่าสีหน้าของนายท่านจะดำยิ่งกว่าก้นหม้อในห้องครัวที่ผ่านการต้มมาเป็นเวลานานแล้ว แต่นายท่านของเขายังคงกัดฟันและยื่นข้อมือออกมาให้แม่นางเจียงดู
ไป๋จียังไม่ทันได้คิดว่านายท่านของเขาปฏิบัติกับแม่นางเจียงแตกต่างไปจากคนอื่น ก็เห็นเจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มเจิดจรัสออกมาให้เห็นอย่างกะทันหันเสียก่อน ซึ่งนั่นเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ๆ
“คุณชายกง เมื่อสักครู่เลือดของเจ้าพุ่งสูงขึ้น มีจุดที่เลือดอุดตันอยู่สองสามจุด เดิมทีมีความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อยภายใต้ผลของการฝังเข็ม แต่ตอนนี้มันรวนไปหมดแล้ว” เจียงป่าวชิงมองกงจี้ ความดีใจนั้นเหมือนล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ และทะลักออกมาจากในลูกตาที่ชุ่มฉ่ำเหมือนน้ำ
กงจี้รู้สึกเพียงว่าเหมือนมีคนมากำหัวใจของเขาไว้ มันทั้งนิ่มและเจ็บไปพร้อม ๆ กัน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ค่อย ๆ นั่งลงไปบนพื้นที่ยกสูงและพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “เจ้าพูดแบบนี้ ที่เจ้าทำให้ข้าโมโหเมื่อสักครู่ นั่นถือว่าตัวเจ้ามีคุณงามความดีอย่างนั้นสิ ?”
ภายใต้ความดีใจ เจียงป่าวชิงขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับกงจี้ นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ก็นั่นน่ะสิ ถ้ารู้แบบนี้ ข้าทะเลาะกับเจ้าทุกวันไปตั้งนานแล้วแหละ”
กงจี้หัวเราะเยาะ “หึ ๆ ข้าว่าเจ้าคงจะไม่ชอบให้ตัวเองอายุยืน!”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจกงจี้ นางนั่งยอง ๆ พลางลูบสองขาของกงจี้เบา ๆ เชิงตรวจอาการ
สองขาของกงจี้สั่นเทิ้ม คลื่นความรู้สึกทะลักอยู่ในใจของเขา แต่ใบหน้าของเขากลับเย็นชาไร้ความรู้สึกซะอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงบีบตรงนี้ทีตรงนั้นที นางดีอกดีใจมากจนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างไม่หยุดว่า “แต่ข้ายังต้องจ่ายยาขับพิษและยาระบายความร้อนให้เจ้า เมื่อสักครู่เจ้าอารมณ์ร้อนมาก ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเปิดจุดฝังเข็ม แต่ความเป็นจริงมันเป็นการนำสารพิษที่ตกค้างอยู่ที่ขาของเจ้าเข้าสู่ทั่วทั้งร่าง ถึงแม้ปริมาณการใช้ยาจะไม่เป็นอะไร แต่ยังคงต้องขับพิษอีกนิดหน่อยอยู่ดี”
ตอนนี้กงจี้กำลังว้าวุ่นใจ สิ่งที่เจียงป่าวชิงพูด เขาทำได้เพียงดูริมฝีปากบาง ๆ ของนางเปิดปิดเท่านั้น นางพูดอะไรเขาก็ทำได้เพียงฟังผ่าน ๆ แต่ไม่ได้ใส่ใจ
“เอาตามที่เจ้าว่านั่นแหละ” เขาเอ่ย แต่เขากลับคิดในใจว่าที่นางพูดไม่หยุดเช่นนี้ นางคงจะเป็นห่วงเขาใช่ไหม ?
เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้เหมือนใจลอยจึงยื่นมือออกไปหยิกเนื้อตรงขาของเขา
กงจี้เจ็บแปล๊บ เขาดึงสติกลับมาพลันถลึงตาใส่เจียงป่าวชิง “นี่เจ้าทำอะไรอีก ?!” แต่เขากลับไม่ได้พูดคำพูดประมาณว่า ‘ข้าจะฆ่าเจ้า’ เหมือนอย่างเคย
*‘อืม ข้าคงตาฝาดไปอย่างแน่นอน’*ไป๋จีคิดในใจ
เจียงป่าวชิงพูดด้วยใบหน้าอย่างคนไร้ความผิด “เปล่า คุณชายกง ข้าแค่ลองทดสอบดูว่าเจ้ามีความรู้สึกหรือเปล่าก็เท่านั้น แต่น่าแปลกนะ อาการของทั้งสองขาของเจ้ามีความคืบหน้าไปในทางที่ดีแบบนี้แล้วแท้ ๆ แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่เลยล่ะ ?”
กงจี้หลุบสายตาลงและพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ด้วยการฝังเข็มของเจ้า นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในการคาดการณ์ เพียงแต่มันกลับเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น”
เจียงป่าวชิงพูดไม่ออกทันที
……
อรุณรุ่ง
เจียงป่าวชิงยังคงตื่นแต่เช้า นางออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์อย่างเอ้อระเหยอยู่ในลานบ้าน เหงื่อบาง ๆ ซึมออกมาจากหน้าผากเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงคิดอย่างช้า ๆ ว่าการที่นางยืนหยัดออกกำลังกายทุกวันนั้นไม่เสียเปล่า ตอนนี้เมื่อเทียบกับตอนแรก สามารถพูดได้ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายอายุสิบสามนี้นั้น แตกต่างกันกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับดินเลยก็ว่าได้
ร่างกายที่อ่อนแอเกินไปมันเป็นภาระอย่างหนึ่งจริง ๆ
เจียงป่าวชิงเช็ดเหงื่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นองครักษ์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินมาจากทางห้องหลัก เขาโค้งคำนับให้นางก่อนจะพูดว่า “แม่นางเจียง นายท่านให้มาบอกว่า ถึงแม้จังหวัดหยูเฟิงจะแห้งแล้งไปสักหน่อย แต่อาหารเช้าในตรอกลิ่วฝูที่อยู่ไม่ไกลพอจะถูกปากอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าแม่นางเจียงสนใจหรือไม่ ?”
“สนใจสิ สนใจ!” เจียงป่าวชิงตาเป็นประกายทันที นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความคาดหวังในใจ “เอ่อ… แล้วคุณชายกงไปด้วยไหม ?”
องครักษ์ส่ายหน้า “นายท่านกับไป๋จีออกไปตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสว่างแล้วขอรับ”
เจียงป่าวชิงบอกไม่ถูกว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดว่าจะได้ออกไปเดินเล่นในจังหวัดหยูเฟิงอย่างอิสระแล้ว ความรู้สึกดีใจก็ก่อตัวอยู่ในใจนางพอสมควร
เจียงป่าวชิงกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องและหวีผมอย่างเรียบง่าย เดิมทีนางอยากออกไปในสภาพเรียบ ๆ เช่นนี้ แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว นางก็กลับไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เลือกปิ่นปักผมหยกเขียวอย่างลังเล สุดท้ายก็นำไปปักบนมวยผมของตัวเอง
ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบเครื่องประดับที่สวยล้ำค่าเหล่านี้ แต่นางคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของนาง ถ้านางสวมใส่มันจนชินขึ้นมา ตอนที่ต้องกลับมาแต่งตัวอย่างเรียบง่ายอีกครั้ง เกรงว่ามันจะให้รู้สึกแตกต่างในใจ
ถึงอย่างไร เปลี่ยนจากประหยัดเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยกลับมาเป็นประหยัดนั้นยาก ทว่าเจียงป่าวชิงก็คิดอีกว่า ถ้าหากเจอคนในงานเลี้ยงระหว่างทาง การที่นางแต่งตัวเรียบง่ายเกินไปมันจะเป็นการเสี่ยงเปิดโปงความลับเอาได้ ดังนั้น นางจึงเลือกปิ่นปักผมหยกเขียวที่ค่อนข้างเรียบง่ายมาปักไว้ที่มวยผม
แต่งตัวเสร็จแล้ว เจียงป่าวชิงก็ซ่อนเศษเงินและทองแดงไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินออกไปด้านนอกอย่างอารมณ์ดี ทว่าเมื่อเดินไปได้ไม่ไกล ยังไม่ทันออกจากบ้าน นางก็หันหน้ากลับไปเห็นว่าองครักษ์คนนั้นยังตามหลังมาอยู่
นางกะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยถาม “เจ้าก็ไปด้วยหรือ ?”
องครักษ์พูดอย่างเคารพ “นายท่านสั่งให้ข้าคอยคุ้มกันแม่นางเจียงขอรับ”
“…” เจียงป่าวชิงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย นางครุ่นคิดอยู่สักครู่และถามไปว่า “เจ้าไปด้วยได้ แต่คอยตามแบบหลบอยู่ในที่ลับได้หรือไม่ ?”
องครักษ์พยักหน้า “ได้ขอรับ แต่นายท่านสั่งให้ข้าติดตามแม่นางเจียง เพราะถ้าเมื่อโจรเห็นว่ามีองครักษ์โหดร้ายอยู่ด้านหลังแม่นางเจียง มันจะได้ไม่คิดร้ายและไม่กล้าพุ่งเข้ามาหาแม่นาง”
เจียงป่าวชิงสังเกตองครักษ์คนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน “เจ้าโหดร้ายตรงไหนกัน ?”
องครักษ์ไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะถามมาแบบนี้ เขาเงียบไปสักครู่ จากนั้นถึงพูดอธิบายออกมาว่า “ข้าแซ่สง นามว่าสงเชินขอรับ”
เจียงป่าวชิงยังคงไม่รู้คำตอบที่นางต้องการอยู่ดี สุดท้าย นางก็ไปที่ตรอกลิ่วฝูด้วยกันกับองครักษ์สงเชิน แม้จะบอกว่าชื่อตรอกลิ่วฝู แต่ความเป็นจริงมันคือถนนที่ค่อนข้างกว้างพอสมควร ทั้งสองข้างของถนนเต็มไปด้วยแผงขายอาหารยามเช้าต่าง ๆ ที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่น
ตรงหัวถนนมีร้านขายขนมน้ำตาลอยู่ ขนมน้ำตาลสีทองทอดกรอบควันฉุยวางอยู่บนเตา มันกำลังส่งกลิ่นหอมเย้ายวน
เจียงป่าวชิงซื้อมาสองชิ้น พ่อค้าห่อขนมด้วยกระดาษน้ำมันแล้วส่งให้ถึงในมือเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงส่งให้สงเชินหนึ่งชิ้น ซึ่งสงเชินตกตะลึงไปทันทีพลางรีบก้าวถอยหลังและพูดขึ้นอย่างจริงจัง “แม่นางเจียง ข้าอยู่ในช่วงเวลาปฏิบัติหน้าที่ กินอาหารในเวลาทำงานไม่ได้ขอรับ”
.