เล่มที่ 5 บทที่ 132 พักผ่อนเพื่อฟื้นฟู

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

พยักหน้าลงอย่างแข็งขัน ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเผยให้เห็นรอยยิ้ม

    ดีจริงๆ เขายังมีชีวิตอยู่

    บางทีอาจเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการกระทำของหลินเมิ้งหยา ฮูหยินที่ยังสาวและคุณหนูทั้งหลายต่างโผเข้าหาคนรักของตนเอง

    มีทั้งเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตา

    สิ่งที่เห็นได้มากที่สุดคือความรู้สึกอย่างหลัง

    “พอเถิดพี่สะใภ้ หากยังกอดพี่สามต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าท่านจะเป็นสาวงามที่โดนนินทามากที่สุดในต้าจิ้นแล้ว หรือท่านให้ข้ายืมอ้อมกอดของท่านหน่อยได้หรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งเช่นกันมิใช่หรือ?”

    หลงชิงหานที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ

    หากไม่พูดหลินเมิ้งหยาก็คงไม่เห็น หลังจากที่ผละใบหน้าออกจากอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้แล้ว นางเพิ่งพบว่าร่างกายของทั้งสามกลายเป็นสีดำด่าไปหมดแล้ว

    “อย่าพูดไร้สาระ มิเช่นนั้นข้าจะตัดขาเจ้า”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอ่อนโยนแกมขู่บังคับ เมื่อครู่นางร้อนใจมากเกินไป ดังนั้นจึงทำเรื่องที่คนสมัยโบราณมองว่าไม่เหมาะสมออกมา

    ฮือฮือ แย่แล้ว

    ไม่รู้ว่าชื่อเสียงเรียงนามของนางจะถูกเล่าขานไปในทิศทางไหนอีก

    ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาแดงก่ำเพราะคำพูดของหลงชิงหาน

    โชคดีที่ท้องฟ้ามืดมิด ทุกคนกำลังอยู่ในภวังค์ ดังนั้นจึงมิมีใครสังเกตเห็น

    “แม่ทัพจู ทุกคนเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ควรจะพาทุกคนไปพักผ่อน รบกวนท่านพาองครักษ์ไปหยิบอาหารและน้ำ จากนั้นนำส่งไปแต่ละคนเถิด หากมีใครได้รับบาดเจ็บ บริเวณสวนส่วนกลางมีหมอคอยรอช่วยเหลืออยู่แล้ว”

    หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปก่อนเป็นคนแรกเพื่อออกคำสั่งกับจูอ้ายจือ

    ชายทั้งสามสบตากัน แต่ละคนมีความคิดของตนเอง

    “คิดไม่ถึงเลยว่าชายาอวี้จะมีความละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องช่างโชคดีนักที่ได้มีคู่ครองเช่นนาง”

    หูเทียนเป่ยส่งเสียงแผ่วเบาอันเจือไว้ซึ่งความอิจฉาเล็กน้อย

    ราชวงศ์แห่งซีฟาน พวกผู้หญิงในวังหลวงรู้จักแต่เพียงแต่งหน้าแต่งตัวสร้างความสำราญ มิมีใครเลยที่จะเอาใจใส่ผู้อื่นเช่นนี้

    มันทำให้เขาหวนนึกถึงเสด็จย่า หากมิใช่เพราะพระองค์พยายามอดทนทำงานหนัก บางทีซีฟานอาจจะไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างเช่นทุกวันนี้

    “แน่นอนอยู่แล้ว พี่สะใภ้สามมิเหมือนคนธรรมดาทั่วไป จริงสิพี่สาม พี่สะใภ้สามยังมีพี่สาวหรือน้องสาวหรือไม่? แต่งงานกับญาตินางก็ดีเหมือนกันนี่นา”

    หลงชิงหานเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ หลงเทียนอวี้จึงชายตาไปทางเขาเล็กน้อย

    “มี หลินเมิ้งหวู่”

    อยู่ๆ รอยยิ้มของหลงชิงหานพลันแข็งทื่อ

    “นาง? ช่างเถิด เก็บไว้ให้อาเป่ยดีกว่า ข้ารู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันเหลือเกิน”

    หูเทียนเป่ยชกเพื่อนสนิทไปหนึ่งที สีหน้าแสดงความรังเกียจ

    “ผู้หญิงที่เจ้าไม่ต้องการจะมีดีได้อย่างไรเล่า!”

    ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันเหมือนเด็ก ราวกับว่าวีรบุรุษที่เป็นผู้นำในการออกรบเมื่อครู่ไม่ใช่พวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

    “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ? เหตุใดจึงสนุกสนานเช่นนี้ ลองพูดให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

    หลินเมิ้งหยาที่กลับมามีท่าทีปกติแล้วหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลงเทียนอวี้

    ได้ยินพวกแม่ทัพเล่าว่าทั้งสามคนนี้ได้รับบาดเจ็บ แต่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจึงทำแผลลวกๆ เท่านั้น แต่พวกเขายังมัวล้อเล่นกันอยู่ที่นี่อีก

    “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร พี่สะใภ้สามมีของกินหรือไม่? ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”

    ตอนเข่นฆ่าศัตรู พวกเขากล้าหาญชาญชัย แต่เมื่อออกจากสนามรบแล้ว ความหิวจึงเริ่มทำงาน

    หลินเมิ้งหยารีบตามคนเข้ามาพยุงทั้งสามเข้าไปในสิงกง เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงยังหยุดยืนอยู่ที่นี่

    มองดูทั้งสามที่ถูกหิ้วปีกเข้าไปภายใน หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะรู้ว่าเรี่ยวแรงของพวกเขาไม่มีเหลือแล้ว

    แต่ถึงกระนั้นยังคงยืนกำหมัดแน่นไม่ยอมขยับเขยื้อนเพราะกลัวจะล้ม

    “ไอหยา! เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ! พวกเจ้าเบาๆ หน่อย! ขาอันงดงามของข้าเกือบจะขาดอยู่แล้ว”

    ทันทีที่เรี่ยวแรงกลับคืนมาเล็กน้อย หลงชิงหานกลับมามีท่าทางยียวนกวนประสาทดังเดิม

    หลินเมิ้งหยาขี้เกียจสนใจเขา ตอนนี้อาหารตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ส่งเดียวที่ทำให้พวกบุรุษทั้งสามต้องรู้สึกเสียหน้าก็คือ….

    มือของพวกเขาที่จับอาวุธมาตลอดทั้งวันแข็งทื่อจนจับตะเกียบไม่ได้

    “คือว่า…ชายาอวี้ ข้าสามารถใช้มือกินได้หรือไม่?”

    หูเทียนเป่ยลองแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ

    เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชาย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอ่ยออกมา ดังนั้นจึงทำได้เพียงดื่มน้ำแกงแต่เพียงเท่านั้น

    หลินเมิ้งหยามองดูร่างกายที่ถูกเลือดอาบจนดำถมึงทึงของหูเทียนเป่ย นางยังไม่รู้สึกตัว

    “ไม่ได้ เชื้อโรคอาจเข้าไปทางปากได้ ดูมือของพวกเจ้าซิ สกปรกเสียยิ่งกว่าอะไรดี”

    แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็เริ่มลุกลี้ลุกลน

    หลินเมิ้งหยาที่มองดูสถานการณ์ในสวนตลอดเวลาไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับเป็นป๋ายจื่อที่เข้ามากระตุกแขนเสื้อของหลินเมิ้งหยา

    “มีอะไรหรือ?”

    ป๋ายจื่อแอบชี้ไปทางมือของหูเทียนเป่ยที่กำลังสั่น แตงกวาฉาบน้ำมันร่วงหล่นลงไปในถ้วยน้ำแกงเพราะอาการมือกระตุก

    “เข้ามา เอาช้อนเข้ามาให้ข้าหน่อย ข้าผิดเองที่ไม่รอบคอบ จะดื่มน้ำแกงก็ต้องใช้ช้อนซิ”

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหาทางออกให้ชายหนุ่มทั้งสาม

    แสร้งมองไม่เห็นใบหน้าลำบากใจของทั้งสาม ก่อนจะหมุนตัวปิดปากหัวเราะ

    เมื่อครู่ เหล่าองค์ชายทั้งสามที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีทำอาหารและน้ำแกงหกเลอะเทอเต็มโต๊ะไปหมด

    หากมิใช่เพราะป๋ายจื่อเข้ามาเตือน เกรงว่าพวกเขาคงได้หิวตายอย่างแน่นอน

    อาหารเป็นเพียงอาหารธรรมดา

    แม้จะไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่ทั้งสามที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตลอดทั้งวันกลับรู้สึกว่ามันช่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน

    “นายหญิง แม่ทัพจูนำไก่ฟ้าและกระต่ายป่ามามอบให้ หนู่ปี้รับไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

    ป๋ายซ่าวถือสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในมือด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะหยุดยืนด้านหน้าหลินเมิ้งหยา

    หันไปมองทางด้านหลัง ทั้งสามกินอาหารอย่างหิวโหย หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะก้มหน้าออกคำสั่ง

    “เจ้าเข้าไปในครัว ต้มน้ำแกงหม้อใหญ่ แล้วเอาไปแบ่งให้คนที่ได้รับบาดเจ็บกินเถิด”

    ใช่ว่าไม่อยากนำไปให้หลงเทียนอวี้กิน แต่นางรู้สึกว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ทางด้านนอกต้องการมันมากกว่าหลงเทียนอวี้

    ในมุมที่หลงเทียนอวี้มองไม่เห็น หลินเมิ้งหยาแอบจ้องมองเขา

    หวังว่าสิ่งที่นางได้ทำลงไปทั้งหมดจะส่งผลดีต่อหลงเทียนอวี้ในภายภาคหน้า

    “ท่านอ๋อง ดูเหมือนว่าหมอที่กำลังทำแผลอยู่ทางด้านนอกจะมีคนไม่มากพอ หม่อมฉันขออาสาออกไปช่วยเหลือนะเพคะ อีกสักประเดี๋ยวจะมีคนมาเชิญท่านไปอาบน้ำ”

    หลงเทียนอวี้วางถ้วยข้าวในมือลง ก่อนจะพยักหน้า

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ นับว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี แม้จะกินข้าวเข้าไปถึงสามถ้วย แต่มุมปากกลับไม่เปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย

    หลังจากชายหนุ่มทั้งสามกินอาหารเสร็จแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็หยุดมือลง

    สาวใช้ตามออกไปช่วยหลินเมิ้งหยา มีเพียงองครักษ์ที่เข้ามาพยุงพวกหลงเทียนอวี้

    หลังจากกินอาหารแล้ว เรี่ยวแรงของพวกเขากลับมาบางส่วน

    วันนี้เป็นเพียงการโจมตีกะทันหันเท่านั้น ถ้าหากอยู่ในสนามรบ เกรงว่าจะไม่ได้พักทั้งวันทั้งคืน

    เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องฉุกเฉินเท่านั้น

    “พี่เทียนอวี้ช่างโชคดียิ่งนักที่ได้มีภรรยาเช่นนี้”

    หูเทียนเป่ยยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อเห็นหลินเมิ้งหยากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านนอก เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงชื่นชมออกมาอีกครั้ง

    เหตุใดผู้หญิงที่หายากเช่นนี้จึงมีแต่ในต้าจิ้นเท่านั้นนะ?

    “ไม่พูดไม่ได้จริงๆ ว่าพี่สามดวงดียิ่งนัก”

    หากพูดว่าไม่อิจฉาคงเป็นเรื่องโกหก ยิ่งอยู่ในราชวงศ์ ยิ่งรู้ว่าหญิงสาวเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง

    หลงเทียนอวี้ไม่เอ่ยอะไร ทว่าเขาแอบรู้สึกดีใจไม่น้อย

    สายตาที่มองไปยังหลินเมิ้งหยาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

    “นาง…คือของขวัญที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้กับข้า”

    เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะได้รับอัญมณีล้ำค่าจากสวรรค์เช่นนี้

    แต่หลังจากที่หลินเมิ้งหยาเข้ามาอาศัยอยู่กับเขา เขาจึงรู้สึกแปลกใจและรับรู้ถึงคุณค่าของนาง

    “พระชายาถูกแต่งตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้อง หากวันใดมีชายารองเข้ามาคอยช่วยเหลือ เช่นนั้นท่านอ๋องจะยิ่งมีความสุขกว่านี้หรือไม่”

    คำพูดของหูเทียนเป่ยมีนัยนะสำคัญ แม้หมิงเยว่จะรบเร้าเขาทั้งคืน แต่ถึงกระนั้นนี่ก็หาใช่เหตุผลหลัก

    เมื่อลองไตร่ตรองข้อดีข้อเสียดูแล้ว หากได้เกี่ยวดองกับหลงเทียนอวี้ เช่นนั้นซีฟานจะได้รับความคุ้มครอง

    ยิ่งหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมา หูเทียนเป่ยยิ่งรู้สึกเคารพนับถือหลงเทียนอวี้ ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกหวั่นเกรง

    ไม่ว่าจะความสามารถหรือการเป็นผู้นำ หลงเทียนอวี้อยู่เหนือเขาทุกอย่าง

    คนแบบนี้จะต้องนำพาความสุขความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างแน่นอน

    “ข้าว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นหรอก ครอบครัวของพี่สะใภ้สามน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก เจ้ารู้จักเจิ้นหนานโหวหลินมู่จื่อใช่หรือไม่? เขาคือพ่อของนาง แล้วไหนจะแม่ทัพผู้ไร้พ่ายอย่างหลินหนานเซิงอีก นั่นก็พี่ชายของนาง หากน้องสาวของเจ้าแต่งงานเข้ามาแล้วล่ะก็ มิรู้ว่าวันใดพี่สะใภ้สามจะตีกลับไป”

    หลงชิงหานเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะส่งสายตาประหนึ่งให้หลงเทียนอวี้รีบขอบคุณเขาเร็วๆ

    หูเทียนเป่ยอ้าปากออก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา

    ชายผู้น่าเกรงขามทั้งสองคนแห่งต้าจิ้นล้วนเป็นญาติสนิทของหลินเมิ้งหยา

    หลินมู่จือนำทัพอย่างเก่งกาจราวเทพเซียน เขามักนำชัยในสงครามกลับมาเสมอ ส่วนแม่ทัพหลินหนานเซิงมีฝีมือเหนือกว่าใครในใต้หล้า อีกทั้งยังถือเป็นปรมาจารย์ทางด้านการต่อสู้ของพวกศัตรู

    เพราะมีครอบครัวเช่นนี้ จึงทำให้เกิดชายาอวี้ผู้สง่างามขึ้นมาอย่างนั้นสินะ

    แม้หมิงเยว่จะฉลาด แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนเอาแต่ใจ

    เช่นนั้น ช่างมันเถิด

    ไหนจะมีเรื่องสถานะทางครอบครัวของหลินเมิ้งหยาอีก ดังนั้นเขาจึงปิดปากไม่พูดอะไร

    หลินเมิ้งหยาที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านนอกไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ตนเองเกือบจะถูกคนอื่นชิงตำแหน่งไปเสียแล้ว

    “ทุกคนระวังเอาไว้ด้วย บาดแผลห้ามโดนน้ำเด็ดขาด อีกอย่าง พันแผลที่ใช้แล้ว ห้ามนำไปให้คนอื่นใช้เด็ดขาด เข้าใจแล้วหรือไม่?”

    เมื่อย้อนกลับมายังอดีต หลินเมิ้งหยาเพิ่งได้รู้ตอนนี้เองว่าสาเหตุที่อัตราการตายของทหารในสมัยโบราณค่อนข้างสูง ส่วนหนึ่งก็เพราะการแพทย์ที่ล้าสมัย

    พวกเขาไม่รู้จักการแพร่เชื้อโรค โดยนำผ้าที่ใช้กับคนหนึ่งแล้วไปใช้กับอีกคน

    หากมิใช่เพราะนางห้ามเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าคนเหล่านี้คงตายเพราะถูกเชื้อโรคแพร่เข้าสู่ร่างกายอย่างแน่นอน

    “แม่ทัพจู ข้ามีเรื่องไหว้วานท่าน”

    หมอหลวงถูกนางเรียกมารวมไว้ด้วยกันหมดแล้ว

    แต่คนที่ได้รับบาดเจ็บมีมากมาย อีกทั้งยังมีคนถูกส่งกลับเข้ามาจากทางด้านนอกตลอดเวลา

    แม้หมอหลวงจะมีมากเพียงพอ ทว่ายารักษากลับน้อยลงทุกที

    ส่วนที่ยังเหลือคือยารักษาประจำบ้านตนเองของแม่ทัพจูอ้ายจือที่นำมาให้

    “เชิญพระชายารับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

    แต่ก่อนจูอ้ายจือคือทหารอยู่ในกองทัพ แต่เพราะเหตุผลบางประการ เขาจึงถูกส่งตัวมาเป็นทหารอารักขา