เล่มที่ 5 บทที่ 133 พยาบาลในสนามรบ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เมื่อได้เห็นผู้เจ็บป่วยถึงขั้นพิการในสวน หัวใจของจูอ้ายจือสั่นไหว

    “ที่นี่ล้วนเป็นผู้บาดเจ็บที่ขาดแคลนยา ผ้าพันแผลเหลือไม่มากแล้ว ท่านสามารถส่งคนไปหาของที่เมืองหลวงได้หรือไม่? จริงซิ ที่เมืองหลวงมีร้านยาที่ชื่อว่าว่านเหย้า เจ้าของร้านเป็นคนของข้า จงบอกเขาว่าจวนอวี้ต้องการใช้ยา เขาจะต้องมอบของให้เจ้าอย่างแน่นอน”

    หลินเมิ้งหยานำรายชื่อยาส่งมอบให้แม่ทัพจู

    “พระชายาได้โปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะทำภารกิจให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”

    พาคนที่ตนเองไว้ใจไปยังเมืองหลวง

    ผู้ได้รับบาดเจ็บมีมากมาย แต่กลับขาดยารักษา หลินเมิ้งหยารู้สึกอับจนหนทาง

    “พวกเจ้าสี่คนมานี่หน่อย”

    ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาตัดสินใจเข้าป่าเพื่อไปเก็บสมุนไพร

    เล่าความคิดให้ทุกคนฟัง สาวใช้ทั้งสี่ส่งเสียงคัดค้านทันที

    “ตอนนี้มืดมากแล้วนะเจ้าคะ หากพบกับสัตว์ร้ายในป่าจะทำเช่นไร?”

    คนที่กระตือรือร้นในการคัดค้านที่สุดดูจะเป็นป๋ายจื่อ ดวงตาเปล่งประกายคู่สวยจ้องมองทางหลินเมิ้งหยาพลางส่ายหน้า

    แม้พวกนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋จะถูกโจมตีกลับจนล่าถอยไปชั่วคราวแล้ว แต่อาจจะยังมีคนคอยสอดแนมให้กับพวกเขาอยู่ก็เป็นได้

    “ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ในป่าไม่เหมือนกับที่นี่ ทั้งขรุขระ ทั้งหลุมบ่อ หากเดินไม่ดี ผลที่ตามมาคงไม่ต้องพูดถึงเลยเจ้าค่ะ”

    ตอนที่ป๋ายซ่าวยังอยู่ที่บ้าน นางมักจะเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพรและนำมาเก็บรักษาเผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต ฉะนั้นนางจึงรู้จักความอันตรายในป่าดี

    “ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะหาคนไปเป็นเพื่อนมากหน่อย ข้าต้องการหายาที่จำเป็นต้องใช้มาแก้ขัด ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรอก”

    หลินเมิ้งหยายังคงยืนยัน สุดท้ายสาวใช้ทั้งสี่ไม่มีทางเลือก

    ดังนั้นป๋ายซูและป๋ายซ่าวจึงรับหน้าที่เข้าป่าไปหายากับหลินเมิ้งหยา

    เพิ่งจะนั่งพักได้เพียงครู่เดียว หลงเทียนอวี้ไม่เห็นร่างชายาของเขาเสียแล้ว

    ฝืนลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้อง ก่อนจะออกตามหานาง

    “พระชายาเล่า?”

    คนที่อยู่รอบๆ ส่ายหน้า เมื่อครู่ยังเห็นพระชายาถือของแล้วเข้าไปพันแผลให้คนบาดเจ็บอยู่เลย เหตุใดเพียงพริบตาเดียวจึงหายตัวไปแล้ว?

    “อาจจะออกไปทำแผลด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ พระชายาจิตใจโอบอ้อมอารี จะต้องไปทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

    คนที่ถูกหลินเมิ้งหยาพันแผลให้ต่างสำนึกในบุญคุณของนาง

    กลิ่นเนื้อสัตว์ในน้ำแกงหอมฟุ้งลอยเข้ามากระทบจมูก ไม่เพียงแค่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่อาเสว่และอาป๋ายต่างสูดจมูกฟุดฟิดแล้ววิ่งออกมา

    “นี่มันเสือขาวกับหมาป่าของใครกัน น่าสนใจเหลือเกิน!”

    สัตว์ตัวน้อยทั้งสองหิวกระหายมาทั้งวัน พวกมันกินแต่เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น

    สัญชาตญาณของสัตว์ป่าทำให้พวกมันวิ่งออกมา

    “รีบกลับเข้าไป จริงๆ เลย พอนายหญิงไม่อยู่ก็วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว”

    ป๋ายจื่อและป๋ายจีที่ส่งคนเสร็จแล้ววิ่งเข้ามาอุ้มสัตว์ตัวน้อยคนละตัว

    สัตว์ตัวน้อยทั้งสองค่อนข้างเชื่อง นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว พวกมันสนิทกับสาวใช้ทั้งสี่ที่สุด ดังนั้นจึงยอมซุกอยู่ในอ้อมกอดของพวกนางแต่โดยดี

    “พระชายาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?”

    คิ้วขมวดแน่น เอ่ยถามเสียงเบา

    หลินเมิ้งหยารักสาวใช้ทั้งสี่เสมือนพี่น้อง นางไม่เคยห่างไปจากพวกนาง บางทีอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เมื่อถูกท่านอ๋องถาม หัวใจของสาวใช้ทั้งสองเต้นไม่เป็นระส่ำ

    ป๋ายจีดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ส่งอาป๋ายเข้าหาอ้อมกอดของป๋ายจื่อ

    “นายหญิงกำลังตรวจดูอาการคนเจ็บอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ ป๋ายจื่อ เจ้าพาพวกมันกลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปเตรียมอาหารให้กับพวกทหารก่อน”

    ป๋ายจีตอบกลับ หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกสบายใจ

    หลงชิงหานและหูเทียนเป่ยหลับไปแล้ว แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่กลับยังไม่วางใจ

    กลิ่นหอมของอาหารทำให้จิตใจของทุกคนสงบ

    หลินเมิ้งหยาฉลาดมาก นางสั่งให้สับเนื้อไก่และเนื้อกระต่ายจนละเอียด ก่อนจะนำไปต้มเป็นโจ๊ก

    เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้ดื่มกินอาหารเหล่านั้น หัวใจรู้สึกอบอุ่น สติสัมปชัญญะกลับมาดีขึ้น

    อาป๋ายและหมาป่าตัวน้อยเองก็ได้กินโจ๊กเช่นเดียวกัน สัตว์ตัวน้อยทั้งสองลิ้มรสหวานหอม หลงเทียนอวี้ยื่นมือเข้าไปลูบขนของพวกมัน

    “ท่านอ๋อง ตอนนี้ดึกมาแล้ว เชิญท่านไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาเคยสั่งเอาไว้ว่าจะต้องจับตามองให้หลงเทียนอวี้ไปนอน

    แต่เพราะนางยังไม่กลับมา ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงยังไม่อาจวางใจ ความเหนื่อยล้าก่อตัวมากขึ้นทุกที ทว่าเขากลับฝืนประคองสติ ไม่ยอมเข้านอน

    “ข้าจำได้ว่าสิงกงแห่งนี้มีเนื้อสัตว์มากมายมิใช่หรือ? เหตุใดในโจ๊กเหล่านี้จึงมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น?”

    หลงเทียนอวี้เอ่ยถาม สาวใช้ทั้งสองสบตากัน ป๋ายจื่อจึงกระซิบเสียงเบา

    “สิงกงมีเนื้อสัตว์และผักสดใหม่มากมาย แต่ถูกคนของไท่จื่อเอาไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”

    นับตั้งแต่ตอนที่พวกเขากลับมาจนกระทั่งตอนนี้ ไท่จื่อไม่แม้แต่จะออกมาดูด้วยซ้ำ

    ไม่เพียงไม่ออกมาปลอบขวัญทหาร แต่ยังเอาเนื้อและผักไปจนหมด

    ไท่จู่1 เคยออกรบในสงครามจ้านซา ในเวลานั้นถูกศัตรูปิดล้อมนานถึงสามวันสามคืน ทหารไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่ม ไท่จู่สั่งให้คนฆ่าม้าของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของทหารเอาไว้

    ไท่จื่อมีสายเลือดมังกรอยู่ครึ่งหนึ่ง เหตุใดจึงทำตนประหนึ่งไม่เคยถูกอบรมสั่งสอนมาเช่นนี้

    “ทันทีที่ฟ้าสว่าง พวกเราจะออกจากที่นี่ เมื่อกลับถึงเมืองหลวงก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

    การจู่โจมอย่างกะทันหันของเถาฮวาอู๋สร้างความอันตรายอย่างใหญ่หลวง

    โชคดีที่กำลังเสริมมาช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋จึงตายเกินกว่าครึ่ง

    แต่เพราะเหตุใดนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเจียงหูจึงคิดจะเอาชีวิตของพวกเขากันเล่า?

    ความจริงของเรื่องนี้ถูกเก็บซ่อนอยู่ในม่านหมอก หากเขาต้องการรู้ความจริง คงจะต้องใส่ใจกับรายละเอียดและเจาะลึกให้ได้มากที่สุด

    กลิ่นหอมของอาหารทำให้เหล่าทหารรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

    หลินเมิ้งหยาแอบจัดการทุกอย่างอย่างเงียบเฉียบ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนจดจำภาพใบหน้าอันงดงามของนางได้

    สำหรับพวกเขา ท่านอ๋องเปรียบเสมือนวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ส่วนพระชายาคือสตรีที่เอาใจใส่ซึ่งหาได้ยากยิ่ง

    ดังนั้นคนที่รู้ซึ้งซาบซึ้งในน้ำใจของทั้งสองคนนี้จึงมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

    หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หลินเมิ้งหยาที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่บนหลังปรากฏตัวขึ้นในสิงกง

    เสื้อผ้าสวยงามเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน

    เส้นผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซ้ำยังยุ่งเหยิงยิ่งกว่ารังนก ทว่าดวงตาของนางกลับเปล่งประกายสะท้อนให้เห็นความงดงามที่มิอาจมีใครเทียบเทียมออกมา

    ดีจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าป่าใกล้ๆ นี้จะมีสมุนไพรมากมาย

    หลินเมิ้งหยาหันไปมองตะกร้าไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยยาสมุนไพร บางทีอาจเพราะที่นี่คือเขตการปกครองของวังหลวง ดังนั้นจึงดูแลไว้เป็นอย่างดี

    “นายหญิง! นายหญิงกลับมาแล้ว! ข้าเป็นห่วงแทบแย่”

    ป๋ายจื่อรีบวิ่งออกจากห้อง ก่อนจะรับตะกร้าไม้ไผ่จากหลินเมิ้งหยา

    “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าไม่รู้หรอกว่าป๋ายซูกับป๋ายซ่าวดูแลข้าดีขนาดไหน ดูซิ นี่คือผลไม้ป่าที่ข้าหามาให้เจ้า ชิมดูซิ อร่อยไหม?”

    หยิบผลไม้สีแดงสดออกจากตะกร้า หลินเมิ้งหยายัดใส่มือป๋ายจื่อ

    แววตากังวลของสาวใช้ตัวน้อยเปล่งประกาย รอยยิ้มผุดขึ้น มือยกผลไม้ชนิดนั้นเข้าปากแล้วกลืนลงไป

    ทว่าใบหน้าเรียวเล็กกลับบิดเบี้ยว คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนซาลาเปาอย่างไรอย่างนั้น

    “ฮือฮือ นายหญิงของข้า นี่คือผลไม้เปรี้ยวหรือเจ้าคะ? เหตุใดจึงเปรี้ยวมากขนาดนี้?”

    ยกมือปิดปากคายออกมา หยาดน้ำตาเกือบจะรินไหล

    ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสวยงาม แต่เหตุใดจึงเปรี้ยวขนาดนี้?

    “ฮ่า ฮ่า นี่เรียกว่าผลป๋ายจื่อ ต้องต้มกับน้ำตาลจึงจะอร่อย”

    ทหารผู้มากประสบการณ์ส่งเสียงตะโกนออกมา

    บางทีอาจเพราะท่าทางขี้อ้อนของป๋ายจื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกสบายตาเวลาได้จ้องมอง เสียงหัวเราะหัวใคร่จึงดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณ

    “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ข้าจะเอาไปต้มเดี๋ยวนี้”

    เมื่อพูดถึงของอร่อย ป๋ายจื่อรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หอบหิ้วเอาผลไม้ชนิดนั้นวิ่งไปทางห้องครัว

    หลินเมิ้งหยามองตามร่างบางก่อนจะส่ายหน้า หมุนตัวกลับเพื่อจัดการยาสมุนไพร

    เมื่อได้เห็นนางเทสมุนไพรลงบนผ้าสะอาดด้วยความระมัดระวัง หมอหลวงหลายคนเข้ามาช่วยเหลือนาง

    ภายในมีทั้งสมุนไพรห้ามเลือด สมุนไพรแก้ปวดและอีกมากมายที่สามารถนำมาใช้ได้ชั่วคราว

    “นายหญิงของข้า เท้าของท่านก้าวได้เร็วเหลือเกิน”

    ป๋ายซ่าวและป๋ายซู พร้อมทั้งองครักษ์อีกหลายคนเดินตามมาทางด้านหลัง

    ที่หลังของพวกเขาเต็มไปด้วยสมุนไพรเต็มตะกร้า

    แต่ถึงกระนั้นก็มีหญ้าที่ใช้งานไม่ได้ปะปนมาอยู่บ้าง หมอหลวงหลายคนเข้ามาช่วยหลินเมิ้งหยาคัดเลือกอยู่นานกว่าจะทำเสร็จ

    “ป๋ายจี พวกเรานำสมุนไพรห้ามเลือดไปสกัดเป็นน้ำออกมากันเถิด ป๋ายซ่าว ป๋ายซูคอยช่วยเหลือหมอหลวงแจกจ่ายยา”

    ในช่วงเวลาคับขัน หลินเมิ้งหยาเสมือนหัวใจหลักของทุกคน พวกเขาต่างรับฟังคำสั่งของหลินเมิ้งหยา

    แม้ว่าใบหน้าของนางจะหมองคล้ำ เสื้อผ้าเปื้อนโคลน ผมเผ้าเต็มไปด้วยใบไม้ มิเหมือนชายาผู้งดงามเลยแม้แต่น้อย ทว่าในหัวใจของทุกคน นางกลับเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุด

    “อดทนหน่อยนะ อาจจะเจ็บเล็กน้อย”

    หลินเมิ้งหยาใส่ยาด้วยตนเอง ชายชาตรีผู้มิเคยหลบหนีศัตรูในช่วงเวลาทำสงครามหน้าแดงก่ำเพราะพระชายาใบหน้างดงามที่กำลังดูแลตนเองด้วยความอ่อนโยน

    โชคดีเหลือเกินที่ท้องฟ้ามืดมิด มิเช่นนั้นคงถูกสังเกตเห็น

    “เอาล่ะ พรุ่งนี้พอกลับถึงเมืองหลวง อย่าลืมไปที่ร้านยาว่านเหย้าและเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกสามวัน อย่าให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด อีกทั้งยังห้ามกินของรสจัด อ้อ แล้วก็ห้ามใช้แขนข้างนี้ยกของหนักเข้าใจหรือไม่?”

    กำชับอย่างละเอียด หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าพวกเขาไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐานทางการรักษา

    ดังนั้น หากเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลจะยิ่งอันตราย

    ได้รับบาดเจ็บทุกคนล้วนปฏิบัติตามคำสั่งของนาง

    พยักหน้าลง หัวใจของพวกเขารู้สึกอบอุ่น

    พระชายาเป็นคนดีเหลือเกิน ทั้งละเอียดรอบคอบและเอาใจใส่ ท่านอ๋องช่างโชคดียิ่งนัก

    ไม่นาน ทุกคนถูกพันแผลจนเสร็จ หลินเมิ้งหยาหยิบตะกร้าไม้ไผ่ ก่อนจะพาหมอหลวงออกไปด้านนอก

    บังเอิญที่แม่ทัพจูนำผ้าพันแผลกลับมาพอดี

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้แยกตัวยาและจัดเรียงให้เรียบร้อย กว่าจะทำงานเสร็จ สีของท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง

    “นายหญิง เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

    สาวใช้ทั้งสี่ช่วยเหลือหลินเมิ้งหยาทั้งคืน ป๋ายจื่ออ้าปากหาว

*หมายเหตุ

    ไท่จู่1 หมายถึงองค์ปฐมจักรพรรดิ ในบริบทนี้หมายถึงฮ่องเต้