เล่มที่ 5 บทที่ 134 หัวใจของทุกคน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“โชคดีที่ทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นายหญิงไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาเหนื่อยที่สุด เดินไปกลับตลอดทั้งคืน แม้แต่ตอนนี้ยังเดินกลับไปกลับมาไม่หยุด

    “ไม่เป็นไรหรอก เมื่อก่อนตอนที่ข้าทำวิจัยก็ต้องยืนทั้งวันทั้งคืน”

    พูดติดปาก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนเองได้พูดเรื่องราวในอดีตออกมา

    โชคดี สาวใช้ทั้งสี่ทั้งเหนื่อยและมึนงง พวกนางกำลังสะลึมสะลือ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางพูดสิ่งผิดปกติออกไป

    “เอาล่ะ พวกเจ้าไปพักผ่อนที่รถม้ากันก่อนเถิด หากออกเดินทางแล้วข้าจะเรียกพวกเจ้า”

    นักฆ่าทั้งห้าของเถาฮวาอู๋ถูกจูอ้ายจือจับกุมตัวไปหมดแล้ว

    รถม้าถูกล้างจนสะอาด อันที่จริงจูอ้ายจือนับว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาจัดการงานได้อย่างไร้ที่ติ

    สาวใช้ทั้งสี่รีบกลับไปยังรถม้ากว้างขวางของตนเองแล้วงีบหลับลงไป

    บริเวณสวนและด้านนอกจึงเงียบสงบลง

    ไท่จื่อและเหล่าใต้เท้าที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้นอนอยู่บนเตียงกว้างที่อุ่นสบาย ทว่าวีรบุรุษที่แท้จริงกลับได้นอนบนพื้นอันแสนเย็นเฉียบ

    ความแตกต่างเช่นนี้มิอาจถูกเปลี่ยนแปลงได้เพราะนางเพียงคนเดียว

    ทำงานหนักจนบ่าทั้งสองข้างปวดระบม หลินเมิ้งหยากลับไปยังห้องพักของตนเอง

    บนเตียง หลงชิงหานและหูเทียนเป่ยนอนอยู่ด้วยกัน พวกเขากำลังหลับสนิท ตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็คงมิอาจปลุกพวกเขาได้

    หลงเทียนอวี้นั่งอยู่บนตั่งอุ่น มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงนั่งหลับที่นั่น

    ส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาตำหนิไปทางชายทั้งสองบนเตียง จะต้องเป็นเพราะถูกพวกเขาแย่งเตียงจึงไม่มีที่นอนอย่างแน่นอน

    หลินเมิ้งหยาหยิบผ้าห่มจากตู้ออกมาหนึ่งผืน เตรียมนำไปห่มให้หลงเทียนอวี้

    แต่ไม่รู้ว่าไปสัมผัสโดนส่วนไหนของร่างกายเขาเข้า หลงเทียนอวี้จึงหงายหลังลงไป

    ชายเสื้อถูกหลงเทียนอวี้กำเอาไว้ เหตุเพราะยังไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงล้มลงในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้

    อีกทั้งมือหนาทั้งสองข้างยังตกลงบนเอวของนางโดยบังเอิญ

    หัวใจเต้นระรัว แต่อ้อมกอดของหลงเทียนอวี้กลับอบอุ่นเหลือเกิน

    ทันใดนั้นคลื่นแห่งความเหนื่อยล้าพลันกระทบร่าง คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะนอนหลับอยู่ภายในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้

    เอ๊ะ ทำไมเตียงถึงโยกเยกเช่นนี้?

    หลินเมิ้งหยาขยับร่างกายที่กำลังปวดเมื่อยของตนเอง บ่าทั้งสองข้างรู้สึกชา

    หาตำแหน่งที่สบายที่สุด ก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง

    อุ่นจัง เป็นเตียงที่นุ่มอะไรอย่างนี้ ถ้าหากไม่โยกเยกก็คงดี

    หลินเมิ้งหยาลืมตาขึ้นช้าๆ แต่สิ่งที่นางได้เห็นคือชุดจีนสีขาว

    เฮือก….

    เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ มองเห็นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เดี๋ยวก่อน! เหตุใดนางจึงนอนอยู่กับหลงเทียนอวี้ที่สวมใส่เพียงชุดจีนชุดเดียวเช่นนี้

    สมองอันชาญฉลาดของหลินเมิ้งหยาเริ่มประมวลผลอัตโนมัติ

    สายตาเหลือบมองชุดที่ตนเองสวมใส่ แม่จ๋า! นางเองก็สวมใส่เพียงชุดจีนเช่นเดียวกัน

    เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

    “ตื่นแล้วหรือ?”

    สัมผัสได้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดกำลังขยับตัว หลงเทียนอวี้ลืมตาขึ้น

    มองดูท่าทางตกตะลึงของหญิงสาว หันมองดูตนเอง ก่อนจะหันไปมองนาง อยู่ๆ อารมณ์ของหลงเทียนอวี้ก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด

    “ท่านอ๋อง พวก…พวกเรา…”

    พวกเราไม่ได้ทำอะไรบัดสีใช่หรือไม่? หลินเมิ้งหยานึกถามในใจ แม้ว่าพวกนางได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน

    แต่นางยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจเลยนี่นา

    “ข้าเห็นว่าเจ้าเหนื่อยมากก็เลยให้ป๋ายจีเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เจ้าจะได้หลับสบาย ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวค่อยให้ป๋ายจีเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าแล้วกัน”

    หลงเทียนอวี้อธิบายเหตุการณ์สั้นๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าขำ

    ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาพบว่านางขดตัวคุดคู้อยู่ในอ้อมกอดของเขาและหลับสนิท

    คิดจะปลุกนาง แต่เมื่อรู้ว่านางเหนื่อยตลอดทั้งคืนจึงมิอาจทำใจปลุกนางได้

    แต่คนหนึ่งที่เป็นถึงองค์ชาย ส่วนอีกคนก็เป็นพระชายา แต่กลับเนื้อตัวมอมแมมมิต่างอะไรจากขอทานข้างถนน ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็น่าเกลียดจนเกินไป

    ดังนั้นเขาจึงตามคนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

    กว่าจะถึงเมืองหลวงยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกสักระยะ ดังนั้นหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาจึงแอบนอนหลับอยู่ในรถม้า

    หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลงเทียนอวี้แล้ว หลินเมิ้งหยาจึงถอนหายใจ

    อย่างแรก นางยังไม่เสียตัว

    อย่างที่สอง พวกเขาใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว

    อย่างสุดท้าย ความรู้สึกผิดหวังเล็กๆ นี่คืออะไรกัน!

    หลงเทียนอวี้รีบเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่กำลังสะท้อนอารมณ์หลากหลายอย่างปะปนกันของหลินเมิ้งหยา

    จนกระทั่งเขากลับออกไป สาวใช้ของหลินเมิ้งหยาจึงแสดงสีหน้าหลากหลายแบบออกมา

    “นายหญิง ความรักของท่านกับท่านอ๋องหวานซึ้งยิ่งนัก”

    ในบรรดาสาวใช้ทั้งหมด ป๋ายจื่อดูจะมีความกล้ามากที่สุด นางส่งเสียงล้อเลียนออกมา

    “ยัยเด็กบ้า เจ้าพูดอะไรกันเนี่ย”

    หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับมา ก่อนจะได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของสาวใช้ตนเองและรอยยิ้มมีเลศนัยน์

    เดี๋ยวก่อน! หรือว่า…พวกนางจะคิดว่าตนเองกับหลงเทียนอวี้ “โจ๊ะพรึมๆ” กันเมื่อคืน

    สวรรค์โปรด! จะบ้าหรือ! ซวยชะมัด! หักกระดูกเลยดีมั้ย!

    “พวกข้าเหนื่อยกันมากก็เลยหลับไปเท่านั้น”

    “……”

    “นี่ สายตาของพวกเจ้าหมายความว่ากระไร?”

    “……”

    “ข้าพูดความจริงนะ พวกเจ้าอย่าคิดเพ้อเจ้อ”

    “……”

    หลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูคลุมเครือไปเสียหมด

    แต่นางกับหลงเทียนอวี้ที่ใส่เพียงชุดจีนตัวเดียวก็มากเพียงพอที่จะทำให้พวกนางคิดฟุ้งซ่านไปไกล

    สะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะฉีกทำลายจินตนาการของพวกนางเอาไว้ หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงเลิกสนใจสายตาของพวกนาง

    ฮึ ทำเป็นมองไม่เห็นก็พอ!

    สาวใช้ทั้งสี่เลิกกลั่นแกล้งนายหญิงของตนเอง แต่ว่า…นายหญิงที่มักจะเงียบขรึมเสมอ เมื่อมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง นางมักจะแสดงอารมณ์ออกมามากมาย

    ถึงอย่างไรอาการปากแข็งของหลินเมิ้งหยาก็มิได้เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน

     แต่งหน้าแต่งตัวให้หลินเมิ้งหยา แม้จะไม่ได้อาบน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม จนสาวงามกลายเป็นหญิงสาวน่ารังเกียจ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่ใส่ใจ

    ทันทีที่สวมใส่เสื้อผ้าจนเสร็จ นางรีบถามถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บทันที

    “จะว่าไปแล้วไท่จื่อไร้ยางอายยิ่งนัก”

    ป๋ายจื่อระบายความโกรธออกมา ป๋าวซ่าวรีบปิดปากของนางเอาไว้ ก่อนจะกระซิบ

    “ยัยเด็กน้อย ลดเสียงของเจ้าลงหน่อยเถิด หากไท่จื่อได้ยินเข้า พวกเราคงได้เดินทางไปโลกหน้า”

    ป๋ายจื่อเบะปาก แม้จะไม่ยินยอมที่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

    สุดท้าย ป๋ายจีจึงเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ในตอนเช้าให้ฟัง

    หลังจากเป็นห่วงและยุ่งวุ่นวายตลอดคืน เพราะเรี่ยวแรงที่ถูกใช้ออกไปจนหมด หลินเมิ้งหยาจึงนอนอยู่ในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้

    แต่หลงเทียนอวี้ตื่นแต่เช้า เขาและหลงชิงหานเข้าไปดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

    หูเทียนเป่ยกลับไปหาพรรคพวกของตนเอง ก่อนจะตามพวกทหารของซีฟานออกมา

    หลังจากผ่านการรักษามาหนึ่งคืน ผู้ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้น ตอนนี้เอง ไท่จื่อที่มิเคยใส่ใจอะไรปรากฏตัวขึ้น กิริยาวาจามีเมตตา สั่งให้คนนำเนื้อสัตว์ไปทำเป็นโจ๊กและแจกจ่ายให้กับพวกทหาร

    แต่เพราหลินเมิ้งหยาสั่งเอาไว้ว่าให้ตระกูลที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับจวนอวี้ส่งสาวใช้ของตนเองมาช่วยทำหมั่นโถว โจ๊กผักและอาหารธรรมดา

    ดังนั้นอาหารเช้าสองอย่างที่แตกต่างกันจึงถูกวางลงตรงหน้าของพวกทหาร

    ตอนแรกไท่จื่อคิดว่าทหารจะเลือกอาหารที่มีทั้งเนื้อสัตว์และไข่ของตนเอง

    แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทหารที่ได้รับบากเจ็บจะเดินไปหยิบโจ๊กข้าวหอมมะลิของหลินเมิ้งหยาและไม่แตะต้องโจ๊กของเขา

    ไท่จื่อโกรธมาก เขาคิดจะนำอาหารเหล่านั้นไปให้ทหารที่อยู่ด้านนอก

    แต่หลินเมิ้งหยาสั่งเอาไว้ก่อนแล้วว่าให้นำธัญพืชไปมอบให้ทหารทำอาหาร

    ดังนั้น ที่ด้านนอกจึงมีน้ำแกงกลิ่นหอมฟุ้ง

    ทหารทุกคนล้วนสำนึกในบุญคุณของหลินเมิ้งหยา

    “นายหญิง ท่านคงนึกไม่ออกว่าสีหน้าของไท่จื่อเป็นเช่นไร”

    ป๋ายจื่อเข้ามากระซิบข้างหูของหลินเมิ้งหยา สาวใช้ทั้งสี่แสดงสีหน้าล้อเลียน

    “การปกป้องดูแลประชาชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

    ราชวงศ์จะยังหยัดยืนอยู่ได้ หากได้รับความจริงใจจากทุกคน

    การกุมหัวใจของพวกเขาเอาไว้นั้นยาก แต่การได้รับมานั้นง่ายดาย

    หลงเทียนอวี้เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องทุกคน ส่วนนางพาสาวใช้ของตนเองออกไปรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

    นี่คือสิ่งที่ไท่จื่อไม่มีวันทำได้

    เขาเสียโอกาสไปแล้ว ต่อให้พยายามทำความดีในภายหลัง เกรงว่าก็คงจะมิเป็นผล

    ยิ่งไปกว่านั้น นางเตรียมตัวที่จะซ้ำเติม เสมือนคนที่ได้ทีขี่แพะไล่ เพื่อทำให้ไท่จื่อพ่ายแพ้ราบคาบ

    ขบวนรถม้ามุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหลวง ทหารอารักขามีมากขึ้นกว่าเดิม

    กองทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองอยู่ที่เส้นแบ่งเขตแดนเองก็กำลังเดินทางกลับเช่นเดียวกัน

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้า ไม่นานก็กลับมาถึงจวนอวี้ที่คุ้นเคย

    คนที่กลับมาด้วยกันคือสองพี่น้องสกุลเยว่

    พวกนางไม่อยากกลับไปเหยียบจวนสกุลเยว่อีก

    “หนู่ปี้ถวายคำนับท่านอ๋องและพระชายา”

    สายตาทอดมอง ก่อนจะได้เห็นพ่อบ้านเติ้งและน้าจิ่นเยว่ที่พาคนรับใช้ตั้งเป็นแถวสองฝากฝั่งกำลังรอต้อนรับพวกเขาอยู่

    “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”

    ป๋ายซูพยุงร่างหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้า เมื่อร่างบางของนางปรากฏขึ้น คนรับใช้ทั้งหมดล้วนรู้สึกอบอุ่นใจ

    แม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่เดือน แต่จวนที่ไร้ซึ่งพระชายาช่างเย็นยะเยือกยิ่งนัก

    ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกญาติผู้น้องกลั่นแกล้งอยู่เนืองนิตย์

    ก็ใครใช้ใครเจ้าบ้านไม่อยู่กันเล่า?

    “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว ฉินเอ๋อร์เป็นห่วงแทบขาดใจเลยเจ้าค่ะ”

    ทั้งที่ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ทว่าความกล้าของเจียงหรู๋ฉินเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

    หลินเมิ้งหยาส่งสายตาเย็นชาไปทางนาง เพื่อตั้งใจแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนของตนเอง

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครู่ต่อมาเจียงหรู๋ฉินจะเข้ามากอดแขนของตนเอง

    “พี่สะใภ้ ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงหมิงเยว่แห่งซีฟานจะเข้ามาอยู่ที่จวนของเขา ท่านป้าเองก็ตอบตกลงแล้วด้วย”

    องค์หญิงหมิงเยว่ก็คิดจะเข้ามาร่วมวงด้วย? กว่านางจะไล่หลินเมิ้งหวู่ไปได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่นี่หมิงเยว่จะเข้ามาสร้างความรำคาญให้อีกแล้ว

    แต่ก็นะ ถ้าไม่มีเรื่องตื่นเต้นเลย จะเรียกว่าชีวิตได้หรือ?