วันถัดมา หลงเหวินเซวียนลืมตาขึ้นจากการบำเพ็ญฝึกฝน ก็อยากจะรีบวิ่งไปที่ตำหนักของลูกสาว แต่ก็กลัวว่าลูกสาวจะยังไม่ตื่น จึงได้แต่นั่งรออย่างกระวนกระวายใจ
เช่นเดียวกัน หลงจิ่งอู๋ได้รับรายงานจากลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูว่าเมื่อวานมีหลิวหลีสองคนเข้ามา หลงจิ่งอู๋จึงบอกพวกเขาไปว่าพวกเขาคงจะตาฝาดไปเอง โบกมือไล่ให้พวกเขาออกไป เมื่อเห็นว่าพวกเขาออกไปแล้ว ก็อดที่จะด่าด้วยรอยยิ้มไม่ได้ : นังหนูตัวยุ่ง ทว่ากับน้องสาวของเขาต้องให้ความร่วมมือด้วยแน่ พบว่าตอนนี้
เขารู้สึกว่าน้องสาวของเขาตอนนี้ดูสดใสมากขึ้น สงสัยคงจะติดจากนังหนูมา
สองแม่ลูกที่คนอื่นไม่กล้าเข้ามารบกวนไม่ได้พักผ่อน แต่กำลัง…
“หลิวหลี เจ้าทำเกินไปแล้วนะ ไปหาเรื่องที่บ้านสกุลจ้านแทนแม่แบบนั้นคนเดียวได้อย่างไร ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร” หลงซินเยว่กำลังสั่งสอนลูกสาวที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ท่านแม่ ก็บอกท่านแล้วนี่ว่าข้าพาอาเลี่ยไปด้วย” หลิวหลีมองดูมารดาที่แต่งตัวเหมือนนาง แต่กลับใช้น้ำเสียงของผู้ใหญ่สั่งสอนนาง ทำไมรู้สึกอยากจะหัวเราะขนาดนี้
“นังหนูคนนี้นี่ ยังจะมาหัวเราะอีก” หลิวหลีกลั้นหัวเราะไม่อยู่ หลงซินเยว่ดีดหน้าผากหลิวหลีเบาๆพลางทอดถอนใจ
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ท่านแม่ พอท่านรู้ว่าคนผู้นั้นรักยังรักท่านอยู่ขนาดนั้น ท่านดีใจหรือไม่” หลิวหลีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว วัยทองที่ท่านแม่พลาดไป มันกลับมาใช่ไหม ทำไมขี้บ่นเช่นนี้ แต่ว่า ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่น มีแม่นี่มันดีจริงๆ หลิวหลีออดอ้อนท่านแม่น้อยๆในอ้อมกอด
“จะบอกว่าดีใจก็คงจะไม่ใช่ ตอนนี้อายุข้าก็ปูนนี้แล้ว เป็นความรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากกว่า” หลงซินเยว่พูดพลางเอามือลูบผมหลิวหลี
“อาลัยอาวรณ์” หลิวหลีรู้สึกอึ้งกับคำๆนี้ไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว มันคือความอาวรณ์ แม่นอนไม่ได้สติไปหลายปี บอกตรงๆความรู้สึกที่แม่มีต่อพ่อของเจ้าก็จืดจางลงไปมาก ตอนนี้ต่อให้ได้เจอท่านพ่อของเจ้า หัวใจก็คงไม่กลับไปเต้นแรงเหมือนเดิม” ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่หลงซินเยว่ไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ในช่วงอมตะเท่านั้น ซึ่งห่างจากพลังบำเพ็ญเพียรของอาหลิงมาก พลังบำเพ็ญเพียรไม่เหมาะสมกัน หนทางในการใช้ชีวิตคู่กันนั้นคงไม่ยืนยาว เพียงแต่บุตรสาวของนางไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” หลิวหลีพูดพลางเอามือลูบคาง
“นังหนู แม่ของเจ้ามีเรื่องหนักใจ” เอ๋าเลี่ยส่งเสียงบอกหลิวหลี
“เรื่องหนักใจ เรื่องหนักใจอะไร” หลิวหลีตอบเอ๋าเลี่ย ก็ได้เจอท่านลุงท่านตาแล้ว ยังจะมีเรื่องหนักใจอะไรอีก
“ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ในช่วงอมตะใช่หรือไม่”
“ใช่สิ ก็ตอนที่ให้กำเนิดข้าพลังบำเพ็ญเพียงของนางก็ถดถอยลงมา” เรื่องนี้หลิวหลีก็พอจะรู้อยู่บ้างแต่พลังบำเพ็ญเพียรช่วงอมตะแล้วทำไม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพอจะรู้เรื่องช่วงพลังของบิดาเจ้าหรือไม่” เอ๋าเลี่ยถามต่อ
“ข้าพอจะรู้อยู่บ้าง ก็คงไม่ต่างจากข้ามากนักหรอก” หลิวหลีรู้สึกนับถือบิดาในจุดนี้ เขาเสียสติไปตั้งหลายปี แต่พลังบำเพ็ญเพียรกลับไม่ถดถอยลง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
“เข้าใจอะไร” หลิวหลีงุนงง พลังบำเพ็ญเพียรของคนทั้งสองเกี่ยวอะไรกันด้วยหรือ
“เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าสามีภรรยาที่มีพลังบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมาก ยากที่จะอยู่ด้วยกันจนถึงสุดท้ายได้” เจ้าไม้ตายด้าน ทำไมถึงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“เช่นนั้นแปลว่าท่านแม่เกรงว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตนเองต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมกับท่านพ่อหรือ” หลิวหลีเริ่มเข้าใจ
“เรื่องนี้ไม่เห็นยาก ข้าจะช่วยส่งเสริมนางทุกทาง จะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ให้นางอย่างเพียงพอ อีกอย่างยังมีมิติที่มีข้อได้เปรียบทางด้านเวลา ท่านแม่ข้ามีเวลาเยอะขนาดนี้ มีพลังเซียนบริสุทธิ์คอยเกื้อหนุนอยู่ตลอดเวลา จะตามท่านพ่อไม่ทันได้อย่างไร ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ” หลิวหลีพูดอย่างมุ่งมั่น
จู่ๆเอ๋าเลี่ยก็พบว่านังหนูมีความมั่นใจมากเกินไปแล้ว
“ท่านแม่ ท่านกังวลใจว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเอง ต่างจากคนผู้นั้นเกินไปใช่หรือไม่ ท่านรู้ว่าถึงแม้คนคนนั้นจะเสียสติไป แต่พลังบำเพ็ญเพียรของเขาไม่ได้ลดลงตามไปด้วย” ในเมื่อรู้ถึงปัญหาแล้วย่อมต้องหาทางแก้ไขมัน
“หลิวหลีทำไมเจ้าจึงถามเช่นนี้” นังหนูอ่านความคิดของนางออกหรือ
“ท่านแม่ตอบข้ามาก่อน” หลิวหลีออดอ้อน
“ก็ได้ ข้ากังวลเรื่องนี้จริงๆ พูดตามตรง ตอนนี้ข้าไม่เชื่อเลยว่า ข้าจะสามารถกลับไปอยู่กับพ่อเจ้าได้อีกครั้ง” หลงซินเยว่รู้สึกจนปัญญา
“มันไม่เรียกว่าปัญหาด้วยซ้ำ ท่านแม่ ยาศักดิ์สิทธิ์ที่ข้ามอบให้ มีแต่ยาคุณภาพชั้นเลิศ ไม่มีผลข้างเคียง อีกอย่างรอจนข้าเป็นนักปรุงยาระดับ 8 ข้าปรุงยาสลายพิษได้ไม่มีปัญหาแน่ ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วใช่ไหม มิติของข้ามีข้อได้เปรียบเรื่องเวลา ท่านไปเข้าฌานในนั้น พลังบำเพ็ญก็สามารถกลับมาได้แล้ว ท่านแม่ของข้าสุดยอดที่สุด ท่านอย่าได้ไม่มั่นใจเช่นนี้เลย” หลิวหลีตบอกเพื่อรับประกัน เป็นถึงมารดาของหลงหลิวหลีก็ควรจะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีใครมาเทียบได้สิถึงจะถูก
“ฮ่าฮ่า นังหนู แม่ลืมไปจริงๆ” หลงซินเยว่พบว่าเรื่องตนกังวลใจนั้นแทบจะไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ใช่แล้วท่านแม่ ท่านจะต้องมีความมั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังมีท่านตากับท่านลุงคอยสนับสนุนอยู่เช่นกัน” หลิวหลียังมีอีกหนึ่งประโยคยังไม่ได้พูด ตอนนี้สกุลจ้านถือเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากท่านพ่อท่านแม่กลับมาอยู่ด้วยกันได้ ก็จะส่งผลดีต่อสกุลจ้านอย่างยิ่ง
“ขอบคุณมาก หลิวหลี แม่คิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แม่ได้รับนั่นคือการให้กำเนิดเจ้า” หลงซินเยว่กอดลูกสาวแล้วพูด
“ท่านแม่ ท่านจะมาขอบคุณข้าได้อย่างไร ท่านหมดสติไปหลายปีก็เพื่อข้า ต้องทนลำบากอยู่หลายปี ข้าควรดีต่อท่านจึงจะถูก” หลิวหลีบอกว่ามันคือเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
หลงซินเยว่ไม่พูดอะไรนั่งกอดหลิวหลีเงียบๆ ยังถือว่าสวรรค์เมตตาต่อนางมาก ลูกสาวกตัญญู ส่วนท่านพ่อกับพี่ชายก็รักและเอ็นดูนางเสมอ นางมีความสุขมากและขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
เมื่อรู้สึกว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว หลงเหวินเซวียนจึงตัดสินใจไปหาลูกสาว หากเมื่อคืนตาลายเป็นแค่ฝันไปจะทำเช่นไร บังเอิญที่สามพี่น้องสกุลหลงก็คิดเช่นเดียวกันจึงไปเจอกันระหว่างทางและเดินไปหานางพร้อมกัน
จากนั้นก็เห็นว่าน้องสาวของเขากลับมาแต่งตัวเช่นเดิม ช่างดูงดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก
“ที่แท้หลิวหลีถ้าแต่งตัวขึ้นมาดีๆ ก็เป็นสาวงามเหมือนกันนะ” หลงจิ่งหลินมองน้องสาวของตัวเอง แล้วนึกถึงหลานสาวที่ไม่ค่อยจะแต่งเนื้อแต่งตัว
“น้องกลับมาแล้วจริงๆ” หลงจิ่งหนานเพิ่งจะเชื่อว่าน้องสาวของเขากลับมาแล้วจริงๆ
“ฮ่าฮ่า น้องรอง เจ้าคิดว่าเรื่องเมื่อวานคือความฝันหรืออย่างไร” หลงจิ่งอู๋แซวน้องรองของตัวเอง แต่ไม่ทันสังเกตว่าบิดาเขาก็หน้าแดงเช่นกัน
หลิวหลีเปิดประตูออกมาแล้วเกาหัวเล็กน้อย เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ในเรือน
“ท่านแม่ ท่านตา ท่านลุง พวกท่านอยู่ข้างนอกกันทำไมเจ้าคะ ทำไมไม่เข้ามา”
พ่อลูกบ้านสกุลหลงจึงได้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสองแม่ลูก การแต่งตัวแบบนี้ยิ่งทำให้ดูแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
“ข้าคิดมาตลอดว่าน้องมีลูกชาย” หลงจิ่งอู๋พูดพลางทอดถอนใจ เทียนจิ่งของเขาอายุยังไม่ถึง 10 ขวบก็เริ่มรักสวยรักงามแล้ว
“พวกข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” หลงจิ่งหลินกับหลงจิ่งหนานก็พยักหน้าตาม รังสีพิฆาตรุนแรงขนาดนั้น ทำอะไรก็เด็ดขาด แม้จะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็อาจจะยังสู้นางไม่ได้
หลิวหลีไม่เข้าใจ นางแค่ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวเองไม่ใช่หรือ ต้องทำถึงขนาดนั้นไหม อย่างน้อยนางก็ยัง หลิวหลีมองไปที่หน้าอกของตัวเอง นางมีหน้าอก !
เมื่อเห็นท่าทางของหลิวหลี พ่อลูกสกุลหลงกับหลงซินเยว่ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ นังหนูนี่นะ
“ท่านตา พวกท่านมาก็ดีแล้ว ท่านแม่ขาดความมั่นใจ พวกท่านควรจะมาเพิ่มความมั่นใจให้กับนาง” ท่านตามาได้เวลาพอดี จะช่วยให้กำลังใจท่านแม่พอดี
“เกิดอะไรขึ้น ซินเยว่ของข้าทำไมจึงไม่มีความมั่นใจ เจ้าเป็นถึงองค์หญิงของสกุลหลงมาโดยตลอด ใครกล้าชักสีหน้าใส่เจ้าหรือพูดจาไม่ดีใส่เจ้า บอกพ่อมา พ่อจะให้พี่ชายทั้งสามคนของเจ้าไปจัดการมัน” ไอ่ชั่วคนไหนมารังแกลูกสาวสุดที่รักของเขา ลูกสาวที่เขากว่าจะหากลับมาได้
“ท่านพ่อ อย่าไปฟังนังหนูพูดไร้สาระเลย” หลงซินเยว่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น แต่ว่า นางกลัวว่าถ้านางได้รับความรักแบบนี้มากเกินไป อีกหน่อยนางทำตัวกร่างอยู่ในโลกอสูรเทพก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
“พูดเรื่องไร้สาระที่ไหน นังหนูเป็นเด็กดี ไม่พูดอะไรไร้สาระหรอก ซินเยว่ บอกพี่มา พี่จะไปจัดการมันแทนเจ้า ต่อให้ผู้หญิง ข้าก็จะจัดการมันเหมือนกัน” หลงจิ่งหลินพูดพลางเหวี่ยงหมัดรอ
“ท่านพ่อ ท่านพี่ หากพวกท่านยังตามใจข้าแบบนี้ต่อไป ข้าอาจจะเสียนิสัยก็ได้เจ้าคะ” หลงซินเยว่พูดพลางน้ำตาคลอเบ้า
“ซินเยว่ เจ้าเป็นเด็กดี เด็กนิสัยดีไม่ถูกตามใจจนเสียนิสัยหรอก” หลงเหวินเซวียนพูดพลางมองหลงซินเยว่อย่างเอ็นดู
“พูดได้มีเหตุผลมากจริงๆ” หลิวหลีพึมพำอยู่ด้านข้าง ว่าแต่ทำไมมารดาของนางถึงได้ซึ้งใจอะไรได้ง่ายขนาดนี้ ทั้งที่ตอนนั้นนางก็บอกว่า หากแม่ของนางไม่ชอบใครก็เอายาศักดิ์สิทธิ์ทุบใส่หัวมันไปเลย หรือว่าคำพูดพวกนั้นไม่ซาบซึ้งกินใจหรือ หลิวหลีพูดพลางวิเคราะห์อยู่ในใจ
“นังหนูนี่ เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้ายังเป็นเด็ก อย่าทำตัวเลียนแบบผู้ใหญ่” หลงจิ่งหลินพูดพลางสะกิดหลิวหลีที่ทำท่าทางราวเป็นผู้ใหญ่
“ทำไมข้าจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ ท่านอาสาม ข้าอายุจะ 40 แล้วนะ” ในโลกบำเพ็ญเพียร หากอายุยังไม่เกินร้อยปียังถือว่าเป็นเด็ก ถ้าอยู่ในโลกปัจจุบัน อายุของนางคงจะถือว่าเป็นสาวอายุมากที่ยังคงโสดอยู่ หลิวหลีคิดพลางเงยหน้ามองฟ้า อีกอย่าง นางพบว่า ตัวนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอายุที่มากขนาดนั้นแล้ว การบำเพ็ญเพียรไร้ข้อจำกัดในเรื่องอายุ รีบร้อนไปก็เท่านั้น
“ใช่ ยังเป็นเด็กอยู่” หลงจิ่งหนานเสริม หลิวหลียักไหล่ ดูสิ อืม นางควรหาเวลาไปเยี่ยมเสี่ยวเทียนดีกว่า รอนางจัดการปัญหาเรื่องพ่อแม่ได้แล้ว นางก็จะไปเอง
“ใช่ ข้ายังเป็นเด็ก ถ้าเช่นนั้นในฐานะที่ท่านลุงรองเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ควรกินของของเด็ก ต่อไปนี้ยาศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าทำออกมาก็ไม่มีส่วนของท่านแล้ว”
“อ่ะแฮ่ม นังหนูหลิวหลี ลุงพูดผิดไป เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว” หลงจิ่งหนานรู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆถูกนังหนูพูดถึงเสียแล้ว
“สายไปแล้ว ข้ายังเด็กอยู่ ไม่มีทางลืมแน่” หลิวหลีจงใจแกล้งลุงคนรองของตัวเอง มองดูหลงจิ่งหนานที่พยายามอธิบาย คนที่เหลืออยู่ก็อดหัวเราะไม่ได้ นังหนูนี่ กล้าแกล้งกระทั่งท่านลุง ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่จริง ๆ
“พอได้แล้ว นังหนู เลิกแกล้งท่านลุงรองของเจ้าได้แล้ว ไม่ใช่เจ้าไม่รู้ว่าท่านของเจ้าเป็นคนตรงๆ” เมื่อเห็นลูกชายคนรองของตัวเองอึดอัดจนหน้าแดง หลงเหวินเซวียนจึงพูดขึ้น
“อะไรนะ นังหนู เจ้าแกล้งข้างหรือ” หลงจิ่งหนานเพิ่งรู้สึกตัว
…………………………….