ตอนที่ 123 จับคู่ให้บิดามารดา

แม่ครัวยอดเซียน

ณ บ้านสกุลจ้าน จ้านเฟิงอวี้มองเทียบเชิญ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆเชิญเขาให้พาจ้านเฟิงหลิงไปบ้านสกุลหลงเพราะอะไร หรือจะคิดบัญชีกับเฟิงหลิงอีก ก็จริงอยู่หรอก อย่างไรเสียตอนแรกเป็นเพราะเฟิงหลิงทำร้ายหลงซินเยว่ เพียงแต่ว่าทำไมต้องไปบ้านสกุลหลงด้วย จ้านเฟิงอวี้รู้สึกว่าผมตัวเองขาวมากกว่าเดิม เขาจึงขอลาออกจากการเป็นผู้นำสกุล แต่ถูกผู้อาวุโสปฏิเสธ ส่วนน้องชายของเขาจ้านเฟิงหลิงตั้งแต่ออกไปคราวก่อนก็ไม่เคยออกมาอีกเลย เขาก็ไม่แน่ใจว่าจ้านเฟิงหลิงเป็นอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าโคมวิญญาณของเขาเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับตลอดเวลา เอาเถอะ ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว

เอ่อ งานเลี้ยงเลือดที่บ้านสกุลหลง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นงานเลี้ยงสังหารแต่ก็ต้องไปอยู่ดี จ้านเฟิงอวี้รู้สึกว่าผมของตัวเองขาวโพลนยิ่งกว่าเดิม

“เฟิงหลิง ไปร่วมงานเลี้ยงกับพี่ดีหรือไม่” จ้านเฟิงอวี้มาถึงที่อาศัยของน้องชาย เขาเคาะประตูแล้วพูดขึ้น

“เฟิงหลิง บ้านสกุลหลงเป็นคนเชิญ หลงหลิหลีเป็นคนเชิญเองเลยนะ ไปด้วยกันกับพี่ดีไหม” จ้านเฟิงอวี้พูดต่อ ไม่มีเสียงตอบรับอยู่นาน นานจนตอนที่เขาคิดที่จะยอมแพ้

“พี่ไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่ หลิวหลีเป็นคนเชิญหรือ” ประตูถูกเปิดออก จ้านเฟิงหลิงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายปรากฏตัวขึ้น

“พี่ไม่หลอกเจ้าหรอก” จ้านเฟิงอวี้มองดูน้องชายที่คล้ายคนตายทั้งเป็น ความผิดของเขาในตอนนั้นเกินไปจริงๆ

“ได้ ข้าจะไป”

ณ บ้านสกุลหลง หลงจิ่งอู๋มองดูสาวใช้ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมของ ท่านพ่อตามใจหลิวหลีให้นางทำแบบนี้จะดีหรือ

“พี่ใหญ่ เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” หลงเหวินเซวียนเดินมาสังเกตการณ์

“ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านพ่อ เพียงแต่ท่านทำตามที่นังหนูบอกแบบนี้จะดีหรือ” หลงจิ่งอู๋ก็ยังถามสิ่งที่กังวลในใจออกมา

“จะมีปัญหาอะไร ใครกล้าบอกว่าไม่ดี ข้าจะบริการด้วยไม้หน้าสามเลย” หลงเหวินเซวียนยกนิ้วชอบใจในความคิดของหลิวหลี ลูกชายทั้งสามคนกลับไม่เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ได้ผ่านเพราะท่านพ่อยกให้ผ่านเพียงคนเดียว เรื่องเกี่ยวข้องกับความสุขของลูกสาวเขา วิธีของหลิวหลีวิธีนี้ก็ไม่เลว

ก็ได้ ในเมื่อท่านพ่อพูดขนาดนี้แล้ว เขาเงียบไว้น่าจะดีกว่า

ส่วนจ้านเฟิงอวี้กับจ้านเฟิงหลิงมาถึงสกุลหลงก็พบว่ามีการประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงาม งานเลี้ยงสังหารทำราวเป็นงานมงคล นี่จะเป็นโทษหนักขนาดไหนกัน

“ผู้นำสกุลจ้านกับท่านผู้อาวุโสจ้านใช่หรือไม่” ผู้รักษาประตูท่าทางกระฉับกระเฉงคนหนึ่งเข้ามาสอบถาม

“ใช่”

“ผู้นำสกุลจ้านเชิญตามข้าน้อยมาทางด้านนี้ อีกสักครู่คุณชายสามจะพาผู้อาวุโสจ้านไปยังอีกที่หนึ่ง”

“ทำไมต้องแยกกันด้วย?” จ้านเฟิงอวี้ขมวดคิ้ว คนสกุลหลงคิดจะทำอะไรกันแน่

“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน” ผู้รักษาประตูได้รับคำสั่งมาเพียงเท่านี้

“ผู้นำสกุลจ้านอย่าสร้างความลำบากใจให้เด็กมันเลย ไม่ต้องเป็นห่วง เราไม่ทำอะไรผู้อาวุโสจ้านหรอก ผู้อาวุโสจ้าน ท่านกล้าไปกับข้าหรือไม่” หลงจิ่งหลินมองจ้านเฟิงหลิงแล้วพูดขึ้น ตอนนั้นคนผู้นี้ถือเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ราวกับไม่มีชีวิต

“จะไปหาหลิวหลี” จ้านเฟิงจวินไม่คิดขยับเขยื้อน

“ย่อมต้องไปพบหลิวหลี ส่วนพี่ชายเจ้าไปพบท่านพ่อของข้า” หลงจิ่งหลินอธิบาย

“นำทางไป” เมื่อได้ยินว่าให้ไปพบหลิวหลี จ้านเฟิงหลิงก็ยอมเดินตาม

“ลูกแม่ ทำแบบนี้จะดีหรือ” หลงซินเยว่มองตัวเองที่แต่งตัวเป็นหลิวหลีอีกครั้ง นังหนูนี้คงเล่นจนติดใจ

“ดีสิท่านแม่ เพียงแต่ท่านแม่ คราวนี้ท่านต้องอดทน ถ้าความแตกอีก ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” หลิวหลีคิดอะไรออกก็กำชับท่านแม่ไป

“รู้แล้ว” นางนึกว่านางปลอมได้ค่อนข้างเหมือน แต่นึกไม่ถึงว่าความจะแตกต่อหน้าท่านพ่อ หลงซินเยว่นึกถึงท่านพ่อที่หัวเสียในตอนนั้น ก็รู้สึกอบอุ่นใจบอกไม่ถูก

“เพียงแต่ว่าหลิวหลี ครั้งนี้เจ้าห้ามซนนะ” หลงซินเยว่เหมือนจะคิดอะไรออก แล้วก็พูดกำชับออกไป นางนึกไม่ถึงเลยว่าถ้าตอนนั้นพ่อของนางไม่รู้เสียก่อน นังหนูยังมีแผนอื่นเตรียมไว้อีก

“วางใจเถอะ คราวนี้ข้าจะให้อาเลี่ยไปกับท่าน ข้าจะไปเจอผู้นำสกุลจ้านกับท่านตา” ปรึกษาหารือเรื่องสินสอดทองหมั้น แม่ของนางเป็นถึงองค์หญิงของสกุลหลง เรื่องสินสอดทองหมั้นจะต้องคุยกันให้ดี

หลิวหลีจัดการทุกอย่างให้มารดาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กำชับเอ๋าเลี่ยว่า นอกจากทั้งสองคนจะทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนแม่ของนางเสียเปรียบแล้วค่อยปรากฏตัว ให้ยืนดูก็พอ

“พี่เหวินเซวียน ท่านบอกว่า ท่านเชิญข้ามาชมจันทร์งั้นหรือ” จ้านเฟิงอวี้ทำสีหน้าประหลาด ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเขาก็มาชมจันทร์เหมือนพวกมนุษย์ธรรมดาด้วยหรือ หลงเหวินเซวียนคิดจะทำอะไรกันแน่

“ใช่แล้ว พี่เฟิงอวี้ การชมจันทร์เป็นบรรยากาศ ส่วนเรื่องที่จะพูดคุย ค่อยๆพูดกันก็ได้” หลงเหวินเซวียนพูดเสียงนิ่ง

“มีเรื่องจะพูดคุยหรือ พี่เหวินเซวียน พูดเถอะ อยากจะจัดการกับข้าอย่างไร ข้ายอมทุกอย่าง เพียงแต่เฟิงหลิงไม่รู้เรื่อง ปล่อยเขาไปได้หรือไม่” จ้านเฟิงอวี้อ้อนวอน ในที่สุดก็มาถึงฉากสำคัญของงานเลี้ยงสังหารแล้วหรือ

“เรื่องนี้อีกครู่หนึ่งค่อยคุยกัน” รอดูท่าทีของลูกสาวเขาก่อน แล้วค่อยว่ากัน

หลงจิ่งหลินพาจ้านเฟิงหลิงมาถึงตำหนักของหลงซินเยว่

“เข้าไปเถอะ หลิวหลีรอเจ้าอยู่ด้านใน” หลงจิ่งหลินกล่าว จ้านเฟิงหลิงเดินผ่านเขาเข้าไปหน้าตาเฉย

“ถ้าต้องได้คนผู้นี้เป็นน้องเขย เจ้าจะต้องสร้างด่านทดสอบ 180 ด่านเพื่อไม่ให้เขามาสู่ขอน้องสาวได้สำเร็จ นี่เป็นท่าทีที่ปฏิบัติต่อพี่ชายในอนาคตหรือ” หลงจิ่งหลินไม่พอใจ น้องสาวของเขาออกจะอ่อนโยน ชอบท่อนไม้เช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อจ้านเฟิงหลิงเข้าไป ก็เห็น ‘หลิวหลี’ นั่งอยู่ตรงนั้น สายตาเฉยชาเกิดความเคลื่อนไหวน้อยๆ

“หลิวหลี” จ้านเฟิงหลิงตะโกนขึ้น เสียงที่แหบแห้งทำให้หลงซินเยว่รู้สึกปวดใจ

“เจ้ามาแล้วหรือ นั่งลงก่อน” ‘หลิวหลี’ พยักหน้าเชื้อเชิญ

“เจ้าเหมือนแม่ของเจ้าเหลือเกิน” จ้านเฟิงหลิงกล่าว จริงด้วยสองแม่ลูกหน้าตาเหมือนกันมาก

“ใครๆก็พูดเช่นนั้น” ‘หลิวหลี’ พยักหน้า ฟังจากที่หลิวหลีเล่า ครั้งแรกที่หลิวหลีมาสกุลหลง ทุกคนต่างก็คิดว่านางกลับมาแล้ว

“ได้เจอเจ้ามันดีมากจริงๆ ข้าไม่ต้องเป็นกังวลอะไรแล้ว” น้ำเสียงของจ้านเฟิงหลิงแฝงด้วยความอบอุ่น แล้วยังมีอย่างอื่นแฝงอยู่

“เจ้าอยากจะเจอข้าหรือ” หลงซินเยว่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“ข้านึกว่าข้าจะต้องอยู่เป็นโสดไปจนแก่ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีลูก” อีกทั้งยังเป็นลูกสาวที่เก่งกาจ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการเติบโตของนาง

“โสดไปจนแก่ เจ้าไม่ได้แต่งงานกับจ้านเฟิงจวินแล้วหรือ” หลงซินเยว่อดถามไม่ได้

“ไม่เลย ข้าจะทำผิดต่อแม่ของเจ้าได้อย่างไร ตอนนั้นที่ฟื้นขึ้นมานั้น ข้างกายคือจ้านเฟิงจวิน ข้าเลยคิดว่าข้าได้เสียกับนางแล้ว จึงรู้สึกผิดต่อแม่ของเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าอยากจะสำเร็จโทษตัวเอง แต่ถูกพี่ใหญ่ขวางไว้ พี่ใหญ่ให้ข้าแต่งงานกับจ้านเฟิงจวิน ข้าไม่ยอม ข้าอยู่อย่างนั้นไป 6 ปี จนกระทั่งได้ยินว่าโคมวิญญาณของแม่เจ้าดับไป ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสติอีกทีขึ้นมาในตอนไหน” จ้านเฟิงหลิงพูดพลางส่ายหัว

“ทำไมเจ้าไม่แต่งงาน โคมวิญญาณของแม่ข้าดับไปแล้ว” หลงซินเยว่ถามต่อ คนก็จากโลกนี้ไปแล้ว ยังจะจมปลักอยู่เพื่ออะไร

“เป็นใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากแม่ของเจ้า วันนี้เห็นว่าเจ้ามีความสามารถขนาดนี้ ข้าก็ไม่เป็นห่วงอะไรแล้ว”

เอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างๆมองออกอย่างชัดเจน คนผู้นี้มีความคิดอยากตาย ควรจะบอกนังหนูหน่อยดีไหม

“หากท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ พลังบำเพ็ญเพียรสู้เจ้าไม่ได้ เจ้าจะยังต้องการนางอยู่หรือไม่” หลงซินเยว่ถามคำถามที่นางอยากรู้มากที่สุด และเป็นปัญหาที่นางกังวลใจมากที่สุด

“เรื่องพลังบำเพ็ญเพียรไม่ใช่ปัญหา หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ให้แม่ของเจ้าเอาของข้าไปก็ได้ ข้าพร้อมบำเพ็ญเพียรไปพร้อมนาง น่าเสียดาย นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติเท่านั้น”

จ้านเฟิงหลิงรู้สึกว่าเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรอะไรเขาไม่สนใจหรอก แต่ว่ามันก็เป็นได้เพียงแค่เรื่องสมมติเท่านั้น

เอ๋าเลี่ยสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของจ้านเฟิงหลิง ถึงขนาดมีความคิดเช่นนี้ คนผู้นี้ให้ความสำคัญกับความรักมากจริงๆ

“เจ้ามีความคิดเช่นนี้เลยหรือ” หลงซินเยว่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นอย่างมาก อาหลิงของนางต้องการแค่นางเท่านั้น หลงซินเยว่กัดปากน้อยๆ มือก็กำชายเสื้อไว้แน่น

จ้านเฟิงหลิงสังเกตท่าทางของ ‘หลิวหลี’ เหมือนกับแม่ของนางไม่มีผิด เมื่อเริ่มตื่นเต้นก็จะกัดริมฝีปาก บิดชายเสื้อ จ้านเฟิงหลิงแอบยิ้มออกมาน้อยๆ

หลงซินเยว่ไม่ล่วงรู้ว่าท่าทางของตนเองเกือบทำให้ความแตก

ส่วนฟากหลงเหวินเซวียนก็ชวนจ้านเฟิงอวี้พูดคุยเรื่อยเปื่อย คุยจนไม่มีอะไรจะคุยแล้ว ยังต้องรออีกนานแค่ไหน

หลิวหลีลองคำนวนเวลาดู ท่านพ่อท่านแม่คงจะไปถึงฉากสำคัญกันแล้วใช่ไหม

หนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังเข้าฌาน พอออกฌานได้ยินว่าหลิวหลีกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไปก่อเรื่องใหญ่มาอีกด้วย เขาตัดสินใจจะไปหาว่าที่ฮูหยินของเขาเสียหน่อย นางเข้าฌานไป 10 ปี พอออกมาก็ไม่อยู่เฉย ไม่ไปหาตัวเองอีก จำเป็นต้องยอมรับว่าเขารู้สึกหึงหวงขึ้นมาเล็กน้อย

หลิวหลียังไม่รู้ว่าหนานกงเวิ่นเทียนจะมา

ส่วนฟากจ้านเฟิงหลิงยิ่งคุยกับ ‘หลิวหลี’ ก็ยิ่งรู้สึกว่า ทำไมเด็กคนนี้เหมือนหลงซินเยว่มากขึ้นไปทุกที เขาเคยเห็นนังหนูหลิวหลีมาก่อน นางหัวรั้นเสียจนกิเลน 10 ตัวก็ฉุดไม่อยู่ จ้านเฟิงหลิงที่ถึงแม้หัวใจจะตายด้านไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกสงสัย ทันใดนั้น จ้านเฟิงหลิงก็แกล้งทำเป็นไม่สบาย หลงซินเยว่ก็พลาดท่าในทันที

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” แววตาของหลงซินเยว่เต็มไปด้วยความร้อนรน

“เจ้าไม่ใช่หลิวหลี เจ้าคือซินเยว่” จ้านเฟิงหลิงจับมือหลงซินเยว่แน่น แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดจะทำอะไรหลิวหลี” หนานกงเวิ่นเทียนโมโห

“แย่แล้ว” เอ๋าเลี่ยมัวแต่ดูจนไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าเด็กนี่โผล่มา นี่ไม่ได้มาสร้างปัญหาเพิ่มหรือนี่

หลิวหลีที่อยู่ไม่ไกลคิดว่าจะมาแอบดูเสียหน่อย ก็ได้ยินเสียงเข้า “แย่แล้ว ทำไมเสี่ยวเทียนมาที่นี่” รีบสาวเท้าไปด้วยความรวดเร็ว

“เสี่ยวเทียน หยุดเดี๋ยวนี้”

“เด็กน้อยสกุลหนานกง หยุดเดี๋ยวนี้”

หลิวหลีกับเอ๋าเลี่ยออกมาห้ามหนานกงเวิ่นเทียนไว้พร้อมกัน

หนานกงเวิ่นเทียนลองมองดีๆ “หลิวหลี ถ้าอย่างนั้นนางเป็นใคร” หนานกงเวิ่นเทียนมอง ‘หลิวหลี’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

“เสี่ยวเทียน เจ้าเกือบทำให้แผนของข้าพังแล้ว” หลิวหลีดึงหนานกงเวิ่นเทียนไว้

มองพ่อแม่นางที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เอาเถอะ ไม่ใช่ธุระอะไรของนางแล้ว นางสามารถไปคุยเรื่องสินสอดกับผู้นำสกุลจ้าน อย่างไรเสียก็ถือว่าสำเร็จได้ด้วยดี

“เสี่ยวเทียน อาเลี่ย พวกเราไป” หลิวหลีพาหนานกงเวิ่นเทียนกับเอ๋าเลี่ยค่อยๆ ออกไป จริงๆแล้วถึงนางจะทำเสียงดังหน่อยก็คงจะไม่เป็นไรเช่นกัน

“เสี่ยวเทียน ทำไมวันนี้เจ้ามาที่นี่ล่ะ” หลิวหลีถามด้วยความสงสัย แถมมาตอนกลางคืนด้วย

“ก็มีนังหนูใจร้ายก่อเรื่องใหญ่โตแล้วก็ไม่ยอมไปหาข้า ข้าก็เลยต้องมาดูนังหนูใจดำคนนั้นด้วยตัวของข้าเอง” หนานกงเวิ่นเทียนสงบลงได้ ก็เริ่มพูดเหน็บแนมหลิวหลี

“ข้ากลับไปถามมาแล้ว เขาบอกว่าเจ้าเข้าฌานอยู่” หลิวหลีพูดพลางทำปากยื่น

“เป็นความผิดของข้าเอง หลิวหลีแล้วคนเมื่อครู่คือ…” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ยินดีด้วยเสี่ยวเทียน เจ้าได้ทำการล่วงเกินพ่อตากับแม่ยายในอนาคตของเจ้าสำเร็จแล้ว”

“หา” หนานกงเวิ่นเทียนนิ่งไป เหมือนเมื่อครู่เขาได้ทำเรื่องที่โง่เง่าที่สุดลงไป

 ………………………….