หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.435 – โลกอันแห้งแล้ง
“ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนมายังลูกศิษย์เจ้าจริงๆ -กลยุทธ์นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ฉินรั่วกล่าว
“ก็แค่โชคช่วยน่ะ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูโครงสร้างของทั่วทั้งห้อง
ฉีหยานเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงบุตรชายของผู้นำนิกาย แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่ห้องของเขากลับแลดูสามัญยิ่ง
กู่ฉิงซานมิได้เห็นสิ่งใดที่มันมหัศจรรย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการเลย
สิ่งเดียวที่ดูน่าสนใจก็คือหยกวิญญาณที่เป็นรูปสลัก
กู่ฉิงซานเดินไปที่โต๊ะและหยิบเอาหยกที่สลักเป็นรูปคางคกขึ้นมา
หยกคางคกนี้นับว่าเป็นหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีทีเดียว ภายในได้ได้แกะสลักไว้ด้วยค่ายกลพลังกักวิญญาณขนาดเล็ก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันเองสามารถสะสมพลังวิญญาณได้ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธสามารถดูดซับมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ
กู่ฉิงซานเพียงถือมันไว้ในมือ ตนก็สัมผัสได้ในทันทีถึงพลังงานวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เจาะเข้ามาในรูขุมขน
“ช่างเป็นสิ่งที่ดี!” เขาเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง
ตลอดทั้งห้อง หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเข้าตา
“ยังมีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา มิใช่ว่าโลกใบนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นั่นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่มันก็มิใช่ว่าจะไม่มีของดีๆหลงเหลืออยู่เลย ดั่งเช่นสิ่งที่เจ้าถืออยู่ นั่นน่ะเป็นของสะสมที่ฉีหยานโปรดปรานมากที่สุด และเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้มัน” ฉินรั่วตอบ
กู่ฉิงซานวางหยกคางคกลง และหยิบพัดใบหนึ่งขึ้นมา
พัดถูกคลี่ออก เผยให้เห็นถึงภาพวิหารเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ประดับประดาด้วยหยกสลักอันงดงาม
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อจ้องมองมาที่เขา เพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าการแสดงออกของเขา
เมื่อเพ่งพินิจลวดลายภาพจบ กู่ฉิงซานก็หุบพัดลง ก่อนจะกางออกอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นมาพัดอย่างแผ่วเบา
“ใช่ นั่นแหละเขาล่ะ” ฉินรั่วกล่าว
“แต่นี่มิใช่ตัวข้าเลย” กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างสลด
แต่ในขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งขึ้นจากด้านนอกประตู
เสียงนั้นทั้งเล็กและเบามาก ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉีหยาน
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะผ่านทางหน้าต่างออกไป และเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังถือกล่องใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลานประตู
พวกเขาโค้งกายคารวะแล้วค่อยๆถอยฉากไป
กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับมา ปากเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลารับผลประโยชน์รายเดือนของนิกายแล้วหรือ?”
“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่มันก็อยู่ในช่วงระหว่างวันสองวันนี้นี่แหละ อ๊ะจริงสิ รู้สึกว่าคราวนี้จะมีเม็ดยารักษารวมอยู่ด้วยล่ะ!” ว่านเอ๋อหันไปมองฉินรั่วที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวังอยู่
“ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงแค่มาถึงไม่นาน ก็จะได้รับผลประโยชน์ราวกับส้มหล่นเช่นนี้” กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา
ว่านเอ๋อกล่าว “ข้าจะเป็นคนไปรับมันเอง”
เธอผลักประตูห้องออกไป ย่างผ่านลานกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกล่องที่วางอยู่หน้าลานประตูเข้ามา
ไม่นานนัก กล่องใบหนึ่งก็ถูกเปิดออกต่อหน้าทั้งสี่คน
ภายในมีขวดยารักษาอยู่หลายใบ
ถุงเก็บศิลาวิญญาณขนาดเล็ก
ใบหยก
นั่นคือทั้งหมดที่มี
ว่านเอ๋อหยิบถุงเก็บศิลาวิญญาณออกมาวางบนมือ แล้วลองขยับขึ้นๆลงๆกะน้ำหนักมันดู
“คราวนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าภายในจะบรรจุศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไว้ตั้ง 60 ก้อนแน่ะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
หือ? เมื่อกี้กระไรนะ ได้ยินแว่วๆว่า 60 ก้อนศิลาวิญญาณ …
กู่ฉิงซานก้มลองมองดูสิ่งที่บรรจุมาภายในกล่อง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันเป็นเวลานาน
ห้ามลืมนะว่าฉีหยานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุุดความว่างเปล่า เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักของนิกายกวงหยาง แล้วเหตุใดศิลาวิญญาณที่ได้รับในทุกๆเดือนถึงได้เล็กจ้อยเช่นนี้?
ทั้งๆที่หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วมอบศิลาวิญญาณให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์แต่ละครั้ง พวกมันจะถูกยัดลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็มถุง
และจำนวนศิลาวิญญาณที่เต็มถุงนั่นก็คือ 100000 ก้อน!
ส่วนเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป ยันต์ อาหารวิญญาณ และแม้กระทั่งอาวุธเครื่องแต่งกาย นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังตระเตรียมการไว้โดยพร้อมสำหรับเหล่าลูกศิษย์
มันมากมายจนทุกครั้ง ฉินเซี่ยวโหลวต้องบ่นออกมาว่าท่านอาจารย์คงคิดเสแสร้งเอาใจเขาเพื่อที่จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างขู่บังคับเขาเป็นแน่
และไอ้ที่ว่าขู่บังคับน่ะ ก็คงจะไม่พ้นการให้ฉินเซี่ยวโหลวจะต้องออกมาฝึกยุทธกับเจ้าห่านขาว ไม่ก็นางเซียนด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ยังพอจะอธิบายได้อีกด้วยว่าผลประโยชน์รายเดือนของนิกายร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน
ช่างตรงกันข้ามกับโลกของฉีหยาน ที่ดูเหมือนว่าทรัพยากรจะเหือดแห้งจนสิ้นแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ทรัพยากรในโลกล่องเวหาขาดแคลนถึงระดับนี้เชียวหรือ”
“ถูกต้อง ในเมื่อผืนดินไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นเรื่องทรัพยากรฝึกยุทธยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง” ฉินรั่วกล่าว
“ช่วงเวลานี้ นิกายทั้งหมดล้วนประทังชีวิตรอดด้วยทรัพยากรที่ตนปล้นและเก็บสำรองมาจากในครั้งอดีต”
กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เดิมที เขาคิดว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกที่เหมาะกับการฝึกยุทธระดับสูง เห็นได้จากอารยธรรมต่างๆของพวกเขาที่แสนจะร้ายกาจและดูหวือหวา แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆแล้วมันมิใช่เช่นนั้น
นี่มันเป็นโลกที่แห้งแล้ง และใกล้จะถึงจุดจบแล้วต่างหาก
เหตุผลแท้จริงแล้วก็คงจะไม่พ้นเรื่องของอสูรกาย
ก่อนที่มารโลกายังมาไม่ถึงโลกใบนี้ โลกล่องเวหาจะต้องเป็นเป็นอะไรที่ทรงพลังและเจริญรุ่งเรืองมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถพิชิตโลกต่างๆ หรือให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธที่น่าสะพรึงขึ้นมากมายขนาดนี้หรอก
ทว่าเมื่อมารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นทันที
แล้วถ้าหากมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกของพวกกู่ฉิงซานล่ะ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างกันรึเปล่า?
กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว
แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินรั่วเอาแต่จ้องมองมายังขวดเม็ดยารักษาขวดหนึ่ง พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย
กู่ฉิงซานจึงหยิบขวดยาที่ว่านั่นขึ้นมาดู
เขาเปิดจุกออก และเทเม็ดยาไม่กี่เม็ดลงมา แล้วยื่นจมูกไปสูดดม แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่เม็ดยารักษาธรรมดาๆเท่านั้น
“เจ้าต้องการสิ่งนี้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ฉินรั่วกำลังจะกล่าว แต่ว่านเอ๋อก็ชิงตอบแทนเสียก่อน “พี่สาวน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน ครั้งหนึ่งพี่สาวเคยพยายามที่จะช่วยเหลือพวกทาส แต่ก็ถูกฉีหยานจับได้ เขาจึงลงโทษเธอโดยการให้คุกเข่าอยู่บนเปลวไฟหยินเป็นเวลานาน”
“และเนื่องด้วยพลังวิญญาณที่ถูกพันธนาการ แถมยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของพี่สาวจึงยังไม่หายดีนับตั้งแต่นั้นมา”
กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ
“เปลวไฟหยิน? นั่นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณา แต่ว่ายารักษาขวดนี้ … มันไม่เหมาะสมกับเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด
ว่านเอ๋อนิ่งงันไป
ขณะที่สายตาคาดหวังของฉินรั่วหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เธอพยักหน้ารับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเม็ดยารักษาเหล่านี้ เจ้าจึงสมควรที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้งานเอง”
“ข้ามิได้หมายความแบบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาโยนขวดยารักษากลับลงไปในกล่องและตบลงบนถุงสัมภาระของตนเอง
ควานหาอยู่สักพักจึงหยิบขวดยาเล็กๆสีเขียวขึ้นมา แล้ววางมันลงบนมือของฉินรั่ว
“ใช้สิ่งนี้สิ” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉินรั่วพอสัมผัสได้ถึงมันก็สั่นสะท้าน
ว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเร่งวิ่งไปคว้ามันแล้วเปิดจุกออก
ทันใดนั้นกลิ่นยาอันทรงประสิทธิภาพก็ฟุ้งออกมาจากขวด
ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง
“ข้ามิได้สัมผัสกับเม็ดยาระดับสูงเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว – ว่าแต่นี่คือยาอะไรกัน?”
ว่านเอ๋อเอ่ยถามออกมา จมูกของเธอขยับฟุดฟิดๆ พยายามดูดซับประสิทธิภาพของยาที่ลอยฟุ้งออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอมิได้แลดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างจะน่ารักทีเดียว
แต่ด้วยฐานะที่เป็นสาวใช้ พวกเธอจึงแทบไม่ได้รับทรัพยากรไว้ใช้ฝึกยุทธเลย
กู่ฉิงซานตอบไปว่า “มันคือ ‘เม็ดยาเจ็ดปฏิวัติ’ มีคุณสมบัติสามารถรักษาพิษไฟทั้งหมด ฟื้นฟูความเสียหายจากธาตุทั้งห้าและเพิ่มพูนพลังธาตุ”
สีหน้าของฉินรั่วเผยแววถวิลหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะผลักมันกลับคืนสู่มือของกู่ฉิงซาน
“เม็ดยานี้ย่อมต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังพอสามารถฝืนทนได้” เธอกล่าว
“เจ้านั่นแหละรับมันไปเถอะ ข้ามีเม็ดยาชนิดนี้มากพอที่ข้าต้องการเลยล่ะ” กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา ตนได้ใช้เจ็ดดารา มังกรแหวกธาราออกมาอย่างไม่เต็มใจ จนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
และหลังจากบุกเข้าสู่โลกเทวะ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จนจำต้องไปรักษาตัวเองในถังยา
และหลังจากนั้นมา นางเซียนไป่ฮั่วก็จับยัดเม็ดยารักษาลงในถุงสัมภาระของเขาจนกองพะเนิน
ต่อมา นางเซียนไป่ฮั่วมีลางสังหรณ์ว่าตนกำลังจะตกตาย จึงใส่ทุกสิ่งอย่างลงในถุงหอมหลากสี แล้วมอบมันให้แก่เขา
ต้องรู้นะว่านางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือตัวตนระดับสูงสุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทรัพยากรที่เธอครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้
ดังนั้นขวดเม็ดยาเจ็ดปฏิวัตินี้ สำหรับกู่ฉิงซานแล้วจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย
ฉินรั่วเฝ้ามองเขาด้วยความลังเล และพยายามที่จะจับผิดถึงความคิดที่แท้จริงของเขา
กู่ฉิงซานที่รู้สึกราวกับกำลังจะถูกสอบสวนก็ได้วางขวดยาลงในมือเธออีกรอบ แล้วใช้อีกมือของตนค่อยๆหุบนิ้วมือของอีกฝ่ายลงมากุมขวดยา ปากเอ่ยกล่าว “ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ และฟันฝ่าสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันก็เท่านั้นเอง”
“ตกลง ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าก็จะขอเก็บขวดยารักษานี้เอาไว้เอง” ฉินรั่วกล่าว
ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาว วางใจเถอะ ท่านควรจะทราบนะว่าเขาน่ะเป็นคนดี เขาถึงขั้นยอมแลกชีวิตตนเองเพื่อช่วยอาจารย์ตนเชียวนะ”
ฉินรั่วพยักหน้า
ส่วนกู่ฉิงซานก็หันไปหยิบใบหยกออกมาจากกล่อง
เขาส่งจิตสัมผัสเทวะลงไปในใบหยก แล้วทันใดนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับนิกายเมื่อเร็วๆนี้
ลั่วชาเฟิง นิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ กำลังจะมาเยี่ยมเยือน
ส่วนอาวุโสสูงสุดยัก็งคงปิดด่านรักษาตนอยู่ และเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา จนกว่านิกายลั่วชาเฟิงจะมาถึง
ขณะที่ผู้นำนิกายกวงหยางเอง ก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์
—ขณะที่ไม่มีใครกล้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เพราะมันจะถูกตรวจพบโดยมารโลกาทันที
เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก
แต่กลับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆภายในนั้นที่ได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานแทน
มันคือเรื่องที่ตำหนักเจียงซีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บทรัพยากรของนิกาย และตำหนักหนิงเยว่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกในนิกาย ร่วมกันประกาศสิ่งหนึ่งออกมา
นั่นคือผลประโยชน์รายเดือนของเหล่าสาวก ซึ่งก็คือศิลาวิญญาณที่โดยปกติก็ได้รับเพียงเล็กน้อยอยู่แล้ว จะถูกมอบให้ในภายหลัง
ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะนิกายลั่วชาเฟิงกำลังจะมาเยี่ยมเยือน ทางนิกายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานต้อนรับ
ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำหนักเจียงซีจึงต้องทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำการรับรองพวกเขา และไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณ
ขณะที่เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาถึง ตำหนักหนิงเยว่ก็จะเป็นผู้รับหน้าและจัดการแข่งขันประจำนิกายขึ้นอีกด้วย
การแข่งขันในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมรางวัลที่ดีมากพอที่จะดึงดูดสาวกทั้งหมดให้เข้าต่อร่วมเพื่อชิงตำแหน่ง!
แล้วหลังจากที่เรื่องราวที่ว่ามานี้จบลง ทางนิกายก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และตำหนักเจียงซีก็จะเริ่มจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณของเดือนนี้ทันที
กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาข้อมูลนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่ามันแตกต่างจากที่เขาคิด
การแข่งขันที่จัดขึ้นนี้ แท้จริงแล้วมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทดสอบหกศิลป์ของผู้ฝึกยูทธในนิกายต่างหาก
ทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ นี่คือหกศิลป์
ในบรรดาหกศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิกายก็คงจะไม่พ้น ‘ค่ายกล’
แต่สำหรับขอบเขตวรยุทธและการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะนั้น มันมิได้มีรวมอยู่ในการทดสอบเลย
กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
นิกายของโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าจะมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานวรยุทธของเหล่าสาวกอีกต่อไปแล้ว
มีพื้นฐานวรยุทธสูงแล้วมันจะดียังไง?
สำหรับนิกายแล้ว วรยุทธคุณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคุณ แถมยังต้องคอยป้องกันคุณไม่ให้คอยแข่งขันแย่งชิงอำนาจอีก
แต่ในทางตรงกันข้าม หกศิลป์กลับเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้นิกายเจริญยิ่งขึ้น!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ค่ายกล’
เพราะหากโลกนี้ไม่มีค่ายกล สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ก็คงจะล้มหายตายจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว