หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.435 – โลกอันแห้งแล้ง

 

“ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนมายังลูกศิษย์เจ้าจริงๆ -กลยุทธ์นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ฉินรั่วกล่าว

 

“ก็แค่โชคช่วยน่ะ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูโครงสร้างของทั่วทั้งห้อง

 

ฉีหยานเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงบุตรชายของผู้นำนิกาย แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่ห้องของเขากลับแลดูสามัญยิ่ง

 

กู่ฉิงซานมิได้เห็นสิ่งใดที่มันมหัศจรรย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการเลย

 

สิ่งเดียวที่ดูน่าสนใจก็คือหยกวิญญาณที่เป็นรูปสลัก

 

กู่ฉิงซานเดินไปที่โต๊ะและหยิบเอาหยกที่สลักเป็นรูปคางคกขึ้นมา

 

หยกคางคกนี้นับว่าเป็นหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีทีเดียว ภายในได้ได้แกะสลักไว้ด้วยค่ายกลพลังกักวิญญาณขนาดเล็ก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันเองสามารถสะสมพลังวิญญาณได้ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธสามารถดูดซับมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ

 

กู่ฉิงซานเพียงถือมันไว้ในมือ ตนก็สัมผัสได้ในทันทีถึงพลังงานวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เจาะเข้ามาในรูขุมขน

 

“ช่างเป็นสิ่งที่ดี!” เขาเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง

 

ตลอดทั้งห้อง หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเข้าตา

 

“ยังมีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา มิใช่ว่าโลกใบนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“นั่นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่มันก็มิใช่ว่าจะไม่มีของดีๆหลงเหลืออยู่เลย ดั่งเช่นสิ่งที่เจ้าถืออยู่ นั่นน่ะเป็นของสะสมที่ฉีหยานโปรดปรานมากที่สุด และเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้มัน” ฉินรั่วตอบ

 

กู่ฉิงซานวางหยกคางคกลง และหยิบพัดใบหนึ่งขึ้นมา

 

พัดถูกคลี่ออก เผยให้เห็นถึงภาพวิหารเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ประดับประดาด้วยหยกสลักอันงดงาม

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อจ้องมองมาที่เขา เพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าการแสดงออกของเขา

 

เมื่อเพ่งพินิจลวดลายภาพจบ กู่ฉิงซานก็หุบพัดลง ก่อนจะกางออกอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นมาพัดอย่างแผ่วเบา

 

“ใช่ นั่นแหละเขาล่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

“แต่นี่มิใช่ตัวข้าเลย” กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างสลด

 

แต่ในขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งขึ้นจากด้านนอกประตู

 

เสียงนั้นทั้งเล็กและเบามาก ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉีหยาน

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะผ่านทางหน้าต่างออกไป และเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังถือกล่องใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลานประตู

 

พวกเขาโค้งกายคารวะแล้วค่อยๆถอยฉากไป

 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับมา ปากเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลารับผลประโยชน์รายเดือนของนิกายแล้วหรือ?”

 

“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่มันก็อยู่ในช่วงระหว่างวันสองวันนี้นี่แหละ อ๊ะจริงสิ รู้สึกว่าคราวนี้จะมีเม็ดยารักษารวมอยู่ด้วยล่ะ!” ว่านเอ๋อหันไปมองฉินรั่วที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวังอยู่

 

“ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงแค่มาถึงไม่นาน ก็จะได้รับผลประโยชน์ราวกับส้มหล่นเช่นนี้” กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา

 

ว่านเอ๋อกล่าว “ข้าจะเป็นคนไปรับมันเอง”

 

เธอผลักประตูห้องออกไป ย่างผ่านลานกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกล่องที่วางอยู่หน้าลานประตูเข้ามา

 

ไม่นานนัก กล่องใบหนึ่งก็ถูกเปิดออกต่อหน้าทั้งสี่คน

 

ภายในมีขวดยารักษาอยู่หลายใบ

 

ถุงเก็บศิลาวิญญาณขนาดเล็ก

 

ใบหยก

 

นั่นคือทั้งหมดที่มี

 

ว่านเอ๋อหยิบถุงเก็บศิลาวิญญาณออกมาวางบนมือ แล้วลองขยับขึ้นๆลงๆกะน้ำหนักมันดู

 

“คราวนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าภายในจะบรรจุศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไว้ตั้ง 60 ก้อนแน่ะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

หือ? เมื่อกี้กระไรนะ ได้ยินแว่วๆว่า 60 ก้อนศิลาวิญญาณ …

 

กู่ฉิงซานก้มลองมองดูสิ่งที่บรรจุมาภายในกล่อง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันเป็นเวลานาน

 

ห้ามลืมนะว่าฉีหยานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุุดความว่างเปล่า เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักของนิกายกวงหยาง แล้วเหตุใดศิลาวิญญาณที่ได้รับในทุกๆเดือนถึงได้เล็กจ้อยเช่นนี้?

 

ทั้งๆที่หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วมอบศิลาวิญญาณให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์แต่ละครั้ง พวกมันจะถูกยัดลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็มถุง

 

และจำนวนศิลาวิญญาณที่เต็มถุงนั่นก็คือ 100000 ก้อน!

 

ส่วนเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป ยันต์ อาหารวิญญาณ และแม้กระทั่งอาวุธเครื่องแต่งกาย นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังตระเตรียมการไว้โดยพร้อมสำหรับเหล่าลูกศิษย์

 

มันมากมายจนทุกครั้ง ฉินเซี่ยวโหลวต้องบ่นออกมาว่าท่านอาจารย์คงคิดเสแสร้งเอาใจเขาเพื่อที่จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างขู่บังคับเขาเป็นแน่

 

และไอ้ที่ว่าขู่บังคับน่ะ ก็คงจะไม่พ้นการให้ฉินเซี่ยวโหลวจะต้องออกมาฝึกยุทธกับเจ้าห่านขาว ไม่ก็นางเซียนด้วยตนเอง

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ยังพอจะอธิบายได้อีกด้วยว่าผลประโยชน์รายเดือนของนิกายร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน

 

ช่างตรงกันข้ามกับโลกของฉีหยาน ที่ดูเหมือนว่าทรัพยากรจะเหือดแห้งจนสิ้นแล้ว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ทรัพยากรในโลกล่องเวหาขาดแคลนถึงระดับนี้เชียวหรือ”

 

“ถูกต้อง ในเมื่อผืนดินไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นเรื่องทรัพยากรฝึกยุทธยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง” ฉินรั่วกล่าว

 

“ช่วงเวลานี้ นิกายทั้งหมดล้วนประทังชีวิตรอดด้วยทรัพยากรที่ตนปล้นและเก็บสำรองมาจากในครั้งอดีต”

 

กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

เดิมที เขาคิดว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกที่เหมาะกับการฝึกยุทธระดับสูง เห็นได้จากอารยธรรมต่างๆของพวกเขาที่แสนจะร้ายกาจและดูหวือหวา แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆแล้วมันมิใช่เช่นนั้น

 

นี่มันเป็นโลกที่แห้งแล้ง และใกล้จะถึงจุดจบแล้วต่างหาก

 

เหตุผลแท้จริงแล้วก็คงจะไม่พ้นเรื่องของอสูรกาย

 

ก่อนที่มารโลกายังมาไม่ถึงโลกใบนี้ โลกล่องเวหาจะต้องเป็นเป็นอะไรที่ทรงพลังและเจริญรุ่งเรืองมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถพิชิตโลกต่างๆ หรือให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธที่น่าสะพรึงขึ้นมากมายขนาดนี้หรอก

 

ทว่าเมื่อมารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นทันที

 

แล้วถ้าหากมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกของพวกกู่ฉิงซานล่ะ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างกันรึเปล่า?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินรั่วเอาแต่จ้องมองมายังขวดเม็ดยารักษาขวดหนึ่ง พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบขวดยาที่ว่านั่นขึ้นมาดู

 

เขาเปิดจุกออก และเทเม็ดยาไม่กี่เม็ดลงมา แล้วยื่นจมูกไปสูดดม แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่เม็ดยารักษาธรรมดาๆเท่านั้น

 

“เจ้าต้องการสิ่งนี้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉินรั่วกำลังจะกล่าว แต่ว่านเอ๋อก็ชิงตอบแทนเสียก่อน “พี่สาวน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน ครั้งหนึ่งพี่สาวเคยพยายามที่จะช่วยเหลือพวกทาส แต่ก็ถูกฉีหยานจับได้ เขาจึงลงโทษเธอโดยการให้คุกเข่าอยู่บนเปลวไฟหยินเป็นเวลานาน”

 

“และเนื่องด้วยพลังวิญญาณที่ถูกพันธนาการ แถมยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของพี่สาวจึงยังไม่หายดีนับตั้งแต่นั้นมา”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ

 

“เปลวไฟหยิน? นั่นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณา แต่ว่ายารักษาขวดนี้ … มันไม่เหมาะสมกับเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด

 

ว่านเอ๋อนิ่งงันไป

 

ขณะที่สายตาคาดหวังของฉินรั่วหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เธอพยักหน้ารับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเม็ดยารักษาเหล่านี้ เจ้าจึงสมควรที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้งานเอง”

 

“ข้ามิได้หมายความแบบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาโยนขวดยารักษากลับลงไปในกล่องและตบลงบนถุงสัมภาระของตนเอง

 

ควานหาอยู่สักพักจึงหยิบขวดยาเล็กๆสีเขียวขึ้นมา แล้ววางมันลงบนมือของฉินรั่ว

 

“ใช้สิ่งนี้สิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วพอสัมผัสได้ถึงมันก็สั่นสะท้าน

 

ว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเร่งวิ่งไปคว้ามันแล้วเปิดจุกออก

 

ทันใดนั้นกลิ่นยาอันทรงประสิทธิภาพก็ฟุ้งออกมาจากขวด

 

ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง

 

“ข้ามิได้สัมผัสกับเม็ดยาระดับสูงเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว – ว่าแต่นี่คือยาอะไรกัน?”

 

ว่านเอ๋อเอ่ยถามออกมา จมูกของเธอขยับฟุดฟิดๆ พยายามดูดซับประสิทธิภาพของยาที่ลอยฟุ้งออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอมิได้แลดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างจะน่ารักทีเดียว

 

แต่ด้วยฐานะที่เป็นสาวใช้ พวกเธอจึงแทบไม่ได้รับทรัพยากรไว้ใช้ฝึกยุทธเลย

 

กู่ฉิงซานตอบไปว่า “มันคือ ‘เม็ดยาเจ็ดปฏิวัติ’ มีคุณสมบัติสามารถรักษาพิษไฟทั้งหมด ฟื้นฟูความเสียหายจากธาตุทั้งห้าและเพิ่มพูนพลังธาตุ”

 

สีหน้าของฉินรั่วเผยแววถวิลหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะผลักมันกลับคืนสู่มือของกู่ฉิงซาน

 

“เม็ดยานี้ย่อมต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังพอสามารถฝืนทนได้” เธอกล่าว

 

“เจ้านั่นแหละรับมันไปเถอะ ข้ามีเม็ดยาชนิดนี้มากพอที่ข้าต้องการเลยล่ะ” กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

ในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา ตนได้ใช้เจ็ดดารา มังกรแหวกธาราออกมาอย่างไม่เต็มใจ จนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

และหลังจากบุกเข้าสู่โลกเทวะ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จนจำต้องไปรักษาตัวเองในถังยา

 

และหลังจากนั้นมา นางเซียนไป่ฮั่วก็จับยัดเม็ดยารักษาลงในถุงสัมภาระของเขาจนกองพะเนิน

 

ต่อมา นางเซียนไป่ฮั่วมีลางสังหรณ์ว่าตนกำลังจะตกตาย จึงใส่ทุกสิ่งอย่างลงในถุงหอมหลากสี แล้วมอบมันให้แก่เขา

 

ต้องรู้นะว่านางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือตัวตนระดับสูงสุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทรัพยากรที่เธอครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้

 

ดังนั้นขวดเม็ดยาเจ็ดปฏิวัตินี้ สำหรับกู่ฉิงซานแล้วจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย

 

ฉินรั่วเฝ้ามองเขาด้วยความลังเล และพยายามที่จะจับผิดถึงความคิดที่แท้จริงของเขา

 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกราวกับกำลังจะถูกสอบสวนก็ได้วางขวดยาลงในมือเธออีกรอบ แล้วใช้อีกมือของตนค่อยๆหุบนิ้วมือของอีกฝ่ายลงมากุมขวดยา ปากเอ่ยกล่าว “ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ และฟันฝ่าสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันก็เท่านั้นเอง”

 

“ตกลง ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าก็จะขอเก็บขวดยารักษานี้เอาไว้เอง” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาว วางใจเถอะ ท่านควรจะทราบนะว่าเขาน่ะเป็นคนดี เขาถึงขั้นยอมแลกชีวิตตนเองเพื่อช่วยอาจารย์ตนเชียวนะ”

 

ฉินรั่วพยักหน้า

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หันไปหยิบใบหยกออกมาจากกล่อง

 

เขาส่งจิตสัมผัสเทวะลงไปในใบหยก แล้วทันใดนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับนิกายเมื่อเร็วๆนี้

 

ลั่วชาเฟิง นิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ กำลังจะมาเยี่ยมเยือน

 

ส่วนอาวุโสสูงสุดยัก็งคงปิดด่านรักษาตนอยู่ และเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา จนกว่านิกายลั่วชาเฟิงจะมาถึง

 

ขณะที่ผู้นำนิกายกวงหยางเอง ก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

—ขณะที่ไม่มีใครกล้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เพราะมันจะถูกตรวจพบโดยมารโลกาทันที

 

เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก

 

แต่กลับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆภายในนั้นที่ได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานแทน

 

มันคือเรื่องที่ตำหนักเจียงซีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บทรัพยากรของนิกาย และตำหนักหนิงเยว่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกในนิกาย ร่วมกันประกาศสิ่งหนึ่งออกมา

 

นั่นคือผลประโยชน์รายเดือนของเหล่าสาวก ซึ่งก็คือศิลาวิญญาณที่โดยปกติก็ได้รับเพียงเล็กน้อยอยู่แล้ว จะถูกมอบให้ในภายหลัง

 

ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะนิกายลั่วชาเฟิงกำลังจะมาเยี่ยมเยือน ทางนิกายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานต้อนรับ

 

ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำหนักเจียงซีจึงต้องทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำการรับรองพวกเขา และไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณ

 

ขณะที่เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาถึง ตำหนักหนิงเยว่ก็จะเป็นผู้รับหน้าและจัดการแข่งขันประจำนิกายขึ้นอีกด้วย

 

การแข่งขันในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมรางวัลที่ดีมากพอที่จะดึงดูดสาวกทั้งหมดให้เข้าต่อร่วมเพื่อชิงตำแหน่ง!

 

แล้วหลังจากที่เรื่องราวที่ว่ามานี้จบลง ทางนิกายก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และตำหนักเจียงซีก็จะเริ่มจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณของเดือนนี้ทันที

 

กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาข้อมูลนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่ามันแตกต่างจากที่เขาคิด

 

การแข่งขันที่จัดขึ้นนี้ แท้จริงแล้วมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทดสอบหกศิลป์ของผู้ฝึกยูทธในนิกายต่างหาก

 

ทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ นี่คือหกศิลป์

 

ในบรรดาหกศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิกายก็คงจะไม่พ้น ‘ค่ายกล’

 

แต่สำหรับขอบเขตวรยุทธและการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะนั้น มันมิได้มีรวมอยู่ในการทดสอบเลย

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

 

นิกายของโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าจะมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานวรยุทธของเหล่าสาวกอีกต่อไปแล้ว

 

มีพื้นฐานวรยุทธสูงแล้วมันจะดียังไง?

 

สำหรับนิกายแล้ว วรยุทธคุณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคุณ แถมยังต้องคอยป้องกันคุณไม่ให้คอยแข่งขันแย่งชิงอำนาจอีก

 

แต่ในทางตรงกันข้าม หกศิลป์กลับเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้นิกายเจริญยิ่งขึ้น!

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ค่ายกล’

 

เพราะหากโลกนี้ไม่มีค่ายกล สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ก็คงจะล้มหายตายจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว