หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.436 – การหารือของระดับสูง

 

กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหยกในมือเบาๆ แล้วจู่ๆก็พลันนึกได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด

 

“ค่ายกลเคลื่อนมิติไปยังโลกเทวะ เป็นฉีหยานเองที่สร้างมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”

 

เมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้ สีหน้าของคนทั้งหลายก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันใด

 

เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาและเธอหลบหนีออกไปได้!

 

“เป็นเขา ฉีหยานน่ะนับว่าเป็นผู้แตกฉานในค่ายกลอย่างแท้จริง และอีกอย่างเจ้าก็น่าจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบใหม่ เขาไม่สะดวกใจที่จะกระทำการใดๆให้ผู้คนทางนี้ได้รับรู้ถึงตำแหน่งของมัน” ว่านเอ๋อกล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงการต่อสู้ในช่วงเวลานั้น

 

ในนาทีสุดท้าย ฉีหยานได้ใช้ออกด้วยศาสตร์ต้องห้ามกว่า 300 ค่ายกล ก่อนจะเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก

 

“แต่ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาจะบอกว่าดิสก์ค่ายกลนั่น บิดาของเขาเป็นคนมอบให้มิใช่หรือ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ต่อให้เป็นนิกายกวงหยางเอง วัสดุที่จะใช้ในการสร้างดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ยังนับว่าเป็นภาระที่หนักหนาเกินไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงท่านผู้นำและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นแหละที่จะสามารถเบิกใช้สิ่งเหล่านั้นได้ ” ฉินรั่วกล่าว

 

“ดังนั้น กล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วดิสก์ค่ายกลน่ะถูกสร้างโดยบิดาของเขา แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งที่ถูกติดตั้งไว้ในดิสก์ค่ายกล -เป็นฉีหยานที่จัดวางมันด้วยตัวเอง” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“แต่ตอนนี้ฉีหยานดันมาตายไปซะแล้วน่ะสิ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของโลกเทวะ … อยู่ในมือของฉีหยานแต่เพียงผู้เดียว

 

ส่วนค่ายกลที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายมิติ ค่าวัสดุที่ใช้สร้างมันก็มีมูลค่ามหาศาล

 

เมื่อครั้งที่มีการบุกโจมตีโลกเทวะ ในตลอดทั้งกองทัพของฉีหยาน ดิสก์ค่ายกลก็ยังมีเพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น

 

หนึ่งอยู่ในมือของปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยาง ขณะที่อีกหนึ่งอยู่ในมือของนายน้อยชุดคลุมม่วงฉีหยาน

 

แถมทุกครั้งที่ใช้เดินทางระหว่างสองโลก ตัวดิสก์ค่ายกลเองก็จะเสียหายเพิ่มขึ้นไปส่วนหนึ่งอีกด้วย

 

มันเสียหายไปแล้วในครั้งแรกที่ใช้เคลื่อนมิติมายังโลกเทวะ และอีกครั้งหนึ่งก็ในตอนที่นำพวกเขามาสู่โลกใบนี้

 

หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางไป-กลับระหว่างสองโลก มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆทันที

 

อย่างไรก็ตาม! ดิสก์ค่ายกลที่นำพากู่ฉิงซาน ว่ายเอ๋อ และฉินรั่วมายังโลกใบนี้น่ะ มันเป็นดิสก์ที่อยู่ในมือของฉีหยาน! นั่นหมายความว่ายังมีดิสก์ค่ายกลเหลืออยู่อีกหนึ่งชิ้น!

 

ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้าที่จะถูกส่งมาที่นี่ กู่ฉิงซานได้ลอบสังหารปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยางมาก่อนแล้ว และได้ริบเอาดิสก์ค่ายกลในมือของอีกฝ่ายมาเช่นกัน

 

เดิมที ก็เป็นดิสก์ค่ายกลแผ่นที่ยึดมานี้นี่แหละ ที่กู่ฉิงซานใช้มันล่อลวงมารสวรรค์ให้เข้าร่วมต่อสู้

 

ดิสก์ค่ายกลนี้ตกอยู่ในมือของเขาเสมอมา จนกระทั่งในช่วงเวลาสุดท้าย ที่เขาถูกดูดเข้ามาในช่องว่างมิติ ตนก็ยังไม่มีเวลาที่จะมอบมันให้แด่มารสวรรค์

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา

 

บนดิสก์ค่ายกลนี้ปรากฏซึ่งรอยร้าวลึก ทว่ามันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่คมชัด และปลดปล่อยรอยแยกมิติน้อยๆในอากาศที่ว่างเปล่าโดยรอบออกมาตลอดเวลา

 

มันคือดิสก์ค่ายกลที่ใช้เคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลก! —พวกเขายังมีหนทางที่จะได้กลับไปหลงเหลืออยู่!

 

ดวงตาของฉินรั่วกับว่านเอ๋อเปล่งประกายสดใสวูบหนึ่ง ทว่าต่อมา คิ้วของพวกเธอก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

แม้ดิสก์ค่ายกลนี้ ดูจากสภาพแล้วแน่นอนว่ายังคงสามารถใช้มันได้อีกครั้งหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม … ครั้งหนึ่งที่ว่านั่นหมายถึงการถูกส่งมายังโลกล่องเวหาเท่านั้น

 

ด้วยดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้ มันไม่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซานกลับไปยังโลกเทวะได้

 

แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้พวกเขาและเธอสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากกระแสมิติอันเชี่ยวกราดที่ปริร้าวออกมาจากในดิสก์ค่ายกลได้

 

“ดิสก์ค่ายกลนี้คือความหวังเดียวของเราที่จะได้ออกไปจากที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “แต่บนตัวดิสก์ค่ายกลน่าจะมีคำสั่งต้องห้ามใส่เอาไว้อยู่ ว่าหากมีใครบางคนต้องการค้นหาเกี่ยวกับพิกัดของโลกเทวะ ดิสก์ค่ายกลนี้ก็จะถูกทำลายทันที”

 

“เจ้าใช่ระแวงเกินไปหน่อยไหม? มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ หากฉีหยานระวังตัวแจขนาดนั้น แล้วเขาจะมอบมันให้แก่ปรมาจารย์ค่ายกลได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เพราะเขารู้ดีว่าระดับของปรมาจารย์ค่ายกลน่ะไม่ค่อยดีนัก อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถทำลายคำสั่งห้ามที่ตนใส่ไว้ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ฉีหยานยังได้ติดตั้งตัวแจ้งเตือนไว้บนดิสก์ค่ายกลอีกด้วย หากปรมาจารย์ค่ายกลกล้าที่จะค้นตำแหน่งของโลกจากตัวดิสก์ ฉีหยานก็จะรู้ได้ทันที”

 

“อ่า เป็นอย่างที่เจ้าพูด เขาระมัดระวังตัวมากจริงๆ … ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ว่านเอ๋อเอ่ยปากออกมา “ใช่แล้วล่ะ ฉะนั้นด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้เอง เขาจึงได้อนุญาตให้ปรมาจารย์ค่ายกลสามารถใช้ดิสก์แผ่นนี้ได้”

 

ฉินรั่วกล่าว “นี่พอจะบอกได้ว่า ผู้ที่จะสามารถค้นหาตำแหน่งของโลกเทวะจากดิสก์ค่ายกลนี้ได้ จะต้องแตกฉานในด้านค่ายกลมากกว่าฉีหยานเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็เอ่ยพึมพำออกมา “แล้วหากพวกเราเลือกที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลขึ้นมาใหม่เล่า – นั่นหมายความว่าพวกเราต้องได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ค่ายกลสินะ”

 

“และอย่าลืมว่าพวกเราจะต้องมีวัสดุที่จำเป็นอีกด้วย” ว่านเอ๋อกล่าวเสริม

 

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มขบคิดถึงรายละเอียดอื่นๆออกมา

 

“ฉีหยานเป็นบุตรชายของผู้นำนิกายกวงหยาง เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนัก แต่กลับรู้สึกไม่วางใจที่จะระบุตำแหน่งของโลกเทวะให้ผู้คนรอบข้างเขารับรู้ … ”

 

เมื่อพิจารณามาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น

 

โลกเทวะนั้นเชื่อมต่อกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

ซึ่งในโลกใบนั้น มีอยู่หลายคนที่กู่ฉิงซานห่วงใย

 

หากตำแหน่งของโลกใบนั้นรั่วไหลออกไป นิกายกวงหยางคงไม่รอช้า ทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้ามาเป็นแน่

 

และสำหรับเรื่องนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือหายนะของทั้งสองโลกอย่างแน่นอน

 

ฉีหยานไม่เพียงไม่ไว้ใจคนในนิกายของตัวเอง แต่เขายังไม่ไว้ใจแม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอีกด้วย

 

หากเป็นในกรณีนี้ กู่ฉิงซานเองก็ไม่อาจพึ่งใครได้อีกแล้ว

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองดิสก์ค่ายกลในมือ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที

 

“นี่คือดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก , เป็นไอเท็มพิเศษที่ถูกสร้างโดยวัสดุล้ำค่า , จำนวนการเคลื่อนย้ายที่ยังเหลืออยู่ : 1 , ตำแหน่งเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”

 

พร้อมด้วยบรรทัดแสงตัวอักษรนี้ ไฟตรง ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ จากในระบบเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้น

 

“ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มีค่ายกลอยู่สองชนิด ดังนี้”

 

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”

 

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกเทวะ”

 

“หากต้องการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้าย จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ 10000 แต้ม”

 

“หมายเหตุ : นี่คือค่ายกลอันลึกล้ำที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งที่ตั้งของโลก , เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปิดเส้นทางมิติอันเชี่ยวกราดระหว่างทั้งสอง , เกี่ยวข้องโดยตรงกับกฏเกณฑ์ในการเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก และองค์ความรู้ค่ายกลในระดับสูง”

 

“หมายเหตุ : คุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลก่อนก็ได้ เพื่อที่จะเป็นการช่วยลดแต้มพลังวิญญาณที่จักต้องจ่ายออก ในการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบระบุตำแหน่งนี้”

 

กู่ฉิงซานจ้องค้างไปยังตัวเลข 10000 อยู่เป็นเวลานาน

 

10000 แต้มนี้ มันแทบจะเป็นจำนวนที่ไม่อาจเข้าถึงได้เลย

 

เพื่อที่จะเรียนรู้ค่ายกลนี้ สิ่งที่ต้องทุ่มจ่ายออกมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับโลกท่องเวหาทั้งใบแล้วนอกเหนือไปจากมารโลกา ก็ไม่มีมอนสเตอร์อื่นใดอยู่อีกเลย

 

ดังนั้นการรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้ครบจำนวนดังกล่าวนี้ บอกตรงๆว่ามันเป็นภารกิจที่ไม่มีทางบรรลุได้

 

หลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เริ่มสังเกตุเห็นจุดอื่นๆ

 

บริเวณมุมของหน้าต่างระบบเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขากำลังแสดงบนหน้าจอ

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 3/300”

 

กู่ฉิงซานถึงขั้นต้องกลั้นหายใจ มิอาจขยับกายได้อยู่เนิ่นนาน

 

ในระหว่างช่วงที่เดินทางไปยังโลกปรภพ เขาได้ใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีออกไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าตนได้เผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นยิ่งซะแล้วสิ ”

 

“มิต้องท้อถึงเพียงนั้นหรอก แม้ในนิกายกวงหยางไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลที่เชี่ยวชาญอยู่อีกแล้วก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็ยังพอจะมีวิธีอยู่อีกเล็กน้อย” ฉินรั่วกล่าวปลอบประโลม

 

“วิธีอันใด?”

 

“ก่อนหน้านี้ฉีหยานเคยครอบครองสาวใช้อยู่คนหนึ่ง เขาฉุดเธอมาจากโลกที่เชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล”ว่านเอ๋อกล่าว

 

ฉินรั่วเอ่ยเสริมว่า “สาวใช้นางนั้นชื่อว่าจื่อหลิว เป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมและงดงามไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

“โฮ่? เช่นนั้นนางก็น่าจะสมควรที่มาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา – ว่าแต่นางไปอยู่ที่ไหนซะล่ะตอนนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

หากไม่ใช่คนของนิกายกวงหยาง แต่เป็นคนที่มีสถานะเช่นเดียวกับฉินรั่วและว่านเอ๋อแล้วล่ะก็ เชื่อว่าเด็กสาวที่มีนามว่าจื่อหลิวผู้นี้ย่อมเต็มใจและยินดีที่จะพาตนเองร่วมหลบหนีไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน

 

เมื่อไหร่ที่ได้พบกับเธอเป็นการส่วนตัว และดูๆแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาก็จะสามารถลองให้เธอสร้างมันได้

 

“ฉีหยานได้มอบนางให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปแล้ว”

 

“อ้าว เพราะเหตุใดกัน?”

 

“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนน่ะ” ว่านเอ๋อยักไหล่

 

กู่ฉิงซานยกคิ้วสูงขึ้น

 

“อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะจื่อหลิวน่ะเก่งกาจในด้านค่ายกล ดังนั้นฉีหยานจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยยามเมื่อมีนางอยู่ข้างกาย”

 

ฉินรั่วหันไปมองว่านเอ๋อวูบหนึ่งและกล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันใด

 

เก่งกาจในด้านค่ายกล มิน่าเล่า …

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ฉีหยานจะรู้สึกไม่วางใจ

 

เพราะใครจะรู้ จู่ๆเธออาจจะแอบค่อยๆแอบปลดค่ายกลที่ติดตั้งไว้รอบกายเขาอย่างเงียบๆก็ได้

 

แล้วเมื่อใดก็ตามที่ถึงช่วงเวลาลางร้าย แต่ทว่ารอบกายกลับไม่มีค่ายกลอยู่ โชคชะตาที่จะต้องเผชิญคงมิแคล้วมีเพียงตกตาย!

 

“แบบนี้ก็สิค่อยง่ายหน่อย ข้าจะเร่งไปนำตัวนางกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองกันและกัน ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสุข

 

“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เรื่องนี้ย่อมเป็นธรรมดา นั่นเพราะนางคือเด็กสาวน่ารัก งดงามทั้งกายและใจ มีอัธยาศัยที่ดีและไม่อาจทานทนต่อเจตนาฆ่าของฉีหยานได้ตรงๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะลูกตา ฉีหยานจึงได้โยนเธอให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทน” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงหวาน

 

แต่ทันใดนั้นเอง สายตาของฉินรั่วก็เบนออกไป ปากเอ่ยกล่าว “มีใครบางคนกำลังมา”

 

และในวินาทีต่อมา ภายนอกห้องก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านปรมาจารย์ตำหนักฉี วันนี้คือวันหารืออย่างเป็นทางการ และช่วงเวลาหารือก็ได้มาถึงแล้วนะขอรับ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงเย็น “ทว่าข้าจดจำได้ว่ามันสมควรที่จะเป็นวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ?”

 

เสียงนั้นชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะเอ่ยปากต่อ “พอดีว่ากำหนดการถูกเร่งให้เร็วขึ้นน่ะขอรับ”

 

พอได้ฟัง สีหน้าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ดูจะเผยถึงความกังวลออกมา

 

“ทั้งหมดที่ข้าทราบคือนิกายลั่วชาเฟิงจะมาเยือน บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้นก็ได้” ฉินรั่วเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“ชู่วว! เรื่องนี้เป็นความลับนะ ในตอนที่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องนี้ พวกเราคนใช้ทุกคนก็ถูกไล่ออกมาจนหมดเลย ดังนั้น จึงมิได้ทราบถึงรายละเอียดแบบจำเพาะเจาะจงได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริมอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง

 

“แต่นิกายนั่นยังมาไม่ถึงใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม

 

“ก่อนหน้าที่พวกเราจะไปยังโลกเทวะ ก็ได้ยินมาว่าพวกเขาจะมาถึงในเร็วๆนี้” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

 

โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ การหารืออย่างเป็นทางการจู่ๆก็เลื่อนกำหนดการอย่างกระทันหัน นี่มันค่อนข้างจะน่าสงสัยเล็กน้อย

 

การหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย กล่าวได้ว่ามันคือการประชุมปกติของผู้นำระดับสูงทั้งหมดในนิกาย

 

โดยปกติแล้วผู้ที่จะได้เข้าร่วมการหารืออย่างเป็นทางการนี้ จะมีผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า , ผู้นำฉีรั่วหยา , ตำหนักหนิงเยว่ – เย่หยิงเหมย , ตำหนักซานเหว่ย – ปรมาจารย์ตำหนักฉีหยาน , สาขาเจียงซี – ปรมาจารย์ตำหนักเซ่าหวูชุ่ย โดยสิ้นเชิงแล้ว 5 คน

 

ตำหนักหนิงเยว่ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกยุทธของสาวกนิกาย

 

ขณะที่ตำหนักซานเหว่ย จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อสู้ภายนอก และการลงทัณฑ์ภายใน

 

ส่วนตำหนักเจียงซี จะมีหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมโดยรวมของนิกาย แต่โดยหลักแล้วจะเป็นในส่วนของการคลังสำรอง

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยทั้งสองคน เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

แต่ดูเหมือนจะมีข่าวเล่าลือว่าเย่หยิงเหมย แม้จะเป็นศิษย์ของอาวุโสสูงสุด แต่ก็ยังเป็นนางบำเรอของเขาอีกด้วย!

 

เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเกือบจะได้แต่งงานกับสหายเต๋าที่เป็นผู้ฝึกยุทธชายจากนิกายอื่นอยู่แล้ว ทว่าสุดท้ายกลับถูกหยุดไว้โดยหวังหงษ์เต๋า

 

และเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นอันมาก ทว่าก็ยังไม่มีใครสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้นเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร

 

แต่ในที่สุด เย่หยิงเหมยก็ยังมิได้แต่งงาน

 

ในบรรดาทั้งห้าคน มีเพียงบุตรชายของตนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างฉีรั่วหยา ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภานะ 2 : 3

 

กล่าวได้ว่าตำแหน่งผู้นำนิกาย กำลังอยู่ในสถานะที่สั่นคลอน

 

และในตอนนี้ ผู้นำฉีรั่วหยาก็กำลังมุ่งมั่นก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ดังนั้นจึงเหลือฉีหยานเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

ฉีหยานจักต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสูงสุดและสองปรมาจารย์ตำหนักโดยลำพัง!

 

ผู้อาวุโสสูงสุดแม้ยังคงปิดด่านรักษาตนอยู่ แต่คราวนี้เขาก็อาจจะออกมาเข้าร่วมหารืออย่างเป็นทางก็ได้ ใครจะรู้

 

-อย่างน้อยในข้อนี้ตัวฉีหยานเองก็ไม่ทราบ

 

นอกจากนี้ การหารืออย่างเป็นทางการอาจจะเกี่ยวข้องกับนิกายที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างลั่วชาเฟิงก็เป็นได้

 

……

 

ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความยุ่งเหยิง

 

นับประสาอะไรกับกู่ฉิงซานที่ปลอมตัวเป็นฉีหยาน หากฉีหยานไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์อันซับซ้อนดังกล่าวนี้ได้นี้ ตัวเขาคงมิแคล้วถูกเปิดโปงเป็นแน่

 

ว่านเอ๋อกัดฟันกล่าว “หรือว่าเราสมควรจะหนีไปทั้งๆอย่างนี้ดี … ”

 

กู่ฉิงซานขัดเธอ เอ่ยปากกล่าวอย่างแผ่วเบา “มันไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต้องไว้ใจข้าสิ พวกเราไปกันเถอะ”

 

“ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนแล้วใช่หรือไม่?”ฉินรั่วหันไปมองเขา ปากเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ

 

“ข้าจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ได้หมดแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขายกหมวกไม้ไผ่ขึ้น และเดินตรงไปยังประตูทางออก