“ไม่ข้าส่งเจ้าไปเป็นฮ่องเต้! ก็ให้ข้าส่งเจ้าไปปรโลก!”
ซูรุ่ยเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองไปที่ฉินเฮ่าแล้วกล่าวคำพูดนี้ออกมา
ระหว่างคนทั้งสองมีเพียงโต๊ะไม้แดงขวางกั้นอยู่ ในขณะที่ซูรุ่ยพูดจบลง ฉินเฮ่าก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายการถูกสังหารที่กำลังจะพุ่งเข้ามาตรงหน้ายากที่รับมือได้ เขาไม่มีความสงสัยในคำพูดของซูรุ่ยเลยแม้แต่น้อย
ตำแหน่งฮ่องเต้ ผู้ชายตรงหน้านี้ไม่คิดที่จะอยากได้แน่นอน
แต่ว่าปรโลก ก็ยิ่งไม่ใช่ทางของเขา…
“ข้าเลือกข้อแรก!”
ภายใต้การจ้องมองของซูรุ่ย ฉินเฮ่ากลืนน้ำลายลงอึกหนึ่ง แล้วตอบคำถามอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก”
ซูรุ่ยยืดตัวขึ้นตรง พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางหรี่ตาลง “ตอนนี้เรามาสะสางปัญหาอีกเรื่องหนึ่งกันดีกว่า!”
อีกเรื่องหนึ่ง?
ฉินเฮ่าไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ซูรุ่ยพูดถึงคืออะไร เขารู้สึกว่าหน้ามืดไปชั่วขณะหนึ่ง ต่อมาหน้าท้องของเขาก็ถูกซูรุ่ยถีบเข้าอย่างเต็มแรง ร่างของฉินเฮ่าปลิวออกไป กระแทกเข้ากับประตูห้องหนังสืออย่างรุนแรง จนบานประตูแตกละเอียด จากนั้นร่างของฉินเฮ่าก็ลอยไปตกอยู่ตรงกลางเรือนของจวนอ๋อง
เพียงถูกถีบแค่หนึ่งครั้ง ฉินเฮ่าก็ลอยออกไปไกลขนาดนั้น ตัวของฉินเฮ่างออยู่บนพื้น ไอออกมาเป็นเลือด มือทั้งสองข้างก็กุมไว้ตรงหน้าท้องอย่างเจ็บปวด
เหตุการณ์ตรงหน้านี้มัน…
จุยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างยกมือขึ้นมากุมหน้าท้องของตนเองอย่างไม่รู้ตัว โชคดีที่ตนเองฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรทำให้คุณหนูซูไม่พอใจ ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์ฮ่องเต้ในอนาคตตรงหน้านี้ก็คงจะเป็นภาพในอนาคตของตนเองด้วยเช่นกัน
“ท่าน ท่านอาเก้า…”
ฉินเฮ่าอดกลั้นต่อความเจ็บปวดตรงหน้าท้องไว้ สายตามองไปที่ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาตัวเองอย่างเชื่องช้าด้วยความสับสน
ในชั่ววินาทีนี้ เขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของผู้ชายคนนี้อย่างแท้จริง
ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้?
ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยมานานหลายปี?
หึ พวกเจ้าเคยเห็นคนป่วยที่ออกแรงถีบเบาๆ ก็ทำให้ผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งลอยออกไปไกล แถมยังไอเป็นเลือดออกมาไม่หยุดหรือไม่
“ท่านอาเก้า ท่านอาเก้า!”
มองเห็นซูรุ่ยที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตัวเองแล้ว สีหน้าของฉินเฮ่ายิ่งซีดเซียวไร้สีเลือดเข้าไปใหญ่ แม้แต่ที่เสียงที่เปล่งออกมาก็ยังสั่นไม่หยุด
ตอนที่ถูกล้อมทำร้ายในเมืองหลวง หรือแม้แต่ตอนที่ถูกเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่ไล่ล่าจับกุมตัว ฉินเฮ่ายังไม่มีความรู้สึกกลัวเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมองดูซูรุ่ยที่เดินเข้ามาหาตัวเองเชื่องช้าเช่นนี้ ความดุดันที่แผ่ออกจากร่างของเขา ทำให้ฟันของฉินเฮ่าสั่นกระทบเข้าหากัน
ซูรุ่ยใช้มือสะบัดเสื้อคลุมออกเล็กน้อยอย่างสง่างาม นั่งลงยองๆ ลงตรงด้านหน้าของฉินเฮ่า “เจ็บหรือไม่”
คำพูดที่เอ่ยออกมาฟังดูอบอุ่นมากขนาดนี้ แต่กลับทำให้คนรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
“ท่านอาเก้า…”
ฉินเฮ่าไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำถามนั้นอย่างไร ได้แต่เรียกท่านอาเก้าซ้ำไปซ้ำมา แบบนี้ค่อยทำให้เขารู้สึกลดความหวาดกลัวที่มีอยู่ลงไปมาก
ผู้ชายคนนี้คือท่านอาเก้า เขาไม่มีทางฆ่าตนหรอกหรือ เฮ้อ ฉินเฮ่าเริ่มมีความรู้สึกไม่มั่นใจ
ยามสบสายตาเข้ากับดวงตาอันน่าหวาดกลัวของฉินเฮ่า ไม่รู้ว่าทำไมซูรุ่ยถึงได้นึกถึงเซวียนหยวนเหยี่ยขึ้นมา และประสบการณ์มากมายในโลกภารกิจยุคสมัยโบราณที่เขาเคยประสบมา ก่อนที่จะตายไป พวกฮ่องเต้เหล่านั้นต่างก็มองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดกลัวแบบนี้กันทั้งนั้น
จริง ๆ เลย ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย
ซูรุ่ยดึงสายตากลับมา ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “จุยเฟิง ประคองเขาไปพักรักษาตัวที่เรือน แล้วบอกเขาด้วย ว่าผู้ใดที่เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย”
“ขอรับ!”
จุยเฟิงรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองฉินเฮ่าขึ้นมา พอไปถึงเรือนพักที่จัดเตรียมไว้แล้ว ท่านหมอของจวนอ๋องก็ตามเข้ามาทันที เมื่อเห็นท่านหมอตรวจรักษาอาการบาดเจ็บของฉินเฮ่าแล้ว จุยเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไปด้วย…
ถูกถีบเพียงแค่ครั้งเดียว กระดูกซี่โครงก็หักไปถึงสามซี่ ตอนนั้นท่านอ๋องออกแรงถีบไปเพียงแค่สามส่วนเท่านั้นเองนะ!
ถ้าหากว่าใช้แรงถีบออกไปเต็มแรง จะไม่ตายสนิทเลยหรือ
ตอนนี้ใบหน้าของฉินเฮ่าที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาเต็มกรอบหน้า แต่ไม่ได้เจ็บปวดจนสลบไป อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าสมาชิกราชวงศ์ที่ต้องเผชิญกับความโหดร้าย และแบกรับความโกรธแค้นมาตั้งแต่ยังเด็ก ท่านผู้นี้ช่างสมเป็นลูกผู้ชายเสียจริง
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดของฉินเฮ่าแล้ว จุยเฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไปเบาๆ “ซื่อจื่อ ตอนที่ท่านถูกเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่ไล่ล่าจับกุมตัว ท่านได้พบเจอกับคุณหนูท่านหนึ่ง ท่านจำได้หรือไม่ขอรับ”
คุณหนูท่านหนึ่งหรือ
สายตาของฉินเฮ่าเต็มไปด้วยความสับสน แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ
เขาจำได้อย่างแน่นอน ในตอนนั้นเขาจำได้ว่ารถม้าคันนั้นเป็นรถม้าของชนชั้นสูงในเมืองหลวง จึงอยากที่จะฉวยโอกาสจับคนเป็นตัวประกัน แล้วหลบหนีออกจากเมืองหลวงไป แต่ใครจะไปรู้ว่าตัวเองกลับพลั้งเผลอทำให้มีคนลอบทำร้ายเข้าได้
เดี๋ยวก่อน ลอบทำร้าย?
ดวงตาของฉินเฮ่าเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นหันไปจ้องมองจุยเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างดุดัน
“ถูกต้องขอรับ”
จุยเฟิงรู้ว่าฉินเฮ่านึกอะไรขึ้นมาได้ เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรทั้งยังพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “คนที่ใช้อาวุธลับลอบทำร้ายท่านจนบาดเจ็บเป็นข้าเอง และคุณหนูท่านนั้น อีกไม่นานก็จะกลายเป็นนายหญิงของจวนจิ้นชินอ๋อง และก็เป็นท่านอาหญิงเก้าของท่าน!”
แปลว่า ท่านเกือบจะทำร้ายคนในดวงใจของท่านอ๋อง เพราะฉะนั้นโดนถีบแค่นี้ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!
ฉินเฮ่า “…”
ข้าก็แค่อยากจะลองชิงรถ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลย อีกทั้งแม้แต่ปลายเสื้อของนางข้ายังไม่ได้แตะต้องเลยด้วยซ้ำ
ผ่านเรื่องนี้มาทำให้ฉินเฮ่าเข้าใจหลักการชีวิตอย่างลึกซึ้งอย่างหนึ่งก็คือ อย่าคิดจะพยายามใช้เหตุผลอะไรกับเสด็จอาเก้า เพราะเขาก็คือเหตุผล!
ท่านอ๋องผู้เอาแต่ใจ จะไม่มานั่งอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
ในคืนนี้ ฉินเฮ่าได้รู้ซึ้งถึงหลักการที่แท้จริงในชีวิตทั้งที่ยังอยู่ในอาการเจ็บป่วยทุรนทุราย แต่ในจวนจิ้งนิ่งโหวนั้น เมื่อหลิวซื่อที่สลบไป พอตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเช้าของอีกวันแล้ว
ลืมตาขึ้นมาเห็นสามีของตัวเองอยู่ที่ชุดราชสำนักกำลังเตรียมตัวเข้าวัง หลิวซื่อจึงผุดลุกขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างรวดเร็วและจับแขนเสื้อของซูอวิ๋นไว้แน่น
“ฮูหยิน เจ้าตื่นแล้วหรือ”
ซูอวิ๋นมองมาทางหลิวซื่อ สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ร่างกายของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหรือ ทำไมอยู่จู่ๆ ถึงได้เป็นลมไปได้ล่ะ”
“ข้า…”
หลิวซื่ออ้าปากจะพูด แต่ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี พอสายตามองไปที่ชุดราชสำนักสีแดงของซูอวิ๋น หลิวซื่อจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นายท่าน วันนี้ท่านไปร่วมประชุมเช้า จะได้พบกับจิ้นชินอ๋องหรือไม่”
“ท่านอ๋องเก้าหรือ”
ซูอวิ๋นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เขารับราชการอยู่ในราชสำนักมานานหลายปี จะบอกว่าสนิทชิดเชื้อกับฉินมู่เหยียนก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อกันอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋องช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าประชุมเช้า เจ้าก็รู้นี่ว่าช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว สุขภาพของท่านอ๋องไม่ค่อยจะแข็งแรง จะพักรักษาตัวอยู่ที่จวนก็ไม่แปลก”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอวิ๋น สีหน้าของหลิวซื่อก็ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ “นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่าหว่านเอ๋อร์นาง หว่านเอ๋อร์นาง…นางจะยกเลิกการหมั้นหมายกับทางตระกูลเสิ่น!”
“ว่าอย่างไรนะ”
ซูอวิ๋นได้ฟังคำพูดของหลิวซื่อก็นิ่งอึงอยู่กับที่ การหมั้นหมายในครั้งนี้เขาลงทุนลงแรงไปมาก เด็กคนนี้ทำไมคิดจะยกเลิกก็ยกเลิกไปง่ายๆ เสีย!
“เหลวไหล!”
สีหน้าของซูอวิ๋นมืดคล้ำลง “รอข้าเลิกประชุมกลับมาก่อน ค่อยไปคุยกับนางอีกที! เด็กคนนี้นับวันยิ่งเหลวไหลเข้าไปทุกที! การหมั้นหมายที่ตกลงกันไปแล้วทำไมถึงคิดจะยกเลิกก็ยกเลิกเล่า อายุอานามของหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ถ้าหากยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ไป แล้วจะไปหาคู่ครองที่เหมาะสมได้จากที่ไหนอีก อีกอย่าง คนหนุ่มในเมืองหลวงมีใครจะสามารถเทียบกับเสิ่นอวี้ซูได้อีกหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอวิ๋น หลิวซื่อก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “หว่านเอ๋อร์นาง นางบอกอีกว่า…นางชอบจิ้นชินอ๋องเข้าให้แล้ว นางจะแต่งเป็นพระชายาของจิ้นชินอ๋อง!”
“พระชายา? เจ้าเด็กคนนี้…เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
สีหน้าที่สงบนิ่งมาโดยตลอดของซูอวิ๋น นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงออกถึงความตกอกตกใจเช่นนี้ “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้ฟังผิดไป หว่านเอ๋อร์บอกว่าเป็น…ท่านอ๋องเก้า?”
“ต้าฉิงของเราก็มีชินอ๋องอยู่เพียงคนเดียว ไม่อย่างนั้นข้าก็หวังว่าข้าจะฟังผิดไปจริงๆ”
พูดถึงเรื่องนี้ หลิวซื่อก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหน้ามืดขึ้นมาอีกรอบ ช่างเป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ ที่บุตรสาวดีๆ คนหนึ่งต้องมาเจอเรื่องแบบนั้นที่จวนชิ่งชวนโหว ในตอนนี้เรื่องหมั้นหมายที่ตกลงกันไว้อย่างดิบดี นางก็ไม่ต้องการอีก ยังจะดึงดันจะแต่งให้กับจิ้นชินอ๋อง ไปเป็นม่ายเฝ้าห้องหอให้เขาอีก หลิวซื่อรู้สึกว่าตัวเองคงต้องไปจุดธูปไหว้พระที่วัดซะแล้ว ถือโอกาสให้ต้าซื่อทำนายดวงชะตาให้ตัวเองด้วย
สีหน้าของซูอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างกันก็เปลี่ยนไปมาหลากหลายอารมณ์ เป็นข้าราชการฝ่ายบุ๋น อันที่จริงแล้วซูอวิ๋นเองก็นับถือและชื่นชมในความสามารถของจิ้นชินอ๋องไม่น้อย แต่ว่าสุขภาพที่ย่ำแย่ของจิ้นชินอ๋องนั้น ประชาชนทั้งต้าฉิงต่างก็รู้กันดี เมื่อก่อนมีคนเสนอบุตรสาวของตัวเองแต่งให้เขา ตอนนั้นเขายังใช้ข้ออ้างเรื่องสุขภาพของตนเองปฏิเสธไปอย่างนอบน้อม…
ซูอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าเคร่งขรึมมองมาทางหลิวซื่อ “เรื่องนี้บุตรสาวของเราเป็นคนพูดขึ้นมาเองหรือ รึว่าทางจวนอ๋องเขาลืออะไรออกมา”
“เรื่องนี้…”
หลิวซื่อเมื่อได้ยินคำพูดของสามีตัวเองก็ถึงกับผงะไป
นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน!
บุตรสาวสุดที่รักของนางชอบพอเสิ่นอวี้ซูมาก่อน อยากจะแต่งให้เขาจะเป็นจะตาย พอเรื่องการหมั้นหมายที่ได้มาอย่างยากลำบากตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว นางก็ยืนยันอย่างหนักแน่นที่จะยกเลิกให้ได้ แล้วก็มาชอบพอกับจิ้นชินอ๋องเข้าให้
ครั้งนี้คงไม่ใช่เป็นแค่ความชอบอกชอบใจชั่วครั้งชั่วคราวอีกกระมัง