ส่วนที่ 6 คุณหนูใหญ่หวนคืน ตอนที่ 16 คุณหนูใหญ่หวนคืน

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ซูหว่านนอนหลับสบายตลอดคืน เมื่อนางตื่นขึ้นมาทานอาหารในตอนเช้า นางยังคิดว่านางจะถูกหลิวซื่อจับมาอบรมสั่งสอนอีกครั้ง แต่ผลก็คือซูหว่านไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิวซื่อ พอถามแม่บ้านถึงได้รู้ว่าหลิวซื่อไปที่วัดหวงเจวี๋ยตั้งตอนเช้ากับคนรับใช้คนสนิท 

 

 

เพื่อจุดธูปอธิษฐานหรือ 

 

 

เอาเถอะ นอกเหนือจากการเล่นไพ่ม้าแล้ว หลิวซื่อยังมีงานอดิเรกอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการไหว้พระขอพรอะไรแนวนี้ 

 

 

ซูหว่านเดาว่าหลิวซื่อต้องขอพรให้นางเองแน่ๆ แต่คราวนี้หลิวซื่อคงต้องผิดหวังกับโชคชะตาเสียแล้ว… 

 

 

เกือบเที่ยงแล้วหลิวซื่อก็ยังไม่กลับมา แต่ ณ จวนจิ้งนิ่งโหวกลับมีแขกนอกมาเยือนคนหนึ่ง 

 

 

เฉินอวี้ซู 

 

 

ซูหว่านลืมสิ่งที่หลิวซื่อพูดเมื่อวานไปแล้ว เมื่อคนรับใช้มาแจ้งว่าเป็นคุณชายเฉิน ซูหว่านจึงนึกขึ้นได้ว่าเฉินอวี้ซูเคยมาเยี่ยมแล้วครั้งหนึ่งที่หลิวซื่อบอกไว้เมื่อวานนี้ 

 

 

ให้เหวินอวี้เฝ้าอยู่ที่ลานบ้าน ซูหว่านจึงพาเหวินเย่ว์ไปที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์โหว เฉินอวี้ซูนั่งตัวตรง ถือถ้วยชาไว้ในมือ และสีหน้าใจเย็นและไม่สนใจ 

 

 

“คุณชายเฉิน ท่านมาแล้วหรือ!” 

 

 

ทันทีที่ซูหว่านเข้ามาก็ได้ส่งเสียงทักทายเฉินอวี้ซู น้ำเสียงทักทายเป็นปกติและไม่มีความรู้สึกที่ใกล้ชิดเหมือนยังวันก่อนอีกแล้ว 

 

 

เฉินอวี้ซูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของซูหว่าน เมื่อพบกันกับซูหว่าน นางมักจะเรียกว่า “พี่อวี้ซู” “พี่อวี้ซู” เสมอ เนื่องจากสัญญาการแต่งงานระหว่างทั้งสอง เฉินอวี้ซูจึงไม่เคยขอให้นางเปลี่ยนชื่อเรียกเลย แต่ท่าทีของซูหว่านในวันนี้ดูห่างเหินไปเล็กน้อย ความเล็กน้อยที่กะทันหันนี้ ทำให้เฉินอวี้ซูรู้สึกไม่คุ้นเคย 

 

 

“คุณ…คุณหนูซู” 

 

 

เฉินอวี้ซูที่ลังเลอยู่ก็ยังคงใช้ชื่อที่ให้เกียรติเช่นเคย อันที่จริงในตอนนี้เฉินอวี้ซูเพิ่งจะนึกได้ว่า ทั้งสองคนรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดริเริ่มที่จะเข้าหานางก่อน แม้กระทั่งเขาเองไม่เคยเรียกชื่อนางตรงๆ ด้วยซ้ำ… 

 

 

ทั้งสองเป็นคู่หมั้นในนาม แต่ในตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องโถงกลับเย็นชามาก ซูหว่านก็ไม่ปริปากพูดคุยก่อน เฉินอวี้ซูก็ไม่รู้ควรจะพูดอะไร 

 

 

เห็นได้ชัดว่าตอนที่อยู่ที่บ้านอยากจะมาที่จวนจิ้งหนิงโหวเพื่อพบนาง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนาง แต่ตอนนี้ต้องเผชิญกับดวงตาที่ห่างเหินและไม่สนใจคู่นั้น จู่ๆ เฉินอวี้ซูก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี 

 

 

พวกเขาทั้งสองไม่มีใครพูดจา ซูหว่านนั่งนิ่งๆ บนเก้าอี้ไม้ และเฉินอวี้ซูก็จิบชาไปเรื่อยๆ จนชาหมดถ้วย ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมองเฉินอวี้ซูที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ชานี้เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“หือ?” 

 

 

เฉินอวี้ซูมึนงงครู่หนึ่ง เขากังวลมากจนไม่ได้สนใจรสชาติชาที่อยู่ในถ้วยด้วยซ้ำ 

 

 

“ข้า…” 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางที่เขินอายกระอักกระอ่วนของเขา ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “คุณชายเฉินไม่ต้องกังวล ข้าเห็นว่าท่านเอาแต่ดื่มชา ถ้าท่านชอบ ข้าจะเรียกคนรับใช้ชงเพิ่มให้อีกสองสามถ้วย” 

 

 

“ไม่ ไม่เป็นไร” 

 

 

เฉินอวี้ซูวางถ้วยชาลง มองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของซูหว่านอย่างอ่อนโยน “ที่จริงวันนี้ข้ามาที่นี่ มาเพื่อ…มาเพื่อพบเจ้า” 

 

 

เฉินอวี้ซูไม่เคยสนใจสังเกตุซูหว่านมาก่อน แต่เมื่อครั้งสุดท้ายที่ได้ติดต่อกับนางในสนามล่าสัตว์ เฉินอวี้ซูก็มักจะนึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่ยิ้มเก่ง และไม่คิดอะไรมากคนนี้ 

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็งดงามเช่นนี้แหละ เมื่อตอนที่คุณไม่สนใจมันก็มักจะมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทุ่มเทไปมากแค่ไหน เมื่อคุณสนใจเข้าแล้วจริงๆ จึงจะเริ่มเป็นทุกข์เป็นร้อนเรื่องผลได้ผลเสีย 

 

 

เฉินอวี้ซูรู้สึกว่าตอนนี้ซูหว่านเย็นชากับเขาแล้ว หรือว่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนตัวเองที่ห่างเหินกับนางหรือ 

 

 

“พบข้าหรือ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินอวี้ซู ซูหว่านก็กระพริบตาเหมือนมีเรื่องที่กังวลอยู่ในใจ “คุณชายเฉิน ที่จริงข้าก็…มีเรื่องอยากคุยกับท่านอยู่พอดี” 

 

 

“อ๋อ เรื่องอะไรหรือ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน เฉินอวี้ซูก็หันหน้ากลับมองที่ซูหว่านอย่างจริงจัง 

 

 

“ข้าคิดว่า…” 

 

 

ในที่สุดซูหว่านก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และมองไปที่เฉินอวี้ซูด้วยสายตาที่ค่อนข้างสับสน “ข้าคิดว่า…ข้าจะ…ถอนหมั้น!” 

 

 

นางลังเลที่จะพูดประโยคนี้ออกมา พอพูดจบซูหว่านนั่งพิงกับเก้าอี้ราวกับว่านางหมดเรี่ยวแรงหมดไปทั้งตัว 

 

 

ถอนหมั้นหรือ 

 

 

เฉินอวี้ซูลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจพลางมองไปที่ซูหว่าน “เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าจะ…ถอนหมั้นกับข้าหรือ” 

 

 

คำถามของเฉินอวี้ซูน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ในตอนนี้ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นของเขาจ้องมองไปที่ดวงตาของซูหว่านโดยไม่กะพริบตา “ทำไม ทำไมกัน ทำไมถึงต้องถอนหมั้นด้วย” 

 

 

อย่างน้อย นางควรให้คำตอบที่ชัดเจนกับเขา 

 

 

“ก็ไม่ทำไม ข้าก็แค่…ไม่ชอบท่านแล้ว ข้าชอบท่านมากมายขนาดนั้นมาตลอดแต่ท่านกลับไม่ชอบข้า ข้ารู้สึกเหนื่อยมากพอแล้ว” 

 

 

ซูหว่านเงยหน้าขึ้นและสบตากับเฉินอวี้ซู “ข้ายังต้องการสามีที่รักข้าและปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ” 

 

 

นางพูดประโยคนี้ออกมาจากใจ ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

หัวใจของเฉินอวี้ซูสั่นไหวและแตกสลาย เขามองไปที่ซูหว่านด้วยความอับอาย “ที่จริงแล้วข้าสามารถ…” 

 

 

ข้าสามารถปฏิบัติต่อนางให้ดีกว่านี้ได้ 

 

 

“มันสายเกินไปแล้ว” 

 

 

ซูหว่านลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และขัดจังหวะคำพูดของเฉินอวี้ซู “เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถย้อนกลับมาใหม่ได้ เฉินอวี้ซู ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกันในชาตินี้แล้ว ข้าเหนื่อยพอแล้ว ขอไม่ไปส่งท่านแล้วกัน” 

 

 

เฉินอวี้ซูไม่ทันได้ตอบกลับซูหว่าน ก็พาเหวินเย่ว์จากไปอย่างไม่ลังเล 

 

 

ในห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า เฉินอวี้ซูยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานโดยไม่ขยับ เงาที่ทอดผ่านเป็นทางยาวเวลานี้ช่างดูโดดเดี่ยว 

 

 

………… 

 

 

จวนชิ่งชวนโหว 

 

 

เช้าตรู่เฉินชิงจิ่นก็ได้ยินข่าวที่เฉินอวี้ซูไปบ้านของซูหว่าน เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้นางกระวนกระวายใจ เมื่อเฉินชิงจิ่นกำลังคิดว่าจะเปิดเผย “ใบหน้าที่แท้จริง” ของซูหว่านต่อหน้าเฉินอวี้ซู เฉินอวี้ซูได้กลับมาพร้อมกับเสี่ยวซือด้วยความผิดหวังเล็กน้อย 

 

 

“พี่ใหญ่?” 

 

 

เมื่อเฉินชิงจิ่นเห็นเฉินอวี้ซูเดินผ่านลานบ้านของตัวเอง ก็รีบเดินพร้อมกับถือชุดกระโปรงไปยังด้านหน้าของเฉินอวี้ซู “พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้ไปบ้านซูหว่านหรอกหรือ ทำไมกลับมาเร็วนัก” 

 

 

ตระกูลซู… 

 

 

เมื่อได้ยินเฉินชิงจิ่นพูดถึงตระกูลซู สีหน้าเฉินอวี้ซูก็ดูไม่ค่อยดีนัก 

 

 

ดวงตาของเฉินชิงจิ่นเป็นประกายเหมือนเป็นเรื่องปกติ นางยกมือขึ้นโอบแขนของเฉินอวี้ซู และพูดต่ออย่าง “ไร้เดียงสา” “ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วจวนจิ้งนิ่งโหวก็ไร้มารยาทไปหน่อยนะ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ข้าไปทานอาหารที่จวนหรือ” 

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้เฉินชิงจิ่นจงใจทำหน้ามุ่ยและแสดงความโกรธออกมาบนใบหน้าของนาง “เดิมทีข้าคิดว่ามีเพียงพี่ซูในจวนจิ้งนิ่งโหวที่เอาแต่ใจตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าในจวนของพวกเขาจะปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาเลย!” 

 

 

“พอแล้ว!” 

 

 

จู่ๆ เสียงของเฉินอวี้ซูก็ดังขัดจังวะการพูดของเฉินชิงจิ่น ในความทรงจำของเฉินชิงจิ่นตลอดสองช่วงชีวิตนี้ พี่ชายของนางไม่เคยใช้น้ำเสียงดุดันพูดกับนาง แต่คราวนี้จู่ๆ เขาก็ดุนางกัน และเรื่องนี้เป็นเพราะตระกูลซูอย่างนั้นหรือ 

 

 

ในขณะที่เฉินชิงจิ่นรู้สึกไม่สบอารมณ์ นางเม้มริมฝีปากของนางและหยาดน้ำในดวงตาของนางแล้วเริ่มเอ่อคลอออกมา “พี่ใหญ่ จู่ๆ พี่ก็ดุข้าเพียงเพราะคนอื่นรึ ข้าพูดอะไรผิดหรือ ทั้งหมดในเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าพี่ซูมันเป็นคนซื่อบื้อ ไม่เอาไหน! ตระกูลของพวกเขากับตระกูลของเราแต่งงานกันเพื่อไต่ระดับให้สูง! ข้า…ข้าไม่ชอบตระกูลซู และข้าก็ไม่ชอบซูหว่านด้วย นางไม่คู่ควรกับพี่เลยสักนิด!” 

 

 

ในตอนนี้เฉินชิงจิ่นได้ทีจึงเอาใหญ่ร้องไห้น้ำตาไหลสบเฉินอวี้ซู นางรู้ว่าพี่ชายของนางเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อนมาตลอด และรักเอ็นดูนางเป็นที่สุด ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจทำให้เขาพิจารณาเรื่องการแต่งงานของเขากับตระกูลซูใหม่อีกครั้ง 

 

 

เพียงแต่… 

 

 

ได้ยินคำพูดของเฉินชิงจิ่น เฉินอวี้ซูก็ยืนตัวแข็งทื่อ 

 

 

คู่ควรหรือไม่คู่ควร 

 

 

แม้ขุนนางทั้งหมดจะอยู่ในแวดวงของเมืองหลวง ทุกคนต่างรู้สึกว่าซูหว่านไม่คู่ควรกับตัวเองแล้วยังไงกันเล่า 

 

 

ในตอนนี้เป็นเพราะซูหว่านต้องการจะถอนหมั้น แต่เขาพลันไม่รู้จะจัดการยังไงดี 

 

 

ไร้ความโมโหและความโกรธของการถูกถอนหมั้น เมื่อเฉินอวี้ซูนึกถึงคำพูดของซูหว่าน อีกทั้งการแสดงออกทางสีหน้าและแววตา ในใจของเขาก็รู้สึกอับอายขึ้นมา 

 

 

ไม่ว่าในสายตาคนอื่น นางจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน จะหยาบคายสักเท่าไหร่ 

 

 

แต่อย่างน้อย นางก็เคยชอบเขาอย่างมากและทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเขาที่คนอื่นต่างก็ปรารถนา 

 

 

และตัวเขาเองดูเหมือนว่าไม่เคยตอบกลับนางเลยสักนิด 

 

 

ดังนั้นแม้ว่าทุกคนบนโลกจะมีสิทธิ์หัวเราะเยาะนาง เว้นแต่เขา “เฉินอวี้ซู” เขาจะไม่ใช้สิทธิ์นี้ดูถูกผู้หญิงคนนั้น…