ตอนที่ 131 เธอโยนหนังสือของเมิ่งซินหรานลงไปทีละเล่ม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เมิ่งซินหรานมองบัตรเข้าชมที่ตกลงมาจากหนังสือ ไม่ยื่นมือไปเก็บ 

 

 

เพียงแค่มองผู้คนรอบข้างแวบหนึ่ง แสยะยิ้ม ไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มบนใบหน้าดูเย้ยหยัน 

 

 

ช่วงนี้ตอนเที่ยงฉินหร่านไม่ค่อยอยู่ในห้อง 

 

 

หลินซือหรานมาไวกว่าฉินหร่าน 

 

 

พอเธอมาถึงก็เห็นความเละเทะระเนระนาด 

 

 

โต๊ะของเธอถูกผลักไปอีกมุม โต๊ะของฉินหร่านล้มอยู่บนพื้น มีนิยายกับหนังสืออ่านนอกเวลากระจัดกระจาย จากนั้นก็เป็นเอกสารติวที่กองเรี่ยราด 

 

 

“ทำไมโต๊ะของหรานหร่านเป็นแบบนี้” หลินซือหรานย่อตัวนั่งลง ยื่นมือออกไปเริ่มเก็บหนังสือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองโต๊ะด้านหน้า หรี่ตาลง “พวกนายสองคนทะเลาะกันหรือไง” 

 

 

“เปล่า พวกเรากล้าทะเลาะกันที่โต๊ะเธอที่ไหน” ผู้ชายที่นั่งข้างหน้าหดหัว จากนั้นก็หลุบตาลง พูดเสียงเบาว่า “เธอรีบเก็บของของฉินหร่านขึ้นมาเถอะ พวกเราไม่กล้าแตะต้อง” 

 

 

ปกติฉินหร่านดูไม่แยแสอะไร กลับไม่เคยลงไม้ลงมือหรือใช้อารมณ์ในห้อง แต่เธอเป็นบุคคลระดับบิ๊กบอส 

 

 

แม้แต่เว่ยจื่อหังยังเป็นลิ่วล้อให้เธอ 

 

 

มองหาทั่วอีจง ก็ไม่เจอคนที่กล้าท้าทายเธอ 

 

 

ตอนแรกหลินซือหรานกำลังจัดหนังสือ พอเห็นท่าทีของผู้ชายคนนี้ เธอก็วางหนังสือลงช้าๆ 

 

 

ลุกขึ้นยืน กวาดตามองทั่วห้องเก้า 

 

 

คนมากันพอสมควรแล้ว อันที่จริงคนที่ขาดแค่มองก็รู้แล้ว 

 

 

เฉียวเซิง สวีเหยากวง ฉินหร่าน กับเมิ่งซินหรานนักเรียนที่เพิ่งมาใหม่คนนั้น 

 

 

“ว่ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลินซือหรานย้ายโต๊ะตัวเองออกไปไกล พูดอย่างนิ่งเฉย 

 

 

คนอื่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็บอกเล่าเรื่องของเมิ่งซินหรานออกมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ 

 

 

“เธอเก็บของของเจ๊หร่านขึ้นมาก่อนเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวเธอมาเห็นต้องโกรธแน่” โต๊ะข้างหน้าพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นลานประหารแน่ 

 

 

หลินซือหรานจัดกองหนังสือเบี้ยวของตัวเองให้ตรง ฟังคำพูดของโต๊ะข้างหน้า แววตาค่อยๆ เย็นเยือกขึ้นทีละน้อย “ไม่เก็บ” 

 

 

คนอื่นๆ ในห้องสะดุ้งโหยง 

 

 

“ถ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจ๊หร่าน แล้วทำไมตอนนั้นไม่มีใครห้ามเธอ” หลินซือหรานยืนอยู่ที่เดิม เห็นรอยเท้าจางๆ บนหน้าปกวรรณกรรมภาษาอังกฤษที่ฉินหร่านหวงแหนมากเล่มหนึ่ง เธอยิ้ม กวาดตามองทุกคนในห้องเก้า นัยน์ตาเย็นเยียบ “ทิ้งหนังสือพวกนี้ไว้ตรงนี้แหละ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง” 

 

 

คนอื่นๆ ในห้องไม่กล้าปริปาก วันนี้บรรยากาศของห้องเก้ากดดันมากเป็นพิเศษ 

 

 

… 

 

 

ทางด้านนี้ เฉียวเซิงกับสวีเหยากวงต่างก็กินข้าวกันข้างนอก 

 

 

ทั้งสองคนค่อนข้างให้ความสำคัญกับอาหารการกินมาก 

 

 

พรุ่งนี้จะไปดูการแข่งขันของทีม OST แล้ว เฉียวเซิงตัดสินใจว่ากลางวันจะกินหม้อไฟเป็นการฉลอง ตอนแรกตั้งใจจะชวนเมิ่งซินหรานด้วย แต่เมิ่งซินหรานเน้นกินหวาน 

 

 

ซุปเผ็ดเดือดปุดๆ ด้านบนมีน้ำมันสีแดงเกลือกกลิ้ง 

 

 

เฉียวเซิงกินเนื้อสไลด์ลงไปคำหนึ่ง เผ็ดร้อนจนหาเครื่องดื่มเย็นไปทั่ว 

 

 

มือถือที่วางอยู่บนเก้าอี้ดังอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเมื่อพนักงานแจ้ง เฉียวเซิงถึงได้เห็น 

 

 

เขาลวกผักใหม่อีกรอบ พลางกดปุ่มรับสาย “เหอเหวิน มีอะไรกับฉัน” 

 

 

เสียงเชื่องช้า สามารถจับความสบายใจจากน้ำเสียงได้ 

 

 

เสียงของเหอเหวินติดอยู่ในลำคอ ตึงเครียด “เฉียวเซิง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ห้องเราเกิดแผ่นดินไหวแล้ว!” 

 

 

“แผ่นดินไหวอะไร พูดให้รู้เรื่อง” เฉียวเซิงลวกผักอีกแล้ว 

 

 

 “เมิ่งซินหรานคนนั้นผลักโต๊ะของเจ๊หร่านล้มแล้ว!” เหอเหวินสูดหายใจเข้าลึก พูดอย่างขึ้งเคียด 

 

 

มือของเฉียวเซิงชะงัก เขาหรี่ตาลง “เกิดอะไรขึ้น นายค่อยๆ พูด” 

 

 

“บัตรของเมิ่งซินหรานหายไป เธอไปเจอในหนังสือของเจ๊หร่าน นายรีบกลับมาที่ห้องเถอะ ถ้ายังไม่กลับ แผ่นดินจะไหวจริงๆ แล้ว” 

 

 

เฉียวเซิงวางตะเกียบลง ดึงทิชชูแผ่นหนึ่งออกมาเช็ดปาก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “นายรอฉันเดี๋ยว” 

 

 

สวีเหยากวงนั่งอยู่ตรงข้ามเขา พอได้ยินเสียงของเขา ก็หรี่ตาลงเช่นกัน 

 

 

…. 

 

 

เฉียวเซิงกับสวีเหยากวงกลับไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตอนที่เขากลับไปถึงห้องเก้า ในห้องเงียบผิดปกติ 

 

 

เจ้าทุกข์อย่างฉินหร่านกับเมิ่งซินหรานไม่อยู่สักคน 

 

 

มีแค่หลินซือหรานที่นั่งอยู่บนโต๊ะ กำลังทำแบบฝึกหัดเล่มหนึ่งอยู่ 

 

 

เฉียวเซิงมองแวบหนึ่ง แบบฝึกหัดเล่มนั้นฉินหร่านเป็นคนให้หลินซือหราน 

 

 

ความพัฒนาของหลินซือหรานในช่วงนี้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง แม้จะไม่พูด แต่คนพวกนี้ต่างก็รู้ว่าความก้าวหน้าของหลินซือหรานมีความเกี่ยวข้องกับฉินหร่านเป็นอย่างมาก 

 

 

เฉียวเซิงขมวดคิ้วมองหนังสือที่กระจายเต็มพื้น กับอมยิ้มหลายแท่งที่กลิ้งอยู่อีกทาง 

 

 

ระยะห่างของโต๊ะแถวข้างหน้ากับโต๊ะฉินหร่านค่อนข้างไกลกัน เขาเดินตรงเข้าไป โน้มตัวลงเริ่มเก็บหนังสือ “หลินซือหรานทำไมเธอไม่เก็บหนังสือของเจ๊หร่านขึ้นมาล่ะ” 

 

 

ยังไม่ทันได้เก็บสักเล่ม ก็ถูกหลินซือหรานห้ามไว้ “เฉียวเซิง นายอย่าแตะต้องจะดีที่สุด” 

 

 

น้ำเสียงของเธอไม่แสดงอารมณ์ใด 

 

 

“เจ๊หร่านความจำดี ตอนเธอออกไปหนังสือวางยังไงเธอจำได้หมด ต่อให้นายจัดเรียบร้อยเธอก็รู้อยู่ดี” หลินซือหรานเขียนไปตัวเดียว สงบสติอารมณ์ไม่ได้จริงๆ เลยวางปากกาลง 

 

 

“ให้ตายเถอะ!” เฉียวเซิงเตะโต๊ะข้างหน้าไปทีหนึ่ง 

 

 

เสียงดังปัง 

 

 

คนอื่นในห้องไม่มีใครกล้าเงยหน้า 

 

 

ใบหน้าของหลินซือหรานยังคงไร้อารมณ์ 

 

 

เฉียวเซิงล้วงมือถือออกมาต่อสายหาเมิ่งซินหราน ครั้งแรกเมิ่งซินหรานตัดสาย เพิ่งรับสายที่สอง 

 

 

“นายเห็นตั๋วใบนั้นแล้วเหรอ” น้ำเสียงของเมิ่งซินหรานเย้ยหยัน 

 

 

เฉียวเซิงกวาดสายตามองพื้น เห็นบัตรที่ตกอยู่บนพื้น มุมหนึ่งของตั๋วยังเหน็บอยู่ในวรรณกรรมภาษาอังกฤษ 

 

 

“เธอใจร้อนเกินไป เจ๊หร่านไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้” เฉียวเซิงยืนพิงโต๊ะหลินซือหราน น้ำเสียงทุ้มมาก 

 

 

“ไม่มีทางงั้นเหรอ งั้นฉันขอถามนาย ตั๋วของฉันไปอยู่ในหนังสือเธอได้ยังไง” เมิ่งซินหรานนั่งอยู่ในร้านกาแฟ แสยะยิ้ม “เธอเป็นคนออกจากห้องคนสุดท้าย ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร” 

 

 

เมิ่งซินหรานพิงพนักเก้าอี้ ใช้ช้อนคนกาแฟท่าทีสบายๆ 

 

 

รอยยิ้มเย้ยหยัน “สรุปคือ เฉียวเซิง นายโทรมาหาฉันเพราะอะไร ปกป้องเธองั้นเหรอ” 

 

 

เมิ่งซินหรานไม่รู้ว่านอกจากฉินหร่านแล้ว ใครจะขโมยตั๋วเธอไป 

 

 

การกระทำที่อวดดีแถมยังไม่ปิดบังเลยสักนิดแบบนี้ เหมือนนิสัยของฉินหร่านคนนั้นจริงๆ 

 

 

“เรื่องนี้มาคุยกันต่อหน้าทุกคนให้รู้เรื่องดีกว่า ฉันไม่ได้ปกป้องเธอ แต่ฉันเชื่อในตัวฉินหร่าน เธอกลับมาก่อน เรื่องนี้ฉันจะช่วยทำให้กระจ่างเอง” เฉียวเซิงสูดหายใจเข้าลึก 

 

 

“จะตรวจสอบยังไงอีก บัตรในหนังสือเธอเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว หรือนายจะพูดว่าตั๋วนั่นเป็นของเธอ” เมิ่งซินหรานรู้สึกว่าน่าขัน “เฉียวเซิง คำพูดนี้นายเชื่อหรือเปล่า” 

 

 

ตั๋วของฉินหร่านอธิบายได้ยากจริงๆ นั่นแหละ 

 

 

เฉียวเซิงย่อตัวนั่งลง มองตั๋วที่อยู่บนพื้น 

 

 

วางสายแล้วเชยตามองหนังสือที่กระจายเต็มพื้น ปวดหัว 

 

 

“มีคนบอกเจ๊หร่านหรือยัง” เฉียวเซิงมองคนในห้อง 

 

 

คนอื่นพากันส่ายหน้า 

 

 

ใครจะกล้าไปฟ้องฉินหร่าน 

 

 

เกรงว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายแบบไหน 

 

 

เฉียวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ล้วงมือถือออกมา มองเบอร์โทรศัพท์ของฉินหร่านอยู่นาน สุดท้ายก็กดโทรออก 

 

 

… 

 

 

ตอนนี้ ฉินหร่านกำลังนอนฟุบคัดลายมือบนโต๊ะในห้องพยาบาล 

 

 

มือซ้ายถือปากกา เขียนทีละขีด ดูรำคาญไม่น้อย 

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน ตัวหนังสือเป็นหน้าเป็นตาของคน เขียนให้ดี ไม่ก็เสียดายแทนที่ฉันขอให้ท่านเจวี้ยนสั่งทำสมุดคัดลายมือให้เธอโดยเฉพาะเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งถือปากกา เห็นท่าทางฉินหร่านเหมือนจะสะกดความหงุดหงิดไม่ไหวแล้ว จึงรีบเอ่ยปาก 

 

 

“รู้ไหมว่าใครเป็นคนเขียน” ลู่จ้าวอิ่งทำท่ามีลับลมคมใน 

 

 

ฉินหร่านฟุบอยู่บนโต๊ะ พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “ใคร” 

 

 

น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์เลยสักนิด 

 

 

“เจียงจิ้นหยวน ไต้ซือเจียง ภาพเขียนลายมือของเขามีมูลค่าการเก็บสะสมสูงที่สุดของยุคนี้ เธอรู้ไหมว่ามีนักสะสมตั้งเท่าไหร่ยอมควักเงินก้อนใหญ่ซื้อภาพเขียนลายมือของเขา เสียดายที่เขาเก็บตัวไม่ค่อยปรากฏตัว ไม่มีใครจ้างเขาได้” ลู่จ้าวอิ่งพูดแล้วถอนหายใจ 

 

 

“อ้อ” ฉินหร่านไม่รู้จักเจียงจิ้นหยวนคนนี้ ในคลังข้อมูลของสมองก็ไม่มีเหมือนกัน 

 

 

ฉะนั้นจึงดูไร้อารมณ์ 

 

 

“อย่างเธอ ถ้าอยู่ในจิงเฉิงคงถูกเล่นงานไปแล้ว” ลู่จ้าวอิ่งมองไม่เห็นอารมณ์จากใบหน้าของฉินหร่านเลยแม้แต่นิด ก็ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง 

 

 

เจียงจิ้นหยวนเป็นนักปราชญ์อิสระ แต่ค่อนข้างลึกลับในสังคมจิงเฉิง คนที่จ้างวานเขาได้มีน้อยมากจริงๆ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เขาเขียนสมุดคัดลายมือมาให้ฉินหร่านฝึกคัดโดยเฉพาะ 

 

 

พอคิดๆ ดูแล้ว ลู่จ้าวอิ่งเลยไปดูในตู้เก็บสมุดคัดลายมือ ข้างในยังมีสมุดคัดลายมืออีกหลายเล่มที่ไต้ซือเจียงคัดลอกด้วยตัวเอง 

 

 

สมุดคัดลายมือพวกนี้ราคาสูงลิ่วไม่พอ แค่ขอให้ไต้ซือเจียงทำเรื่องนี้ต้องใช้บารมีขนาดไหนกัน 

 

 

ขณะที่มองฉินหร่านคัดลายมือ ลู่จ้าวอิ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า หากท่านเฉิงออกหน้า จะขอให้ไต้ซือเจียงทำสมุดคัดลายมือให้คนคนหนึ่งโดยเฉพาะได้หรือเปล่า 

 

 

เมื่อคิดลึกลงไป ดูเหมือนจะมีความหวังไม่มากจริงเสียด้วย 

 

 

พอนึกถึงตรงนี้ ลู่จ้าวอิ่งก็มองฉินหร่านอีก เธอรู้หรือเปล่าว่าสมุดคัดลายมือของเธอจ่ายมาด้วยเงินหยวนแปดหลัก 

 

 

ในแวดวงสังคมชั้นสูงของจิงเฉิงต่างก็ร่ำลือกันว่าสกุลเฉิงร่ำรวย แต่ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่เคยคิดว่า ท่านเจวี้ยนจะรวยถึงขั้นนี้… 

 

 

ถึงว่ามีคนอิจฉาริษยา 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเองก็รู้สึกอิจฉาเหมือนกัน 

 

 

เที่ยงวันนี้ฉินหร่านฝึกคัดลายมือด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดอย่างมาก 

 

 

การคัดลายมือต้องการความแน่วแน่ แต่สำหรับฉินหร่านแล้วแทบจะไม่มีคำว่า ‘แน่วแน่’ อยู่เลย 

 

 

ตอนที่เฉียวเซิงโทรศัพท์มาหา น้ำเสียงของเธอค่อนข้างไม่สบอารมณ์ กดเสียงต่ำ “ว่ามา” 

 

 

ทั้งเย็นชาและหงุดหงิด 

 

 

แค่คำเดียว ก็พอจะทำให้เฉียวเซิงยอมแพ้แล้ว 

 

 

เฉียวเซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “เกิดเรื่องที่ห้องนิดหน่อย เจ๊หร่าน เธอว่างจะเสด็จมาที่ห้องไหม” 

 

 

น้ำเสียงของเธอเป็นแบบนี้แล้ว เฉียวเซิงยังกล้าพูดแบบนี้อีก 

 

 

คิดว่าคงเพราะเกิดเรื่องขึ้น ฉินหร่านกดตัดสาย โยนปากกาลงบนโต๊ะ “ที่ห้องมีธุระกับฉัน ฉันกลับไปก่อน” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองปากกาที่ถูกฉินหร่านโยนทิ้ง ในใจสั่นระรัว 

 

 

ปากกานั่นเป็นของเฉิงเจวี้ยน ของของเฉิงเจวี้ยน ต่อให้เป็นแค่กรรไกรตัดเล็บ ก็เป็นราคาที่คนอื่นไม่สามารถจินตนาการได้ 

 

 

… 

 

 

ฉินหร่านฉวยหมวกเบสบอลขึ้นมาสวมลงบนหัว มุ่งหน้าไปทางห้องเก้า 

 

 

ห้องเก้าเงียบมากแต่แรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากเฉียวเซิงโทรศัพท์สายนั้น คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ 

 

 

ประตูหลังถูกคนผลักออกช้าๆ 

 

 

ช่วงที่ผ่านมาห้องเก้าสงบเสงี่ยมกันมาก แต่ก็มีคนคุยเรื่องโจทย์กันเสียงเบา คราวนี้เงียบถึงขั้นได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น 

 

 

ฉินหร่านเลิกคิ้ว เดินเข้าไปข้างใน 

 

 

สวีเหยากวงนั่งอยู่ที่แถวรองสุดท้าย เชยตามองเธอแวบหนึ่ง 

 

 

เฉียวเซิงกับเหอเหวินยืนอยู่ตรงฝั่งหลินซือหราน 

 

 

ฉินหร่านเดินผ่านอีกกลุ่มหนึ่ง ถึงได้เห็นสภาพทางฝั่งหลินซือหราน 

 

 

หนังสือของเธอหล่นกระจายเต็มพื้น บนวรรณกรรมภาษาอังกฤษหลายเล่มมีรอยเท้าชัดเจน มีอีกหลายเล่มที่ฉีกขาด เพราะแรงกระแทกรุนแรงเกินไป 

 

 

ฉินหร่านยกมือขึ้น ถอดหมวกเบสบอลบนหัวลงมา 

 

 

บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมา ราวกับเป็นลูกบอลที่ถึงขีดจำกัดแล้ว แค่มีคนแตะเบาๆ ก็สามารถระเบิดดังปังได้ 

 

 

คนอื่นต่างก็อยากมุดหัวลงในหนังสือให้รู้แล้วรู้รอด 

 

 

เฉียวเซิงก็อ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไร 

 

 

ขณะที่คนอื่นกำลังอกสั่นขวัญแขวน จู่ๆ ในห้องก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น เป็นเสียงหัวเราะที่ปราศจากอารมณ์ขัน 

 

 

เฉียวเซิงกับคนอื่นๆ อดมองฉินหร่านไม่ได้ กลับเห็นนัยน์ตาดำสนิทของเธอ กับตาขาวที่แดงระเรื่อเล็กน้อย 

 

 

แม้แต่รอยยิ้มก็อันตรายอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“หลินซือหราน บอกฉันมา” ฉินหร่านยืนพิงข้างๆ น้ำเสียงสบายๆ เดาอารมณ์ไม่ออก ทั้งการกระทำและคำพูดเจือความเกียจคร้าน 

 

 

หลินซือหรานปิดหนังสือ บอกเล่าทุกสิ่งที่ตัวเองรู้จนหมดเปลือก 

 

 

“เจ๊หร่าน” เฉียวเซิงกระแอม “ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันจะช่วยจัดการให้เรียบร้อยแน่นอน” 

 

 

เฉียวเซิงเป็นคุณชายสกุลเฉียว ทุกคนในโรงเรียนรู้ดี 

 

 

หากเขาจะจัดการเรื่องนี้ต้องง่ายดายมากเป็นแน่ 

 

 

“ไม่ต้อง” แต่ฉินหร่านกลับปฏิเสธ เธอล้วงมือถือออกมา กดเบอร์โทรศัพท์หนึ่งแล้วกดโทรออก “นายมีคนสักยี่สิบคนไหม” 

 

 

ไม่รู้ว่าทางนั้นตอบว่าอะไร 

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า กดวางสายทันที 

 

 

ไม่พูดอะไร ไม่เก็บหนังสือ แค่ยืนพิงอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาหลุบต่ำ มือหมุนมือถือเล่น 

 

 

ไม่ถึงห้านาที เว่ยจื่อหังก็เดินหน้าถมึงทึงขึ้นมา 

 

 

นักเรียนห้องเก้าต่างก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเว่ยจื่อหัง ในใจกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม 

 

 

ปากของเว่ยจื่อหังคาบบุหรี่ไว้ พอกวาดตามอง ก็เห็นโต๊ะที่ล้มอยู่ของฉินหร่าน ยิ้มชั่วร้าย “ใจกล้าจริงๆ” 

 

 

“อันนี้” ฉินหร่านเชยคางขึ้น ชี้ไปทางที่นั่งของเมิ่งซินหราน 

 

 

เว่ยจื่อหังไม่พูดอะไร ตรงเข้าไปยกโต๊ะของเมิ่งซินหรานไปที่ระเบียงทางเดิน 

 

 

นักเรียนห้องเก้ายังไม่รู้ว่าฉินหร่านจะทำอะไร 

 

 

เฉียวเซิงมองเว่ยจื่อหังแวบหนึ่ง กลัวฉินหร่านจะทำให้โรงเรียนแตกตื่น จึงเดินตามหลังฉินหร่านออกไป “เจ๊หร่าน ตอนนี้เธอจะทำอะไรน่ะ” 

 

 

คนอื่นก็มองหน้ากัน พากันตามออกไป 

 

 

ออกไปก็เห็นฉินหร่านยืนพิงระเบียง เอียงหัว ดวงตาที่เหลือบมองฉายความดื้อรั้น ยังคงมีความไม่ยี่หระตามแบบฉบับวัยรุ่น 

 

 

เธอกำลังโยนหนังสือของเมิ่งซินหรานลงจากระเบียงชั้นห้าทีละเล่มอย่างสบายๆ 

 

 

และใต้ตึก เนื่องด้วยกลัวว่าจะกระแทกหัวใคร คนยี่สิบคนจึงจัดการเคลียร์พื้นที่ให้ว่าง