ตอนที่ 132 น่าเกรงขามและโอหัง เมิ่งซินหรานหน้าเขียวแล้ว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ทั้งน่าเกรงขามและโอหัง

 

 

กลางวันแสกๆ มีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้ในโรงเรียนอีจง นักเรียนทั้งโรงเรียนเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

 

 

นักเรียนคนอื่นที่เห็นคนยี่สิบคนยืนล้อมกัน ต่างก็เดินเลี่ยงแต่ไกลแล้ว

 

 

ไม่กล้าเข้าใกล้ทางนี้

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ทำอะไรมากนัก

 

 

แต่แค่ชั่วพริบตา ทุกคนที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินต่างก็ตะลึงงัน ขนลุกขนชันเสียวสันหลังวาบ

 

 

ฉินหร่านเข้ามาอยู่ที่อีจงสองเดือนกว่าแล้ว แม้ปกติจะเข้ากับคนได้ยาก คนห้องเก้าก็ไม่กล้ายุ่งกับเธอมากนัก

 

 

แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ฉินหร่านจะกล้าทำแบบนี้

 

 

พอสายตาเหลือบเห็นเว่ยจื่อหังที่หน้าตาหล่อเหลา ถือบุหรี่ในมือ คนอื่นก็เงียบลงอีกครั้ง

 

 

 พวกเขาจะลืมกิตติศัพท์รอบรั้วโรงเรียนเมื่อก่อนของเว่ยจื่อหังไปได้อย่างไร

 

 

หลังมาอยู่ที่เหิงชวนอีจง แม้จะเก็บตัวอยู่บ้าง แต่เขาเป็นถึงเว่ยจื่อหัง…

 

 

เมื่อก่อนเฉียวเซิงไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเว่ยจื่อหังมากนัก

 

 

แล้วฉินหร่านที่เว่ยจื่อหังย่อมก้มหัวให้จะธรรมดาที่ไหนกัน!

 

 

เมื่อหลายวันก่อนฝนตกตลอดเวลา ทางเดินใต้ตึกยังมีน้ำขังอยู่

 

 

ข้างๆ เป็นแปลงดอกไม้ใหม่เอี่ยม ดินโคลนเปรอะน้ำฝน

 

 

หนังสือบางส่วนตกลงไปบนทางเดินคอนกรีต บางส่วนหล่นลงไปในโคลน

 

 

ฉินหร่านหลุบตาต่ำ มองหนังสือที่ตกลงไปใต้ตึก สุดท้ายก็มองเว่ยจื่อหัง

 

 

เว่ยจื่อหังยิ้ม ไม่พูดอะไร ยกบุหรี่ในมือขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก จากนั้นก็ยกโต๊ะของเมิ่งซินหราน โยนลงไปใต้ตึก

 

 

ตึงงงง

 

 

เสียงนี้เสมือนกระแทกเข้ากลางใจทุกคน

 

 

ตั้งแต่ฉินหร่านเริ่มโยนหนังสือ นักเรียนทุกห้องตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นหกต่างก็พากันออกมามุงดู

 

 

ยี่สิบคนที่ยืนอยู่ใต้ตึกล้วนเป็นคนจากห้องพละ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

 

 

คาบเรียนด้วยตัวเองช่วงบ่ายของมัธยมปลายปีสาม อาคารเรียนที่ปกติจะเงียบสงัดมีเสียงดังอึกทึก เว้นก็แต่ชั้นห้า

 

 

 

 

หลังโยนของของเมิ่งซินหรานหมดแล้ว ฉินหร่านก็กลับมาที่ห้อง

 

 

นักเรียนคนอื่นตามหลังเธอ ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดชเลยแม้แต่คำเดียว

 

 

ต่างก็ตะลึงงันไปแล้ว

 

 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอธิบายเรื่องทั้งหมด เฉียวเซิงไกล่เกลี่ยสักหน่อยก็คงจะหมดเรื่องหมดราว

 

 

ใครจะรู้ว่าแม้แต่โอกาสฉินหร่านก็ไม่ให้ ง่ายดายและป่าเถื่อน

 

 

หลินซือหรานใช้โอกาสนี้เก็บโต๊ะกับเก้าอี้ของเธอให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว กองหนังสือที่ไม่เสียหายรวมกัน หนังสือที่เสียหายก็วางไว้อีกฝั่ง

 

 

เธอกำลังใช้แผ่นทำความสะอาดเช็ดรอยเท้าพวกนั้น

 

 

ฉินหร่านกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง พลิกดูหนังสือที่เสียหายเหล่านั้น

 

 

มีวรรณกรรมภาษาอังกฤษหลายเล่มที่ปกหนังสือขาด หลินซือหรานกำลังหยิบคู่มือเล่มหนึ่งขึ้นมาเช็ด

 

 

คู่มือเล่มนั้นเป็นเล่มที่เฉิงเจวี้ยนวานให้คนช่วยส่งมาจากจิงเฉิง

 

 

“เจ๊หร่าน ฉันให้คนลบวิดีโอกล้องวงจรปิดของระเบียงทางเดินทิ้งแล้ว” เฉียวเซิงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังเธอ

 

 

ตั้งแต่โยนหนังสือของเมิ่งซินหรานจนถึงตอนนี้ ฉินหร่านไม่พูดอะไรเลยสักคำ เอาแต่ก้มหน้า ชวนให้หวาดกลัว

 

 

เฉียวเซิงก็นึกเสียใจว่าทำไมตัวเองถึงเลือกไปกินหม้อไฟวันนี้

 

 

ฉินหร่านทำหูทวนลม

 

 

เธอแค่ก้มหน้าเปิดหนังสือวรรณกรรมภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งอยู่

 

 

หลินซือหรานหนีบตั๋วใบหน้าเข้าไปดังเดิม

 

 

แม้หลินซือหรานจะเช็ดแล้ว แต่ฉินหร่านก็ยังมองเห็นรอยพื้นรองเท้าด้านบนได้ มีรอยยุบลงเล็กน้อยที่เกิดจากการถูกเหยียบ

 

 

แม้ฉินหร่านจะไม่ได้ต้องการบัตรเข้าชมใบนี้มากนัก แต่ลู่จ้าวอิ่งหวงแหนมาก เธอเลยหนีบมันไว้ในหนังสือที่เธอรักที่สุด

 

 

ตอนนี้ถูกคนเหยียบ เสมือนรังเกียจที่มันสกปรก แม้แต่เก็บยังไม่อยากเก็บด้วยซ้ำ

 

 

ฉินหร่านดึงตั๋วใบนี้ออกมา

 

 

ไม่พูดไม่จา แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

 

 

มีนักเรียนห้องอื่นมามุงดูถึงห้องเก้าแล้ว

 

 

โรงเรียนเป็นแบบนี้เสมอ มัธยมปลายปีสามน่าเบื่อและจืดชืด เรื่องแบบนี้ดึงดูดสายตาของนักเรียนได้ดีที่สุด

 

 

เสียงตรงระเบียงทางเดินดังอื้ออึง

 

 

เว่ยจื่อหังยังอยู่ที่ทางเดินหน้าห้องเก้า พอเห็นฉากนี้ก็ขยี้บุหรี่ เตรียมจะไปบอกให้พวกเขาไสหัวกลับห้องของตัวเอง

 

 

ฉินหร่านดันเก้าอี้ออก เดินออกไป

 

 

สายตาของเธอจดจ้องที่กลุ่มนักเรียนตรงทางเดินก่อนแล้วเตะประตู “หุบปาก!”

 

 

ไม่ถึงหนึ่งวินาที ระเบียบทางเดินเงียบสนิท

 

 

ฉินหร่านเบือนสายตากลับไปที่ห้อง

 

 

ข้างๆ โต๊ะเซี่ยเฟยว่างเปล่า

 

 

“เธอ” ฉินหร่านชี้เพื่อนร่วมโต๊ะคนก่อนของเซี่ยเฟย กดเสียงต่ำ “ย้ายกลับมา”

 

 

ผู้หญิงคนนั้นงุนงง ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องถึงมาตกที่เธอได้

 

 

เฉียวเซิงหันขวับ “นิ่งอยู่ทำไม ให้เธอย้ายกลับมาไม่ได้ยินหรือไง”

 

 

ขณะที่พูด เขาก็เดินไปยืนตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น ย้ายโต๊ะของเธอไปที่แถวของเซี่ยเฟย

 

 

ตำแหน่งเดิมของเมิ่งซินหราน ถูกผู้หญิงคนนั้นเข้ามาแทนที่แล้ว

 

 

ในห้องถูกจัดระเบียบอยู่ไม่กี่ที ตำแหน่งก็กลับมาเป็นเหมือนก่อนที่เมิ่งซินหรานจะมา ราวกับเมิ่งซินหรานไม่เคยปรากฏตัวที่ห้องนี้มาก่อน

 

 

ฉินหร่านถึงได้กลับไปที่โต๊ะของตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

ส่วนคนอื่นที่มามุงดูตรงระเบียงทางเดิน พอเห็นเว่ยจื่อหัง แต่ละคนก็ปิดปากเงียบ

 

 

ขาโจ๋อย่างเว่ยจื่อหังไม่เหมือนเฉียวเซิงที่แค่บ้านร่ำรวยเท่านั้น

 

 

แต่เว่ยจื่อหังเคยได้เลือดจริงๆ เห็นเขาหน้าตาหล่อเหลา ที่จริงแล้วอำมหิตโหดเ**้ยม

 

 

นักเรียนในอีจงแม้ต้องมีเรื่องกับเฉียวเซิง แต่ก็ไม่เคยกล้าแตะต้องเว่ยจื่อหัง

 

 

ยังไม่ทันเห็นเหตุการณ์ในห้องเก้า แต่ละคนก็เผ่นแนบกลับห้องแล้ว

 

 

ตอนที่คนในห้องสอบถาม พวกเขาก็แค่ยักไหล่ ตอบอย่างมีลับลมคมในว่า “พูดไม่ได้ พูดไม่ได้”

 

 

หนังสือที่ถูกโยนลงจากตึกของเมิ่งซินหรานไม่มีใครกล้าเก็บ ตอนที่ป้าแม่บ้านจะทำความสะอาด ก็ถูกคนที่เดินผ่านลากตัวไป

 

 

ในอีจงมีใครไม่รู้จักเว่ยจื่อหังบ้าง

 

 

คนที่กล้าแตะต้องของของเขา มีแต่ตายกับตาย

 

 

 

 

ฉินหร่านกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง

 

 

เธอหนีบบัตรในหนังสือเล่มเดิมใหม่

 

 

แล้วล้วงมือในกระเป๋าออกมาจะส่งข้อความ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านฉบับหนึ่ง

 

 

เป็นข้อความจากลู่จ้าวอิ่ง

 

 

‘เป็นอะไรหรือเปล่า’

 

 

ก่อนหน้าตอนที่ฉินหร่านออกจากห้องพยาบาล เห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดี ตอนนั้นไม่ทันได้ถาม พอเขาได้สติฉินหร่านก็ออกไปแล้ว

 

 

ฉะนั้นเขาจึงส่งข้อความมา

 

 

ฉินหร่านมองดูข้อความนี้อยู่นาน จากนั้นก็เกาหัว หงุดหงิดมาก

 

 

ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จึงส่งข้อความสั้นกระชับกลับไป ‘ไม่เป็นไร’

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่อยู่ห้องพยาบาลยื่นข้อความนี้ให้เฉิงเจวี้ยนที่เพิ่งกลับมาดู ให้เขาลองวิเคราะห์

 

 

เฉียวเซิงย้ายโต๊ะของเพื่อนร่วมโต๊ะเซี่ยเฟยเสร็จแล้ว หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ของผู้ชายที่นั่งหน้าฉินหร่าน “เจ๊…”

 

 

“ไม่รู้ อย่ามากวนฉัน” ฉินหร่านโยนมือถือเข้าไปในลิ้นชักแล้วฟุบลงกับโต๊ะ

 

 

พูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

 

 

เฉียวเซิงลูบจมูกป้อยๆ กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ถามเหอเหวินว่า “ทำไมตอนนั้นไม่มีใครห้าม”

 

 

“ฉันห้ามไม่ทัน ห้ามไม่ทันจริงๆ” เหอเหวินรีบยกมือขึ้น “เมิ่งซินหรานเร็วมาก ฉันห้ามไม่ทัน”

 

 

เฉียวเซิงหันมองคนอื่น

 

 

แต่ละคนพูดเสียงอ่อยว่า “ฉันไม่กล้ายุ่ง”

 

 

นั่นเป็นถึงเมิ่งซินหราน ไม่ใช่แค่บ้านอยู่ที่จิงเฉิง แถมยังเป็นสมาชิกทีม OST คนของอวิ๋นกวงกรุ๊ป

 

 

เฉียวเซิงกล้าแตะเธอ แต่คนธรรมดาอย่างพวกเขากล้าที่ไหนกัน

 

 

 

 

หลินซือหรานเพิ่งเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้ให้ฉินหร่าน ผ้าสีขาวในมือเปื้อนฝุ่น

 

 

เธอมองฉินหร่านที่ฟุบอยู่บนโต๊ะแวบหนึ่งแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วไปซักทำความสะอาดที่ห้องน้ำ

 

 

เซี่ยเฟยเห็นหลินซือหรานออกไป หยุดคิดครู่หนึ่ง ก็วางปากกาลุกขึ้นตามออกไป

 

 

ห้องน้ำ

 

 

ในที่สุดเซี่ยเฟยก็โล่งใจสักที เธอเดินไปยืนข้างหลินซือหรานที่กำลังซักผ้าขี้ริ้ว กดเสียงให้เบาลง “หลินซือหราน วันนี้เธอเท่ไม่หยอกเลยนะ”

 

 

คราวนี้หลินซือหรานเพิ่งได้สติ อดลูบจมูกไม่ได้ “งั้นเหรอ”

 

 

“เธอไม่เห็นเหรอ เฉียวเซิงถูกเธอต่อว่าจนไม่กล้าพูดอะไรเลย”

 

 

หลินซือหรานก้มหน้า ยิ้มเขินๆ “ตอนนั้นฉันก็แค่โมโห อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน”

 

 

หากเป็นปกติ เธอไม่มีทางกล้าพูดแบบนั้นกับเฉียวเซิงแน่นอน

 

 

“แต่ทำเรื่องบานปลายใหญ่โตแบบจะไม่เป็นไรเหรอ” เซี่ยเฟยพูดอย่างกังวลใจ “นั่นมันเมิ่งซินหรานเลยนะ ตอนนี้เจ๊หร่านล่วงเกินเธอเข้าอย่างจังแล้วใช่ไหม”

 

 

หลินซือหรานได้ยินเซี่ยเฟยพูดแบบนี้ ก็เอ่ยปากเสียงเรียบว่า “มีเฉียวเซิงอยู่ อีกอย่าง เธอทำเกินไปแล้ว ทำเหมือนพวกเราไม่รู้ธรรมเนียมจิงเฉิงงั้นแหละ เธอคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือไง”

 

 

เอาแต่ใจรุนแรงเหลือเกิน

 

 

เซี่ยเฟยเปิดก๊อกน้ำล้างมือ “แต่พวกเราก็ไม่รู้อยู่แล้วนี่นา…”

 

 

“อีกอย่าง ตั๋วในหนังสือเจ๊หร่านมันยังไงกันแน่” เซี่ยเฟยคิด หันหน้าไปมองหลินซือหราน “ทำไมเจ๊หร่านถึงได้มีเจ้านี่ล่ะ”

 

 

หากจะบอกเรื่องนี้แปลกก็แปลกตรงที่ฉินหร่านมีบัตรเข้าชมการแสดงจริงๆ เสียด้วย

 

 

ตั๋วใบหนึ่งหายากยิ่งนัก ฉินหร่านไม่ใช่แฟนคลับของ OST ด้วยซ้ำ

 

 

เซี่ยเฟยไม่เข้าใจจริงๆ ฉินหร่านไปเอาตั๋วมาจากไหน

 

 

หลินซือหรานเหลียวมองเธอแวบหนึ่ง ยากจะพูดให้เข้าใจได้

 

 

คนพวกนี้ความจำเสื่อมหรือไง

 

 

ลืมเรื่องที่แม้แต่อัลบัมทั้งชุดของเหยียนซีฉินหร่านก็หามาได้ช่วงก่อนไปแล้วหรือไง

 

 

รวบรวมอัลบัมได้ครบขนาดนี้ นอกจากเหยียนซีแล้วไม่มีแฟนคลับคนไหนแล้ว

 

 

มันยากกว่าหาตั๋วสักใบอีกล่ะมั้ง

 

 

 

 

ตึกมัธยมปลายปีสามเป็นตึกที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

 

 

เกิดเหตุวุ่นวาย แถมยังมีเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เกิดขึ้น ย่อมทำให้อาจารย์บางส่วนกับหัวหน้าฝ่ายวิชาการแตกตื่นเป็นธรรมดา

 

 

มัธยมปลายปีสามมีหนังสือเยอะมาก หนังสือของเมิ่งซินหรานถูกโยนลงมาเต็มพื้น ย่อมส่งผลกระทบ

 

 

แต่พออาจารย์ได้ยินว่าเว่ยจื่อหั่งสั่งให้คนทำ เลยไม่กล้ามาเก็บกวาด

 

 

ถึงแม้จะแตะต้องเว่ยจื่อหังไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังเจรจากับฉินหร่านได้

 

 

แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็กลัวว่าจะกระทบต่อสภาพจิตใจฉินหร่าน สุดท้ายจึงทำได้แค่ไปหาผู้อำนวยการติง

 

 

เทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้อำนวยการติงยังมีอาจารย์ใหญ่คุ้มกะลาหัวพอจะสั่นคลอนเว่ยจื่อหังได้

 

 

ตอนแรกผู้อำนวยการคิดจะจัดการเรื่องนี้ แต่พอได้ยินว่าตัวการคือฉินหร่าน ก็เงียบหายไป

 

 

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

 

 

โดยเฉพาะเรื่องเกิดเรื่องหลี่อ้ายหรง ผู้อำนวยการพบว่าอาจารย์ใหญ่เหมือนจะรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้น

 

 

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “เรื่องนี้พวกคุณอย่าเพิ่งยุ่ง ผมไปถามอาจารย์ใหญ่ก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

อาจารย์หลายคนมองหน้ากัน ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย

 

 

ไม่คิดว่าสุดท้ายเรื่องนี้ก็จะถึงอาจารย์ใหญ่

 

 

หลังออกจากห้องทำงานของผู้อำนวยการติง พวกเขาก็รู้สึกโชคดี ยังดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง แต่มาหาผู้อำนวยการติงก่อน

 

 

ดูจากตอนนี้แล้ว แม้แต่ผู้อำนวยการติงเองก็ไม่กล้าสอดมือเข้าไปยุ่งเช่นกัน

 

 

ในห้องทำงาน ผู้อำนวยการติงต่อสายตรงหาอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

“คุณบอกว่าโยนหนังสือของเมิ่งซินหรานลงมาจากตึก แถมยังกำชับไม่ให้ใครเก็บอีกด้วยงั้นเหรอ” อาจารย์ใหญ่สวีวางถ้วยชาในมือลงแล้วกระแอม

 

 

ผู้อำนวยการติงตอบว่าใช่

 

 

“งั้นคิดว่าเธอคงจะรอให้เมิ่งซินหรานเห็นเอง เธอไม่ใช่คนที่บ้าบิ่นแบบนั้น เมิ่งซินหรานคนนั้นคงจะยั่วโมโหเธอเข้าแล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีแปลกใจมากทีเดียว เขาเดินไปยืนริมหน้าต่างแล้วยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้ ทิ้งหนังสือพวกนี้ไว้สักวันสองวัน ค่อยให้คนไปเก็บ”

 

 

ผู้อำนวยการติงชะงัก “สองวัน?”

 

 

“อืม” อาจารย์ใหญ่สวีพูดเสียงเบา “นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเธอเป็นแบบนี้”

 

 

ผู้อำนวยการรู้สึกเหมือนได้ยินความคะนึงหาจากเสียงของอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

 

 

ในโรงเรียนไม่มีใครสนใจหนังสือพวกนี้

 

 

หนังสือของเมิ่งซินหรานถูกปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ เปื้อนโคลน บางส่วนถูกลมพัดกระจาย

 

 

โต๊ะของเธออยู่ในดินโคลน

 

 

อีกมุมหนึ่ง มีกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดของเมิ่งซินหรานตกอยู่ เต็มไปด้วยโคลนเช่นกัน

 

 

เมิ่งซินหรานนั่งอยู่ในร้านกาแฟ กระทั่งรู้สึกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว เธอถึงได้หยิบกระเป๋าเดินกลับโรงเรียนในคาบที่สาม

 

 

ตอนที่ไปถึงอาคารเรียนของมัธยมปลายปีสาม เธอก็พบกับสภาพเละเทะยุ่งเหยิงใต้ตึก

 

 

กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่ตกอยู่ในดินโคลนดึงดูดความสนใจจากเธอ

 

 

สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอไม่สนดินโคลน พอเดินเข้าไปก็เห็นกระเป๋าที่เปื้อนโคลน ข้างในมีลิปสติกที่แท่งหนึ่งที่เธอเพิ่งซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่ด้วย

 

 

เมิ่งซินหรานไม่อยากจะเชื่อเลย เธอค่อยๆ ก้มลงหยิบหนังสือที่ตกอยู่ข้างๆ เท้าเล่มหนึ่งขึ้นมา

 

 

เมื่อเปิดหน้าแรก ด้านบนเป็นชื่อที่ตัวเองเพิ่งเขียนลงไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

 

คล้ายว่าจะมีคอยติดตามข่าว มีคนค่อยๆ ชะโงกหน้าลงมาจากอาคารมัธยมปลายปีสาม

 

 

เมิ่งซินหรานหน้าเขียวแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

 

นอกจากหนังสือพวกนี้แล้ว ยังมีโต๊ะพังยับเยินที่ถูกโยนไปอีกทางด้วย

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เดาออกว่ามันเป็นของตัวเองทั้งหมด!

 

 

เมิ่งซินหรานคนนี้ถูกคนท้าทายซึ่งๆ หน้า ทั้งหนังสือและโต๊ะถูกโยนลงมาจากชั้นห้า!

 

 

เหมือนใบหน้าถูกกระชากไปเหยียบย่ำด้วยฝ่าเท้า!

 

 

วิธีการนี้แทบจะเหมือนกับที่เธอเตะโต๊ะฉินหร่านล้มเมื่อตอนเที่ยงเปี๊ยบ

 

 

เมิ่งซินหรานไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

 

 

สีหน้าของเธอบูดบึ้ง แทบจะไม่สามารถสะกดกลั้นไฟโทสะในใจได้เลย ค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของหลินฉีแล้วโทรออก เธอกัดฟันพูดว่า “คุณลุงคะ ลูกเลี้ยงคนนั้นของคุณลุงขโมยตั๋วของหนู หนูไม่ได้ว่าอะไร แค่เธอยอมคืนตั๋วให้หนู หนูไม่คิดจะฟ้องโรงเรียนด้วยซ้ำ แต่เธอกลับโมโหโยนโต๊ะของหนูลงมาจากชั้นห้า คุณลุงลองไปถามภรรยาคนนี้ของคุณลุงดู นี่เป็นการอบรมสั่งสอนของครอบครัวเธอหรือไง!”