ตอนที่ 133 เขาให้บัตรเข้างานปึกหนึ่งกับฉินหร่าน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งซินหราน หลินฉีก็วางเอกสารในมือลง เงียบไปครู่หนึ่ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าคนที่เมิ่งซินหรานพูดคือฉินหร่าน

 

 

“บัตรอะไร เรื่องอะไรกันแน่” หลินฉีลุกขึ้น พูดเสียงต่ำ

 

 

“บัตรเข้าชมการแข่งขัน” เมิ่งซินหรานยืนอยู่ที่เดิม ทำหน้าเย้ยหยัน

 

 

หลินฉีนิ่งไปชั่วครู่แล้วตอบว่า “ลุงเข้าใจแล้ว อาจารย์เกาล่ะ ลุงจะรีบไปที่โรงเรียน”

 

 

เขากดวางสาย ทิ้งเอกสารกองหนึ่งไว้อีกทาง

 

 

“ประธานหลิน” ผู้ช่วยเห็นเขาลุกขึ้น จึงกุลีกุจอเข้ามา

 

 

“พักแผนงานไว้ก่อน” หลินฉีนวดหว่างคิ้ว เอ่ยปากอย่างอ่อนแรง หยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาหนิงฉิง แต่หนิงฉิงไม่รับ

 

 

หลินฉีขมวดคิ้ว “โทร.หาป้าจาง ถามเธอว่าคุณนายไปไหน”

 

 

หลินฉีหยิบเสื้อนอกออกไป สีหน้าท่าทางดูตึงเครียด

 

 

อันที่จริง แม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าฉินหร่านจะยอมฟังหนิงฉิงหรือเปล่า

 

 

ป้าจางแจ้งกลับมาทันทีว่า ตอนนี้หนิงฉิงอยู่ที่ร้านเสริมสวย

 

 

หลินฉีไม่ได้ตรงไปที่โรงเรียน แต่ไปหาหนิงฉิงที่สถานเสริมความงามก่อน

 

 

ตอนที่เขาไปถึง หนิงฉิงกำลังหลับตาให้คนนวดใบหน้าอยู่ วางกระเป๋าไว้ในห้องรับรอง ฉะนั้นเขาโทร.มาหลายสายก็ไม่ได้รับ

 

 

เมื่อเห็นหลินฉี หนิงฉิงก็ชะงัก เธอให้พนักงานหยุดนวดก่อน “คุณมาหาฉันที่นี่ได้ยังไง”

 

 

ในใจกลับสะดุ้ง สีหน้าของหลินฉีดูไม่ค่อยดีนัก

 

 

“ไปที่โรงเรียนก่อนเถอะ ลูกสาวคุณทะเลาะกับซินหราน” หลินฉีพูดเสียงเรียบ

 

 

ตอนนี้ฉินอวี่อยู่ที่เมืองหลวง

 

 

มีแค่ฉินหร่านที่อยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิง และอยู่ห้องเดียวกับเมิ่งซินหราน ใจของหนิงฉิงกระตุกโดยไม่รู้ตัว เธอลุกพรวดขึ้น ไม่ทันได้สวมเสื้อนอกด้วยซ้ำ “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ทำไมเธอถึงทะเลาะกับเมิ่งซินหรานได้ล่ะ

 

 

ท่าทีที่หลินฉีมีต่อเมิ่งซินหรานตลอดหลายวันนี้หนิงฉิงรู้ดี

 

 

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ถึงโรงเรียนก่อนค่อยว่ากัน” หลินฉีหันหลัง ออกจากประตูสถานเสริมความงามทันที

 

 

หนิงฉิงหยิบกระเป๋าของตัวเอง เดินออกไปข้างนอกพลางหยิบมือถือโทร.หาฉินหร่าน เสียงรอสายดังไม่ถึงสองครั้ง ก็ถูกคนกดตัดสาย

 

 

ชัดเจนว่าไม่อยากรับสายเธอ

 

 

 

 

ทางฝั่งโรงเรียนอีจง

 

 

เมิ่งซินหรานสูดลมหายใจเข้าลึก เธอมองหนังสือที่ระเกะระกะเต็มพื้น แต่ไม่เก็บ เดินขึ้นตึกไปที่ห้องเก้าโดยตรง

 

 

พอมาถึงห้องเก้า เธอถึงพบว่าที่นั่งเดิมในห้องเก้าของเธอถูกแทนที่แล้ว…

 

 

ไม่ใช่ฝีมือเกาหยางแน่นอน เกาหยางเพิ่งจัดให้ตัวเองนั่งตรงนี้ จะย้ายที่นั่งในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

คนที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ นอกจากเฉียวเซิงแล้ว เมิ่งซินหรานไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอีก

 

 

เธอโมโหจนนิ้วสั่นระริก

 

 

เมิ่งซินหรานก้าวเข้าไปในห้องเก้า ไม่แม้แต่จะมองฉินหร่านเลยด้วยซ้ำ หยุดอยู่ข้างโต๊ะเฉียวเซิง จ้องเขาเขม็ง “เฉียวเซิง นายหมายความว่ายังไง”

 

 

ปล่อยให้ฉินหร่านโยนของของเธอลงพื้นโดยที่ไม่ห้ามเลยเหรอ

 

 

“ไม่ได้หมายความว่ายังไง” เฉียวเซิงเอนตัวพิงพนัก “เธอทิ้งหนังสือของคนอื่น คนอื่นเอาคืน สมเหตุสมผล”

 

 

คนอื่นในห้องต่างก็ก้มหน้า ไม่ปริปากพูดอะไร

 

 

เมิ่งซินหรานกวาดสายตามองรอบๆ จากนั้นพยักหน้า แสยะยิ้ม “ได้”

 

 

เธอหันหลัง ออกจากห้องเรียนไป

 

 

ไม่ได้ไปที่ไหน แต่ตรงไปที่ห้องพักในโรงเรียนของเกาหยาง

 

 

เกาหยางรับผิดชอบคาบเรียนช่วงเช้าสองคาบ และเป็นหัวหน้าทีมคณิตศาสตร์ด้วย ตอนบ่ายจึงเตรียมการสอนของคาบต่อไปในบ้านพัก

 

 

เพราะการสอดมือเข้ามายุ่งของผู้อำนวยการติงกับอาจารย์ใหญ่ ครูคนอื่นๆ ในโรงเรียนไม่มีใครกล้ายุ่งเรื่องนี้

 

 

และนักเรียนห้องเก้าก็ไม่ได้แจ้งเกาหยางเช่นกัน ตอนแรกเพราะไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายแบบนี้ ตอนหลังเป็นเพราะเว่ยจื่อหังเข้ามายุ่ง คนพวกนี้ต่างก็หวาดกลัวไม่มากก็น้อย

 

 

ฉะนั้นจนกระทั่งเมิ่งซินหรานไปหาเกาหยาง เกาหยางถึงได้รู้เรื่องนี้

 

 

เขาไม่แสดงท่าทีอะไร เพียงแค่ให้เมิ่งซินหรานนั่งคอยสักเดี๋ยว รอพวกหลินฉีมา

 

 

 

 

ฉินหร่านฟุบอยู่ที่โต๊ะอยู่ตลอด

 

 

กระทั่งเลิกเรียนคาบสี่ของช่วงบ่าย เธอถึงลุกขึ้น ถือหนังสือที่เสียหายหลายเล่มพวกนั้น เดินไปทางห้องพยาบาลด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีมากนัก

 

 

รอบตัวเต็มไปด้วยบรรยากาศขมุกขมัว ในห้องไม่มีใครกล้าคุยกับเธอ

 

 

เฉียวเซิงขมวดคิ้ว เขาหันหน้าไปกระซิบถามเหอเหวิน “นายไปถามผู้อำนวยการติงหน่อยสิว่า กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ไหม”

 

 

ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสืบหาความจริงให้ได้ก่อน

 

 

ไม่อย่างนั้นความขัดแย้งของทั้งคู่จะยิ่งบานปลายขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึงห้องพยาบาล ลู่จ้าวอิ่งกำลังนั่งพิงเก้าอี้ ควงปากกาอย่างเอื่อยเฉื่อย พอเห็นฉินหร่านหอบหนังสือเดินเข้ามาข้างในช้าๆ เขาก็เลิกคิ้ว “ตอนกลางคืนจะอ่านหนังสือแทน ไม่หัดคัดลายมือแล้วหรอ?”

 

 

“ฝึกด้วยเหมือนกัน” ฉินหร่านมองสมุดคัดลายมือกับปากกาบนโต๊ะ คิ้วที่ขมวดคลายตัวเล็กน้อย

 

 

เมื่อได้ยินเสียง เฉิงเจวี้ยนเองก็เงยหน้าขึ้น พอเห็นสีหน้าของเธอ มือก็ชะงักไป แต่ไม่พูดอะไร

 

 

เฉิงมู่ยังไม่เอาข้าวมา ฉินหร่านจึงนั่งอยู่อีกมุม เริ่มลงมือฝึกคัดลายมือ

 

 

ฝึกไปฝึกมา อารมณ์ก็ผ่อนคลาย

 

 

มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นอีกแล้ว

 

 

เธอยื่นมือไปหยิบมาอย่างรำคาญใจ ขณะเดียวกันเฉิงเจวี้ยนที่จับตามองเธออยู่ตลอดคิดว่าวินาทีต่อไปเธอต้องเขวี้ยงมือถือลงพื้นแน่นอน แต่สีหน้าของเธอกลับผ่อนคลายลง

 

 

“ฉันจะออกไปเอาของหน่อย” เธอไม่รับสาย เพียงแค่บอกกล่าวลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า น้ำเสียงฟังสบาย “ไปเถอะ”

 

 

พอฉินหร่านกำมือถือออกไปแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนถึงได้ออกไป ยืนพิงโต๊ะหัดคัดลายมือของฉินหร่าน ยื่นมือไปพลิกวรรณกรรมภาษาต้นฉบับที่ฉินหร่านเอามา

 

 

หนังสือพวกนี้เขาเป็นคนช่วยเธอเลือกครั้งก่อน

 

 

หนังสือใหม่เอี่ยม เฉิงเจวี้ยนรู้ว่าเธอคนนี้ไม่สนใจเรื่องอื่น แต่หวงแหนวรรณกรรมภาษาต้นฉบับพวกนี้อย่างยิ่ง

 

 

ตอนนี้ กลับเห็นหนังสือพวกนี้มีบริเวณที่เสียหายทุกเล่ม

 

 

บนหนังสือใหม่ถอดด้าม มีรอยรองเท้าที่ลบอย่างไรก็ลบไม่ออกอยู่ด้วย

 

 

มือของเฉิงเจวี้ยนนิ่งไป เขามองหนังสือเหล่านี้ หรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

 

 

ทางด้านฉินหร่าน เธอออกจากประตูโรงเรียน เห็นรถตู้สีดำคันหนึ่งตรงปากทาง

 

 

เธอเดินตรงไปที่รถตู้คันนั้นทันที เพิ่งถึงประตูรถ ประตูด้านหลังก็เปิดออก

 

 

บนรถตู้ขนาดใหญ่ มีคนแค่สองคน หนึ่งคนเป็นคนรถ อีกคนเป็นผู้ชายวัยรุ่นที่สวมหมวกเบสบอล

 

 

ตั้งแต่ฉินหร่านเข้ามาห้องโดยสารข้างหลัง คนรถก็อดชำเลืองมองข้างหลังไม่ได้ สามารถเห็นหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นผ่านกระจกมองหลังได้อย่างชัดเจน

 

 

เธอหลุบตาลงเล็กน้อย แพขนตาลู่ลง บดบังดวงตาของเธอไว้ครึ่งหนึ่งพอดี

 

 

บนใบหน้าเกลี้ยงเกลามีความหงุดหงิดที่คล้ายว่าจะเป็นปกติของเธออยู่ เครื่องหน้าละเอียดพอเหมาะพอดี เซื่องซึมอย่างยิ่ง

 

 

“ของที่ฉันขอกับนายเมื่อไม่กี่วันก่อนล่ะ” ฉินหร่านพิงเก้าอี้

 

 

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเงยหน้าขึ้นนิดหน่อย จากนั้นล้วงบัตรปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ฉินหร่าน “พรุ่งนี้เธอจะมาดูพวกเราแข่งขันหรือเปล่า”

 

 

เขาเอียงหัว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมา

 

 

เสียงของเขากังวาน เวลาพูดเคร่งขรึมและจริงจัง

 

 

หากตอนนี้มีคนอื่นอยู่ที่นี่ ต้องอดใจไม่ได้ กรีดร้องออกมาเป็นแน่

 

 

แม้จะเห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียว แฟนคลับตัวยงเหล่านั้นก็มองออกว่านี่แหละหยางเฟย จอมปีศาจเกมท่องยุทธภพภายใต้สังกัดอวิ๋นกวง ไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป!

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน ดูก่อน บัตรพวกนี้ขอให้เพื่อนของฉัน” ฉินหร่านไม่ได้ดูรายละเอียดของบัตร แต่มองจากความหนาแล้วมีไม่น้อยจริงๆ

 

 

เธอรับมาแล้วยัดใส่กระเป๋าทันที “เรียบร้อย ฉันไปละนะ”

 

 

คืนก่อนตอนอยู่ห้องพยาบาล ฉินหร่านก็ขอบัตรกับหยางเฟยผ่านวิดีโอคอลแล้ว

 

 

หยางเฟยพยักหน้า มองดูเธอออกไป

 

 

พอประตูปิด เมื่อเห็นร่างนั้นหายลับไปต่อตาผ่านหน้าต่างแล้ว เขาถึงได้เบนสายตาออก

 

 

ดึงมือซ้ายที่ล้วงกระเป๋าอยู่ตลอดออกมา

 

 

เมื่อแบมือที่กำไว้แน่นออก เขาถึงพบว่าฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

ผู้ชายที่นั่งบนที่นั่งคนขับเป็นโค้ชคนปัจจุบันของ OST

 

 

เขามองภาพด้านหลังของฉินหร่าน จู่ๆ เขาก็สะดุ้ง สมองนึกอะไรขึ้นมาได้ รูปถ่ายใบหนึ่งที่เคยเห็นจากสมาชิกเก่าหลายคนของทีม OST เขารีบหันมองหยางเฟย จิตใจว้าวุ่น “เทพพระอาทิตย์ เมื่อกี้ คนเมื่อกี้นี้นายคิดว่าเธอเหมือน…”

 

 

หยางเฟยไม่ตอบ แค่เตือนเขาว่า “โค้ช เราต้องไปแล้ว มีซ้อมตอนหนึ่งทุ่ม”

 

 

โค้ชพยักหน้า

 

 

แต่ก็อดมองไปทางประตูโรงเรียนไม่ได้

 

 

 

 

ตอนที่เมิ่งซินหรานโทร.หาหลินฉี ก็เป็นคาบที่สามของตอนบ่ายแล้ว หลังเขาไปรับหนิงฉิงที่สถานเสริมความงาม แล้ววนกลับมาโรงเรียน ก็เลยเวลาเลิกเรียนมาสิบนาทีแล้ว

 

 

เมื่อหนิงฉิงมาถึงฝั่งเกาหยาง ฟังผู้ช่วยหลินฉีอธิบาย ถึงได้รู้เรื่องของฉินหร่านกับเมิ่งซินหราน

 

 

เธอเงยหน้ามองอย่างไม่เชื่อ “ฉินหร่านเอาตั๋วของเธอไปงั้นเหรอ เพราะอะไร”

 

 

ฉินหร่านดื้อก็จริง แต่ในใจหนิงฉิง เธอไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้

 

 

“ไม่ใช่เอา แต่เป็นขโมย บัตรใบนั้นอยู่ที่ฉินหร่าน นั่นแหละหลักฐาน” เมิ่งซินหรานแก้ไขคำพูดของหนิงฉิง แววตาเย็นเยือก เหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง “ส่วนเรื่องที่ทำไมเธอทำแบบนี้ คุณต้องถามเธอ ฉันไม่อยากให้เรื่องไปถึงตำรวจ แต่ฉันก็ทนไม่ได้เหมือนกัน”

 

 

เมื่อได้ยินแจ้งตำรวจ หนิงฉิงก็กระวนกระวาย “จะขโมยได้ยังไง บัตรนั่นอาจจะ…”

 

 

“คุณคิดว่าบัตรนั่นใครก็ได้มาง่ายๆ งั้นเหรอ” เมิ่งซินหรานมองหนิงฉิงอย่างเฉยชา

 

 

ทั้งที่ไม่มีน้ำเสียงเยาะเย้ยเลย แต่สีหน้าของหนิงฉิงกลับนิ่งไป

 

 

“คุณลุง เธอเป็นลูกเลี้ยงของคุณลุง พวกคุณลุงจัดการกันเอง”

 

 

หนิงฉิงมองหลินฉีทันที

 

 

หลินฉีครุ่นคิด จากนั้นมองเกาหยาง “อาจารย์เกา หรานหร่านไม่รับสายของเรา รบกวนคุณช่วยเรียกเธอมาหน่อย”

 

 

แม้เขาจะไม่มีความเห็นอะไรกับฉินหร่าน ถึงขั้นว่าให้ความสำคัญ แต่ไม่ได้เห็นเธอสำคัญไปกว่าเมิ่งซินหราน