ณ คฤหาสน์ฉู่
ฉู่หนิงนอนหมดสติไปหนึ่งวันเต็มๆ จวบจนกระทั่งรุ่งอรุณวันต่อมา เขาถึงจะฟื้นขึ้นมา
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง ถึงจะจำได้ว่านี่คือบ้านของตนเอง
ไม่สิ ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ที่สำนักเทียนลู่ และกำลังหารือกับผู้อาวุโสซุนเรื่องไปตามหาฉู่หลิวเยว่ที่บรรพตวั่นหลิงอยู่เลย เหตุใดเพียงลืมตาขึ้นมาถึงกลับมาอยู่ที่บ้านของตนเองได้
เขาพยายามดันกายลุกขึ้น แต่มือกลับปัดไปโดนแก้วชาที่วางอยู่ข้างเตียงแทน
เมื่อได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหว ผู้ที่รออยู่ข้างนอกก็รีบเข้ามาทันที
“ใต้เท้าฉู่หนิง ท่านฟื้นแล้วหรือ”
ฉู่หนิงมองชายหนุ่มที่เข้ามาในห้องด้วยสีหน้ามึนงง
“เจ้าคือ…”
“ข้าคืออาจารย์จากสำนักเทียนลู่ นามว่าซินสือ เป็นคนที่ผู้อาวุโสซุนใช้ให้พาท่านกลับมาส่งที่บ้าน ตอนนี้ในเมื่อท่านฟื้นแล้ว ข้าก็จะได้กลับไปอย่างหายห่วง”
หลังจากที่เฝ้าอยู่ข้างนอกทั้งคืน ซินสือก็มีสีหน้าอิดโรย ทว่าดวงตาของเขาก็ยังแสดงความจริงใจออกมาเต็มเปี่ยม
“ท่านใจร้อนวู่วามเกินไป ด้วยเหตุนั้นเมื่อวานท่านจึงหมดสติไปอย่างกะทันหัน แต่หาได้มีปัญหาใหญ่ไม่ เพียงแค่ท่านต้องพักผ่อนเสียก่อนสักวันสองวัน อาการถึงจะดีขึ้น”
คราวนี้ฉู่หนิงได้สติกลับมาครบถ้วนแล้ว
“…ขอบใจเจ้ามาก”
ซินสือส่ายหน้าพัลวัน
“ไม่ต้องขอบใจๆ พวกเราเองก็เป็นห่วงสุขภาพท่านมาก หวังว่าท่านจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้มากๆ ในเมื่อท่านไม่เป็นอะไรมากแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ”
ฉู่หนิงพยักหน้า
เมื่อซินสือเห็นเขาสงบจิตสงบใจได้มาบ้างแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก หลังจากกำชับกันไม่กี่คำ เขาก็หันตัวออกไปทันที
ฉู่หนิงที่นั่งอยู่ภายในห้องได้ยินเสียงเปิดปิดของประตูอย่างชัดเจน
ในแววตาของเขาว่างเปล่าราวกับหลุมลึกที่มองไม่เห็น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นแล้วฝืนก้าวขาอันหนักหน่วงพยายามเดินออกไปยังข้างนอก
ไม่นานหลังจากที่ซินสือออกไปแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากข้างหลังของเขา จากนั้นก็เห็นว่าเป็นฉู่หนิงที่เดินตามออกมาเช่นกัน
บนใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ และมีความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ซินสือรีบเดินจ้ำอ้าวกลับไป
“ใต้เท้าฉู่หนิง ท่านรีบออกมาทำไมหรือ ร่างกายของท่านต้องการพักผ่อนให้เต็มที่ถึงจะ…”
ฉู่หนิงผลักมือของเขาที่กำลังจะช่วยประคองออกไปเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า
“ข้าอยากไปตามหาเยว่เอ๋อร์ เมื่อวานก็เสียเวลาไปหนึ่งคืนแล้ว วันนี้จะช้าต่อไปอีกไม่ได้ ข้าต้องรีบไปถึงจะถูก”
ซินสือเองก็จนปัญญา
สภาพของฉู่หนิงในเวลานี้ เกรงว่าถ้าหากบอกว่าเขาเป็นบ้าก็คงจะมีคนเชื่อ! เช่นนี้แล้วจะปล่อยให้ไปบรรพตวั่นหลิงเพียงลำพังได้อย่างไร
เขาดึงรั้งสองครั้ง แต่ก็มิอาจรั้งเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงวิ่งตามฉู่หนิงไปข้างหน้าเพื่อขวางทางเขาเอาไว้
“ท่านฟังที่ข้าเตือนบ้างเถิด! ใต้เท้าฉู่หนิง ไม่ว่าท่านคิดจะทำอะไรก็ตาม ท่านก็ต้องรักษาสุขภาพของท่านก่อนเป็นอย่างแรก สภาพท่านตอนนี้ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจะทำอย่างไร”
ฉู่หนิงพยายามสลัดเขาออกไป และเดินไปข้างหน้าด้วยความดื้อรั้น
“ข้าต้องไป ข้าจะต้องไปให้ได้…”
และทันใดนั้นเอง เสียงใสเจื้อยแจ้วของหญิงสาวที่ไพเราะก็ดังมาจากด้านหลังของเขา
“ท่านพ่อ นี่ท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ”
ฉู่หนิงนิ่งค้างไปทั้งร่าง!
น้ำเสียงนี้ เขาคุ้นเคยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
ว่าแต่…หรือนี่อาจจะเป็นเพราะเขาคิดถึงเยว่เอ๋อร์มากเกินไป เขาก็เลยเกิดอาการหูแว่ว?
“ท่านพ่อ?”
น้ำเสียงนั้นดังอยู่ข้างหลังเขานี่เอง ฉู่หนิงรีบหันกลับไปดูอย่างอดมิได้ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อเสียจนมิมีสิ่งใดเปรียบ และเขาก็ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง
เมื่อซินสือเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินจากมุมถนนพื้นหินสีเข้มตรงทางข้างหน้าพอดี
นางมีรูปร่างเพรียวระหง ใบหน้างดงามหยดย้อยพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราที่มุมปาก นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายแววใสดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งทำให้ทุกสิ่งรอบตัวนางไร้สีสันไปในทันที
หากคนผู้นี้ไม่ใช่ฉู่หลิวเยว่ที่ตายไปแล้ว แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีก!
หัวใจของซินสือสั่นไหว เขาอ้าปากพะงาบๆ แล้วชี้นิ้วไปที่นางอย่างอดมิได้
“เจ้าๆๆ…เจ้าคือฉู่หลิวเยว่หรือ!”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยความฉงนสงสัย
“อาจารย์ซินสือ ท่านลืมข้าแล้วหรือเจ้าคะ”
แม้ว่ายามปกตินางจะไม่ได้ค่อยไปสุงสิงกับอาจารย์ท่านนี้เท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะลืมนางได้หรอกกระมัง…
ซินสือหยิกแขนตัวเองแรงๆ หนึ่งที แต่เขาก็รู้สึกเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ!
แต่ทว่าเขากลับรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
เขาตบแขนฉู่หนิงด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ใต้เท้าฉู่หนิง ท่านรีบดูสิ! ฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้วจริงๆ! ท่านรีบดูเร็วๆ สิ!”
ทว่าตอนนี้ฉู่หนิงรู้สึกมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหู
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
ซินสือรีบอธิบาย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าทุกคนต่างคิดว่าเจ้า…เอ่อคือ ใต้เท้าฉู่หนิงดึงดันจะไปตามหาเจ้าที่บรรพตวั่นหลิงให้ได้! คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมาแล้ว! ช่างดีจริงๆ!”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
เช่นนั้นจริง สถานการณ์เช่นนั้น เกรงว่าก็คงไม่มีใครคาดคิดว่านางจะมีชีวิตรอดกลับมา
ที่แท้…สถานที่ที่ท่านพ่อยืนกรานจะไปเมื่อครู่นี้ก็คือบรรพตวั่นหลิงนั่นเอง!
ในขณะที่ทุกคนคิดว่านางได้ตายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะยังต้องการออกไปตามหานาง…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูก หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ดังนั้นนางจึงเอื้อมมือไปจับแขนของฉู่หนิง
“ท่านพ่อ เยว่เอ๋อร์กลับมาแล้ว!”
ทันทีที่นางสัมผัสโดนแขนของตน ทันใดนั้นฉู่หนิงก็รู้สึกอุ่นวาบราวกับมีน้ำทิพย์โชลมใจ!
ความรู้สึกชะงักค้างแข็งทื่อราวกับน้ำแข็งพลันสลายไปในทันที แล้วกลายเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและอ่อนโยน จากนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว!
คราวนี้ร่างกายของฉู่หนิงขยับเขยื้อนบ้างแล้ว จากนั้นเขาจึงค่อยๆ หันหน้ามา และในที่สุดก็เห็นใบหน้าที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันได้เห็นอีก
เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นสภาพของเขาแล้ว นางก็ตกตะลึง
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ฉู่หนิงซึ่งเดิมเป็นสะอาดและดูดีอยู่เสมอ แต่ทว่าตอนนี้กลับดูเหมือนจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
หนวดบนใบหน้าของเขาเขียวครึ้ม ผิวใต้ดวงตาดำคล้ำและดวงตาที่แดงก่ำไปด้วยเส้นโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าที่ดูหม่นหมอง เมื่อพิศมองทั้งตัวของเขาแล้วมีสภาพเหมือนร่างไร้วิญญาณที่สามารถเดินได้ก็มิปาน
ฉับพลันดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมา
“…ท่านพ่อ เยว่เอ๋อร์ขอโทษ เยว่เอ๋อร์กลับมาแล้ว”
ฉู่หนิงจ้องนางตาไม่กะพริบ อีกทั้งยังกุมมือของนางเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหายไปอีกครั้งก็มิปาน
“เยว่เอ๋อร์…เยว่เอ๋อร์…เยว่เอ๋อร์ของพ่อ…”
เสียงเรียกของเขาตอกย้ำจนทำให้ฉู่หลิวเยว่แทบขาดใจ
น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างห้ามมิได้
“ท่านพ่อ พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถิด”
“ได้ ใช่! กลับบ้านกัน!”
ในที่สุดฉู่หนิงก็มีชีวิตชีวากลับมาอย่างสมบูรณ์
“พวกเรากลับบ้านกันเถิด!”
ซินสือที่อยู่ข้างๆ ก็ดีใจมากไม่แพ้กัน
“ใต้เท้าฉู่หนิง หลิวเยว่ พวกท่านกลับไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้านก่อน ข้าจะกลับไปยังสำนัก เพื่อไปแจ้งข่าวให้พวกผู้อาวุโสซุนทราบ หลายวันมานี้ พวกเขาก็เป็นห่วงกังวลพวกท่านมากเช่นกัน!”
เมื่อพูดจบ ซินสือก็หันหลังวิ่งกลับไปทันที
อันที่จริงซินสือเองก็ชื่นชมในตัวฉู่หลิวเยว่มาก ตอนนี้เมื่อเขาเห็นนางกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จนเขาไม่สามารถเก็บซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้
ทันทีที่เขาเดินทางกลับมาถึงสำนักเทียนลู่ ใครหลายคนก็เกิดความสงสัยแปลกใจเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเขาบนใบหน้าของเขา
เมื่อเดินมาได้ไม่ไกลเท่าใดนัก เขาก็บังเอิญเดินชนไป๋เชินพอดิบพอดี
ไป๋เชินถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ซินสือ ผู้อาวุโสซุนให้เจ้าไปดูแลใต้เท้าฉู่หนิงมิใช่หรือ แล้วตอนนี้เจ้ากลับมา ใต้เท้าฉู่หนิงดีขึ้นมาบ้างหรือยัง”
ซินสือหัวเราะแหะๆ “ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่ดีขึ้นมาบ้าง แต่ดีมากจนหายเป็นปลิดทิ้งเลยต่างหากเล่า! ผู้อาวุโสซุนล่ะ ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบแจ้งให้ท่านทราบเดี๋ยวนี้!”
เมื่อไป๋เชินเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“จริงหรือเล่น เมื่อวานใต้เท้าฉู่หนิงยังเสียอกเสียใจอยู่เลย ตอนนี้เขาจะดีขึ้นได้อย่างไร ผู้อาวุโสซุนกำลังยุ่งอยู่ เจ้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ เหตุใดจึงต้องรีบบอกเขาขนาดนี้”
ซินสือตบหน้าอกเขาไปหนึ่งที “ฮ่าๆ! ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ถึงอย่างไรประเดี๋ยวคนทั้งเมืองหลวงย่อมรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว! คืออย่างนี้…ฉู่หลิวเยว่…นางมีชีวิตรอดกลับมาแล้ว!”
ในขณะที่ฉู่เซียนหมิ่นเพิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกแล้วได้ยินประโยคนี้ ทันใดนั้นก็หยุดชะงักราวกับถูกฟ้าผ่า! จากนั้นนางจึงเงยหน้ามองขึ้นไปอย่างไม่เชื่อสายตา!