เล่ม 2 ตอนที่ 157 ชดใช้ด้วยชีวิต

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ไป๋เชินตะลึงค้าง

“เจ้าว่าเช่นใดนะ!”

“ข้าบอกว่าฉู่หลิวเยว่ยังไม่ตาย! นางยังมีชีวิตอยู่! และเช้านี้นางกลับมาเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว! ตอนนี้นางกำลังอยู่ที่บ้านกับใต้เท้าฉู่หนิง!”

ซินสือพูดซ้ำด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“เพราะเรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสซุนเอาแต่รู้สึกผิดและโทษตัวเองมาสองวันแล้ว ข้าก็จะรีบไปแจ้งข่าวให้ท่านทราบเดี๋ยวนี้แหละ!”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หัวเราะลั่นออกมา และกำลังจะเดินจากไป

ทว่าไป๋เชินหลับดึงแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะถามอีกครั้งด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ ผู้อาวุโสซุนกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเสี่ยวหลิวเยว่ถูกวังน้ำวนสีดำของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหากลืนกินลงไปและเป็นเหตุให้ต้องตาย แล้วจะรอดได้อย่างไร”

“เฮ้อ ความจริงนั้นข้าก็แปลกใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่นางมายืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเลย! ไป๋เชิน ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อล่ะก็ เจ้าก็ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสิ! แต่ทว่าวันนี้กว่าสองพ่อลูกคู่นั้นจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาช่างไม่ง่ายเลย ข้าคิดว่ารอให้นางได้ดูแลใต้เท้าฉู่หนิงแล้วกลับมาถึงสำนักก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย! เอาล่ะ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าต้องไปหาผู้อาวุโสซุนก่อน!”

หลังจากซินสือพูดจบ เขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เชินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่อยากรบกวนในเวลานี้

เขาเองก็เคยเห็นสภาพของใต้เท้าฉู่หนิงในวันนั้นเช่นกัน เกรงว่าพวกเขาสองพ่อลูกคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันมาก ดังนั้นเขาตัดสินใจรออยู่ที่นี่อย่างใจเย็นจะดีกว่า

“นี่ ซินสือ รอข้าด้วย ข้าไปด้วย!”

ไป๋เชินตะโกนและเดินตามซินสืออย่างรวดเร็ว เขาอยากไปฟังเรื่องราวอย่างละเอียดอีกครั้งว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลังจากที่ทั้งสองออกไปได้สักพัก ฉู่เซียนหมิ่นที่ยืนตรงหน้าประตูยังคงไม่สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้

ฉู่หลิวเยว่ยังมีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ

นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!

ผู้อาวุโสซุนกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่านางตายภายใต้เงื้อมมือของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา แล้วตอนนี้นางกลับมาได้อย่างไร!

เหลวไหลที่สุด!

เรื่องนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทว่าอาจารย์ซินสือไม่มีทางพูดโป้ปดอย่างแน่นอน ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เรื่องนี้ต้องได้ยืนยันชัดเจนอย่างแน่นอน

หากฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…เรื่องของนางเองล่ะ จะทำเช่นไรดี!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ได้ ฉู่เซียนหมิ่นพลันมีสีหน้าซีดเผือดทันที

เมื่อค่ำคืนวานนี้ กว่านางจะหาโอกาสพบรัชทายาทได้นั้นไม่ง่ายเลย

นางทูลองค์ชายรัชทายาทว่า นางสามารถขึ้นไปแทนที่ตำแหน่งของฉู่หลิวเยว่ได้ และก็จะได้เข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่ง

ตราบใดที่สามารถคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ ทุกอย่างก็ยังคงมีความหวัง และยังมีความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันขององค์ชายอีกด้วย

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางก็พอเดาได้คร่าวๆ ว่าองค์ชายรัชทายาทถูกฝ่าบาทลงโทษเป็นแน่

หากต้องการช่วยองค์ชายรัชทายาทล่ะก็ จำเป็นต้องมีผู้ที่มีอำนาจหนักแน่นพอที่จะช่วยพูดแทนให้ได้

เห็นได้ชัดว่ารัชทายาทก็คิดตรงจุดนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีกับนางที่ดีขึ้น ไม่เพียงแต่ให้นางย้ายมาอยู่ที่สวนอู๋ถงที่ใกล้กับตำหนักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังประทานของกำนัลให้นางมากมายอีกด้วย

พวกบ่าวรับใช้ในจวนรัชทายาทพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยามเช้าตรู่ตอนนางออกจากจวน จากที่เคยไม่เคารพนางเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้กลับเคารพนางมากยิ่งขึ้น

เมื่อครู่นี้นางยังใช้คนให้ไปตามหมอมาดูอาการท่านพ่ออยู่เลย และนางก็คิดว่าปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขแล้ว

ทว่าตอนนี้…

นางบังคับตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า แต่พอก้าวไปได้เพียงหนึ่งก้าว นางตระหนักว่าขาของตนอ่อนจริงๆ จากนั้นนางก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที

ในไม่ช้าข่าวคราวที่ฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาจากบรรพตวั่นหลิงก็แพร่ออกจากสำนักไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

หินเพียงก้อนเดียวแต่สามารถสร้างคลื่นได้นับพันระลอก!

บ้างก็ตกใจ บ้างก็ดีใจ และมีบ้างที่รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ

ในเวลาเดียวกันมีบางตระกูลที่ดีใจ และบางตระกูลที่ทุกข์ใจ

มีใครหลายคนต้องการสืบสาวราวเรื่อง แต่ฉู่หลิวเยว่ดูแลปรนนิบัติฉู่หนิงผู้เป็นบิดาทั้งวัน ไม่แม้แต่ออกจากบ้านไปที่ใด

ฉู่หนิงตรอมใจเพราะนางจึงทำให้กลายเป็นเยี่ยงนั้น นางจึงรู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงทิ้งเรื่องอื่นเอาไว้ข้างหลัง แล้วดูแลเขาให้ดีขึ้นเสียก่อน และถือโอกาสนี้พักฟื้นไปในตัว

เมื่อฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้ว ฉู่หนิงและคนอื่นก็รู้สึกเบาใจลงแล้ว แต่ทว่ากลับมีคนบางคนที่ยังตกตะลึงอยู่

ณ ตระกูลฉู่

หลังจากหมอที่ฉู่เซียนหมิ่นให้คนไปเรียกมากลับไปเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ฉู่เยี่ยนฟื้นขึ้นมา ก็เห็นลู่เหยาที่อยู่ข้างกายกำลังมีสีหน้ามืดมน

ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น แต่เขากลับพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับตัวได้เลย คราวนี้เขาจึงนึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อนขึ้นมาได้ และนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกฉู่หนิงตีจนสลบเหมือด

เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดโมโหขึ้นมาทันใด

“นี่เจ้า เจ้าทำหน้าบูดแบบนี้ให้ใครดูกัน”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาสองสามีภรรยามีชีวิตที่ยากลำบากมากในตระกูลฉู่

การที่ฉู่หลิวเยว่มาก่อความวุ่นวายในวันนั้น ทำให้พวกเขาถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลู่เหยา นางโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมาตั้งหลายปี แต่ตอนนี้กลับถูกจับได้แล้ว คนอื่นๆ ในตระกูลฉู่ก็พบว่าได้เสียผลประโยชน์ของตนเองไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน

นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายรัชทายาทอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะกำเริบเสิบสานกับพวกเขาสองสามีภรรยา

ลู่เหยาถูกลิดรอนสิทธิ์ในการดูแลทรัพย์สินของส่วนกลาง และแม้แต่ด้านหน้าร้านค้าที่ขึ้นชื่อของฉู่เยี่ยนก็ถูกริบกลับไปทั้งหมด

ทุกวันนี้แม้ภายนอกเขายังคงเป็นนายน้อยคนที่สามของตระกูลฉู่อยู่ แต่ในด้านความเป็นจริง เขาไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว

คนเหล่านั้นที่เมื่อก่อนคอยประจบประแจงพวกเขา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสี แล้วพากันตีตนออกห่างหมดแล้ว

แม้กระทั่งตอนนี้ที่เขาโดนตีจนกลายเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เขายังไม่เห็นหัวใครโผล่มาสักคน!

ลู่เหยามองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้วมุ่น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ยังมีชีวิตอยู่!”

ฉู่เยี่ยนตะลึงค้าง

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ”

“เช้าวันนี้นางได้กลับมาแล้ว! ตอนนี้คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองหมดแล้ว! นางไม่ได้ตายอยู่ที่บรรพตวั่นหลิงตั้งแต่แรก!”

ลู่เหยาทราบดีกว่าฉู่เยี่ยนว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมากเพียงใด…ตอนนี้แผนการของหมินหมิ่นล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว!

“ไม่ได้การล่ะ พวกเราจะมานั่งรอความตายเยี่ยงนี้ไม่ได้…” ลู่เหยาลุกพรวดพราดขึ้นมา และเดินวนเวียนไปมาในห้อง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในใจนาง!

ช้าก่อน!

ฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว ถ้าอย่างนั้น…แล้วกู้หมิงจูล่ะ!

นางจึงรีบเดินไปยังอีกด้านเพื่อเริ่มเขียนจดหมาย

ฉู่เยี่ยนยิ่งสับสนงงงวยมากขึ้นเรื่อยๆ “เจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ”

ลู่เหยาเอ่ยตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

“เขียนจดหมายถึงฮูหยินตระกูลกู้อย่างไรเล่า”

“นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจคิดถึงเรื่องพวกนี้อยู่อีกหรือ!”

ฉู่เยี่ยนไม่ได้โกรธเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว

ทว่าลู่เหยากลับหัวเราะขึ้นมา

“เรื่องนี้ ต้องทำตอนนี้นี่แหละถึงจะเหมาะสมที่สุด ตามข่าวลือเล่าว่าฉู่หลิวเยว่ตายไปพร้อมกับกู้หมิงจู แต่ทว่าตอนนี้นังฉู่หลิวเยว่มันกลับมาได้แล้ว แต่กลับไร้วี่แววกู้หมิงจู เช่นนั้นก็รู้ชัดเจนแล้วว่านางตายจริง! เจ้าว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไร”

ฉู่เยี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เข้าขึ้นมาทันที “นี่เจ้าหมายความว่า…”

ลู่เหยายกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย

“นางมีชีวิตรอดกลับมาแล้วอย่างไรเล่า เพราะว่ายังมีคนตั้งมากมายในเมืองหลวงที่ต้องการชีวิตของนาง!”

ภายในค่ำคืนนั้น จดหมายก็ได้ส่งไปยังตระกูลกู้

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นว่าฉู่หนิงมีอาการดีขึ้นมากแล้ว นางจึงเบาใจแล้วเดินทางกลับไปที่สำนัก

ทันทีที่นางไปถึงประตูสำนักเทียนลู่ นางก็ถูกใครบางคนเข้ามาขวางทางเอาไว้

“ฉู่หลิวเยว่! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เมื่อนางหันหลังกลับไปมองก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดูอายุราวๆ สามสิบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับคนมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง

นางมีผิวพรรณขาวซีด ขอบตาแดงก่ำ ทั้งดูโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวไปพร้อมกัน

เมื่อนางเห็นหน้าของฉู่หลิวเยว่ นางก็วู่วามขึ้นมา พร้อมกับตะโกนร้องไห้แผดเสียง

“เจ้าคืนชีวิตของบุตรสาวข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!”