น้ำเสียงนั้นช่างบาดแก้วหูเหลือเกิน จนทำให้ฉู่หลิวเยว่ถึงต้องขมวดคิ้ว
“เจ้าคือผู้ใด”
เมื่อสตรีนางนั้นได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกราวกับถูกยั่วยุมากกว่าเดิม นางจึงปรี่เข้าไปตบหน้าฉู่หลิวเยว่!
“เจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าเป็นใครอีกอย่างนั้นหรือ! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฉู่หลิวเยว่เบี่ยงเท้าหนึ่งก้าวเพื่อหลบการจู่โจมของนาง
ทันใดนั้นสตรีนางนั้นก็เซถลาจนเกือบจะล้มหัวคะมำกับพื้น โชคดียังที่คนที่อยู่ข้างหลังของนางเข้ามาช่วยประคองร่างอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยิน ท่านโปรดระวังด้วยขอรับ!”
ไฟแห่งความโกรธของสตรีนางนั้นปะทุมากกว่าเดิม จากนั้นนางจึงชี้หน้าฉู่หลิวเยว่แล้วกล่าวเสียงเฉียบขาด
“ไป! ไปจับนางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
เมื่อคนพวกนั้นได้ยินสิ่งที่นายหญิงของตนสั่งก็ก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนจะล้อมฉู่หลิวเยว่เอาไว้หมายจะจับตัวนาง!
ฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนสีหน้า น้ำเสียงก็เย็นเฉียบลงไปถึงสามส่วน ฟังดูแล้วไร้ความโกรธแต่ทว่าเป็นการข่มขู่เสียมากกว่า
“ที่นี่คือสำนักเทียนลู่ ข้าจะดูสิว่าใครจะกล้ามาสร้างความวุ่นวายถึงที่นี่!”
ประโยคนี้ทำให้พวกเขาหยุดชะงักและเกิดความกระวนกระวายได้สำเร็จ
นั่นนะสิ!
ไม่ว่าอย่างไร ที่แห่งนี้ก็คือบริเวณหน้าประตูสำนักเทียนลู่ ถ้าหากว่าพวกเขาทำอะไรเกินเหตุตรงนี้ ทางสำนักเทียนลู่คงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด!
แต่ดูเหมือนสตรีนางนั้นจะไม่ฟังคำพูดของฉู่หลิวเยว่ นางจึงขึ้นเสียงสูงไปอีกแปดส่วน
“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออะไรอยู่ รีบไปจับตัวนางมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้! ตระกูลกู้ของข้าต้องการจับตัวนาง ผู้ใดจะกล้ามาขัดขวางรึ!”
ตระกูลกู้?
ความคิดของฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไปทันที คราวนี้นางจึงจำสถานะตัวตนของสตรีนางนี้ได้แล้ว
ฮูหยินเอกของกู้อวิ๋นเฟยประมุขตระกูลกู้ นายหญิงแห่งตระกูลกู้…เยว่เจินหลิง
เจ้าของร่างเดิมเคยพบเจอสตรีนางนี้แค่เพียงครั้งเดียว ทั้งยังผ่านมานานหลายปีอีกต่างหาก ดังนั้นตอนที่ฉู่หลิวเยว่เห็นนางเมื่อครู่นี้จึงคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
ทว่าคนที่หยิ่งยโสเช่นนี้ เมื่ออ้าปากโอ้อวดว่า “ตระกูลกู้ของข้า” จึงเดาได้ไม่ยากว่านางคือผู้ใด
จากนั้นฉู่หลิวเยว่จึงเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันทีว่าประโยคแรกที่นางเอ่ยนั้นหมายถึงเรื่องอะไร
เพราะว่าเยว่เจินหลิงคือมารดาผู้ให้กำเนิดกู้หมิงจูนั่นเอง!
“ที่แท้ก็คือฮูหยินตระกูลกู้นี่เอง ข้ากับตระกูลกู้ของพวกท่านไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน แล้วไม่เคยทำอะไรผิดต่อตระกูลของพวกท่านหรอกกระมัง ไม่รู้ว่าท่านไปโมโหอะไรมาถึงให้คนมาจับตัวข้า ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เยว่เจินหลิงหัวเราะด้วยความโกรธ นางมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้น
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ เจ้าทำอะไรลงไป เจ้าน่าจะรู้ดีแก่ใจมากที่สุด!”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม “ข้าก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ท่านช่วยอธิบายให้ข้าก่อนจะได้หรือไม่”
เยว่เจินหลิงโกรธจนตัวสั่น
“เจ้า!”
“นี่มันอะไรกัน เอะอะโวยวายอะไรตั้งแต่เช้า!”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งรีบเดินออกมาจากประตูสำนัก
ฉู่หลิวเยว่หันหลังกลับไปมอง
“อาจารย์ไป๋เชิน”
เมื่อไป๋เชินเห็นฉู่หลิวเยว่ หัวใจของเขาถึงกับกระตุกวูบ
ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้จะอุตส่าห์ได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้ว ทว่าเมื่อได้มาเห็นกับตาตนเอง เขาก็ยังอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้
“เสี่ยวหลิวเยว่! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
เขารีบก้าวเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่ แล้วมองสำรวจนางหัวจรดเท้าอย่างถี่ถ้วน
“เจ้า นี่เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้แก่เขา
“ก็ใช่น่ะสิท่านอาจารย์ ข้ายังดีๆ อยู่เลย ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”
“ดีๆๆ! กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี!”
หัวใจของไป๋เชินเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา มีคำพูดมากมายที่อยากพรั่งพรูออกมา แต่ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ดังนั้นเขาจึงเหลือเพียงไม่กี่ประโยคที่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้
เขาได้รับรายงานว่ามีคนมาส่งเสียงดังโหวกเหวกอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ตอนแรกเขากะว่าจะมาดูสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าเป็นฉู่หลิวเยว่
หัวใจที่ร้อนรนกระสับกระส่ายมาทั้งคืน ในที่สุดก็สามารถสบายใจได้แล้ว!
เมื่อจิตใจของเขาสามารถสงบลงมาได้บางแล้ว เขาจึงหันไปมองรอบข้าง จากนั้นสีหน้าของเขาก็พลันตึงเครียดทันที
ดูเหมือนคนพวกนี้จะต้องการทำอะไรบางอย่างกับเสี่ยวหลิวเยว่…
ในที่สุดสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่เยว่เจินหลิง
“ฮูหยินกู้ ท่านมาได้อย่างไร”
เยว่เจินหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ นางพยายามระงับโทสะในจิตใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“อาจารย์ไป๋เชิน นี่เป็นเรื่องระหว่างตระกูลกู้ของพวกข้ากับฉู่หลวเยว่ ทางที่ดีท่านไม่ควรมายุ่งเสียจะดีกว่านะ!”
ไป๋เชินเริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“ฮูหยินกู้ ท่านพูดอะไรเช่นนั้น เสี่ยวหลิวเยว่คือศิษย์สำนักเทียนลู่ของพวกเรา เวลานี้ท่านจะมาพาตัวนางไป พวกเราจะไม่มีสิทธิ์ถามสักคำเลยหรือ”
เยว่เจินหลิงหาได้เป็นคนโง่เขลา นางเข้าใจทันทีว่าไป๋เชินยืนอยู่ฝ่ายฉู่หลิวเยว่
ถึงแม้สถานะของตระกูลกู้เป็นที่เคารพนับถือ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถล่วงเกินสำนักเทียนลู่ได้ง่ายๆ
ถ้าหากไป๋เชินยืนกรานที่จะปกป้องฉู่หลิวเยว่ เช่นนั้นนางก็คงไม่มีทางรั้นพาตัวฉู่หลิวเยว่ไปจากที่นี่ได้จริงๆ
“ถามคำถามนี้กับข้า มิสู้ถามฉู่หลิวเยว่ดีกว่า!”
ไป๋เชินเหลือบมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความสงสัย
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอันใด เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าเพิ่งเดินมาถึงประตูสำนัก ฮูหยินกู้ก็พาพรรคพวกปรี่เข้ามาจับตัวข้าไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วยังพูดอีกว่า…ข้าต้องชดใช้บุตรสาวของนางด้วยชีวิต”
เมื่อไป๋เชินได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที แล้วเขาก็มองไปที่เยว่เจินหลิงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ฮูหยินกู้ ท่านหมายความว่า…ฉู่หลิวเยว่คือคนที่ทำร้ายกู้หมิงจูบุตรสาวของท่านอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง!”
เมื่อได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อบุตรสาวของตน เยว่เจินหลิงที่เพิ่งระงับโทสะได้ก็เกิดอารมร์ชั่ววูบขึ้นมาอีกครั้ง แล้วน้ำตาของนางก็ไหลพราก
“เป็นเพราะนาง! นางทำให้บุตรสาวคนเดียวของข้าต้องตาย!”
ไป๋เชินเปลี่ยนสีหน้าลุ่มลึกขึ้นมาเล็กน้อย
“ฮูหยินกู้ นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ท่านอย่าพูดเหลวไหล ข้าเข้าใจถึงความเสียใจที่ท่านต้องสูญเสียบุตรสาวไป แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บรรพตวั่นหลิงในตอนนั้นมันชุลมุนวุ่นวายไปหมด แม้กระทั่งพวกข้ายังมิรู้แน่ชัดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านตัดสินใจเช่นนี้ ท่านคิดว่าเสี่ยวหลิวเยว่เป็นคนทำร้ายบุตรสาวท่านอย่างนั้นหรือ”
“ข้ามั่นใจแน่นอน ข้าไปตามสืบมาแล้ว ตอนนั้นกู้หมิงจูและฉู่หลิวเยว่ถูกขังไว้ที่ภูเขาลูกหนึ่งด้วยกัน จากนั้นก็ถูกปิดล้อมด้วยนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาและสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วน! สถานการณ์เยี่ยงนั้น เหตุใดกู้หมิงจูต้องตาย แล้วมีเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวที่เหลือรอดกลับมาอย่างปลอดภัย! ต้องเป็นนางที่ทำอะไรกับบุตรสาวของข้าอย่างแน่นอน!”
เยว่เจินหลิงตะโกนออกมาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์คุกรุ่น ราวกับว่านางได้เห็นเหตุการณ์มากับตาตัวเองก็มิปาน
ไป๋เชินรับฟังแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วย อีกทั้งยังรู้สึกน่าขันมากด้วย
“…ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่ฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาแค่คนเดียว ท่านจึงตัดสินใจว่านางเป็นคนฆ่ากู้หมิงจูจนทำให้นางถึงแก่ความตายใช่หรือไม่”
เยว่เจินหลิงตวาดลั่น
“เหตุผลแค่นี้ยังไม่พออีกหรือ! ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าก็ให้นางอธิบายเองสิว่าในสถานการณ์เยี่ยงนั้นนางรอดพ้นจากสวรรค์มาได้อย่างไร!”
ถ้าหากว่าฉู่หลิวเยว่ตายไปพร้อมกัน เช่นนั้นนางก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดอีก และนางจึงทำได้เพียงยอมรับความโชคร้ายเอาไว้เอง
ทว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ยังมายืนลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงนี้ได้ แม้กระทั่งร่างของบุตรสาวนางยังยากที่จะตามหา!
แล้วจะไม่ให้นางเกลียดชังคนผู้นี้ได้อย่างไร!
ไป๋เชินถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ท่านพูดออกมาเช่นนี้ ท่านมีหลักฐานหรือ ถ้าไม่มีหลักฐานก็แสดงว่าท่านใส่ร้ายเด็กอยู่นะ”
เยว่เจินหลิงตกตะลึง นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรในขณะที่รู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน แล้วอาศัยจินตนาการของตนเองก็ตัดสินว่าข้าเป็นคนผิดแล้ว ทั้งยังจะมาลักพาตัวข้าไปอีก ฮูหยินกู้ ท่านเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เป็นเช่นนั้นหรือไม่”
เยว่เจินหลิงถูกทั้งสองตำหนิก็สะอึกจนพูดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ บัดนี้กลับกลายเป็นขาวซีด
ถึงอย่างไรนางก็ผ่านโลกมามากมาย ดังนั้นนางจึงโต้เถียงกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อธิบายให้ชัดเจนสิว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาอย่างปลอดภัยแค่เพียงผู้เดียว ถ้าหากเจ้ามีหนทางหลบหนีอยู่แล้ว แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยกู้หมิงจูสักนิด!”