เล่ม 2 ตอนที่ 159 เสี้ยมสอน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

เหตุใดถึงไม่ช่วยหรือ

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ กลับกันนางต้องถามตัวเองมากกว่าว่าทำไมจะต้องช่วยด้วย

ระหว่างนางกับกู้หมิงจูมิได้เป็นมิตรหรือศัตรูกัน ที่สำคัญตอนที่กู้หมิงจูต้องการให้ชีวิตตนเองรอด ยังชี้โพรงนางให้นาคาปีกทมิฬกลืนเวหารู้อีกด้วย!

นางยังไม่ได้คิดบัญชีกับกู้หมิงจูเลยด้วยซ้ำ คนของตระกูลกู้กล้าดียังไงมาขอให้นางชดใช้ชีวิตให้กับกู้หมิงจู!

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“สถานการณ์วิกฤตในตอนนั้น ลำพังข้าเองก็เอาชีวิตรอดอย่างยากลำบาก แล้วข้าจะไปสนใจผู้อื่นได้อย่างไร ฮูหยินกู้ ท่านอย่าลืมสิ ท่านคิดว่าข้าสามารถต่อกรกับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นได้หรือ”

เยว่เจินหลิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“แล้ว…ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร! ใครจะไปรู้ เจ้าอาจจะแลกชีวิตบุตรสาวของข้าก็ได้! ใช่ มันต้องอย่างนั้นแน่ๆ!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยว่เจินหลิงก็ขึ้นเสียงทันที และดูเหมือนนางจะตัดสินว่าฉู่หลิวเยว่จะต้องรอดชีวิตด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจ

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะลั่นออกมา

ดั่งคำโบราณท่านว่า ดูวัวให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่แม่ เยว่เจินหลิงและกู้หมิงจูสองแม่ลูกคู่นี้สันดานเช่นเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน

ถ้าหากเยว่เจินหลิงมาแทนที่ในเหตุการณ์ตอนนั้น เกรงว่านางก็คงเลือกทำเหมือนอย่างที่กู้หมิงจูทำ คือการเอาชีวิตของผู้อื่นมาแลกด้วยชีวิตของตนเอง

“ฮูหยินกู้ ข้าอธิบายชัดเจนแล้ว ที่ข้ารอดกลับมาได้ก็เพราะว่าข้าโชคดีเท่านั้น แต่ทำอย่างไรท่านก็ไม่ยอมเชื่อเสียที เช่นนั้นข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ท่านเลือกเชื่อแค่จินตนาการของตนเองเท่านั้น! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะคิดอย่างไรก็เรื่องของท่าน แต่วันนี้ ถ้าหากท่านยังไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ล่ะก็ ข้าก็ไม่สามารถไปกับพวกท่านไปได้ ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน”

เมื่อกล่าวจบ ฉู่หลิวเยว่ก็เตรียมหันหลังเดินจากไป

“เจ้ายังไปไม่ได้!”

เยว่เจินหลิงก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะดึงแขนเสื้อของฉู่หลิวเยว่ แต่นางก็สะบัดเบาๆ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง

ความอดทนของฉู่หลิวเยว่ได้หมดลงอย่างสมบูรณ์

“ฮูหยินกู้ ข้าไม่ได้มีความอดทนมากถึงเพียงนั้นหรอกนะ”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ทว่าในดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับมีแสงเย็นยะเยือกวูบไหว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ฮูหยินกู้ถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ แล้วก็ไม่กล้าเอื้อมมือออกไปดึงแขนเสื้อฉู่หลิวเยว่อีกต่อไป

จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หันหลังเดินเข้าไปในสำนักทันที

ไป๋เชินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยว่เจินหลิง จากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาแล้วพยายามเกลี้ยกล่อมนาง

“ฮูหยินกู้ ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้หมิงจูนั้นสะเทือนใจท่านมาก พวกเราในฐานะอาจารย์ก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถใส่ความผู้ใครตามใจชอบได้มิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นฉู่หลิวเยว่เป็นคนอย่างไร พวกเราต่างรู้ดี นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นดั่งที่ท่านกล่าวหาหรอก เพราะฉะนั้น ข้าคิดว่าวันนี้ท่านควรกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดนะ”

แต่เยว่เจินหลิงก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกอยู่ดี

“อาจารย์ไป๋เชิน วันนี้ท่านปกป้องฉู่หลิวเยว่ ใช่หรือไม่! นางเอายาเสน่ห์อะไรใส่ให้พวกท่านกิน พวกท่านถึงได้เชื่อนางกันขนาดนี้! พวกท่านลองคิดเองบ้างสิ ในสถานการณ์เยี่ยงนั้น ถ้าหากนางไม่ใช้วิธีอะไรที่สกปรก แล้วนางจะรอดออกมาได้อย่างไร!”

สีหน้าของไป๋เชินก็เย็นชาขึ้นมาบ้างเช่นกัน

“ฮูหยินกู้ ท่านพูดเยี่ยงนี้หมายความว่าอาจารย์และผู้อาวุโสของสำนักเทียนลู่ทั้งหมดดูแลแค่ฉู่หลิวเยว่ผู้เดียวใช่หรือไม่”

เยว่เจินหลิงคิดว่านี่อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่นางกลับไม่กล้าพูดออกมา

นางจึงจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น

อย่างที่ลู่เหยากล่าวไว้ไม่มีผิด ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้เป็นนังอสรพิษจริงๆ ด้วย

“เหอะ ฉู่หลิวเยว่เป็นคนอย่างไรข้าไม่รู้หรอกนะ ข้ารู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นนางทรยศได้แม้กระทั่งตระกูลฉู่ที่ให้ที่ซุกหัวนอนปลายเท้า เตะขาออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ยังจะปอกลอกตระกูลฉู่ ทำให้ตระกูลฉู่ต้องวุ่นวาย แล้วนับประสาอะไรกับผู้อื่น! ฉู่หลิวเยว่ หากวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับข้า ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้นเด็ดขาด!”

หลังจากที่นางพูดจบ ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนลงแล้วทรุดตัวลงไปกองกับพื้นพร้อมกับร้องไห้โฮออกมา

“ฮึก…หมิงจู ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้า! เจ้าตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก! ผู้อื่นทำร้ายเจ้าจนตาย ข้ากลับทำอะไรนางไม่ได้เลย เป็นเพราะแม่ไร้ประโยชน์ เป็นเพราะแม่ไร้ประโยชน์เอง…”

เมื่อเห็นเช่นนี้ บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ นางก็คุกเข่าลงและร้องไห้พร้อมกันทันที

“คุณหนูรอง! ท่านถูกนังคนสารเลวนั่นทำร้ายจนน่าสงสารเยี่ยงนี้!”

หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุก

นี่คิดจะร้องไห้ฟูมฟายหน้าประตูสำนักเทียนลู่ใช่หรือไม่!

นางขมวดคิ้วหันกลับไปมองก็เห็นว่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี

ไม่ว่าอย่างไรเยว่เจินหลิงก็เป็นถึงนายหญิงของตระกูลกู้และมีสถานะสูงส่ง เหตุใดจึงกระทำเรื่องเช่นนี้ได้

หรือต่อให้โศกเศร้าเสียใจหรือโกรธมากแค่ไหน การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้ตระกูลกู้ต้องอับอายขายหน้า เหตุใดนางถึงไม่คิดให้ถี่ถ้วนเอาเสียเลย

เมื่อเยว่เจินหลิงเห็นอาการตอบสนองของฉู่หลิวเยว่แล้ว นางยังคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะเกรงกลัว ดังนั้นนางจึงร้องไห้ฟูมฟายหนักกว่าเดิม

เสียงอันหวีดแหลมนั้น ผู้ที่อยู่ในระยะไกลๆ ยังได้ยิน

ในไม่ช้า บริเวณด้านนอกประตูใหญ่ของสำนักเทียนลู่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มามุงดูสถานการณ์

บางคนเริ่มชี้นิ้วไปทางฉู่หลิวเยว่ ดูท่าทางน่าจะกำลังซุบซิบนินทากันอยู่

ไป๋เชินไม่เคยเห็นฉากนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง

หลังจากที่เขาได้สติกลับมา เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

พวกเขาร้องไห้โฮกันขนาดนี้แล้วจะเอาฉู่หลิวเยว่ไปไว้ที่ไหน แล้วจะเอาสำนักเทียนลู่ไปไว้ที่ไหน!

เขาขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นจึงเอ่ยว่า

“ฮูหยินกู้ ท่านฟูมฟายเช่นนี้ ดูไม่เหมาะสมกระมัง”

เยว่เจินหลิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วปล่อยโฮต่อไป

“เจ้า…”

เดิมทีไป๋เชินเป็นคนอารมณ์โมโหร้ายอยู่แล้ว ดังนั้นยามนี้เขาจึงร้อนใจขึ้นมาทันที

ฉู่หลิวเยว่รีบคว้าแขนเขาเอาไว้

“อาจารย์ไป๋เชิน อย่าลงมือเลยเจ้าค่ะ”

ตอนนี้คนมุงดูเยอะแยะเพียงนี้ ผู้ใดลงมือก่อนก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ไป๋เชินหงุดหงิดไม่ไหว

“จะปล่อยให้พวกเขาสร้างปัญหาที่นี่อย่างนั้นหรือ! แล้วชื่อเสียงของเจ้าล่ะ”

เมื่อผู้คนที่มายืนมุงดูได้ยินแล้วก็พอจะทราบเรื่องคร่าวๆ จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา

“ข้าว่าแล้วว่าสถานะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่แท้นางก็คือฮูหยินกู้นี่เอง! มิน่าล่ะถึงได้กล้ามาปะทะกับสำนักเทียนลู่กันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้!”

“แต่ก็ไม่น่าจะกระทำเช่นนี้กระมัง…สำนักเทียนลู่มิอาจล่วงเกินกันได้ง่ายๆ…”

“นี่พวกเจ้าคงไม่รู้หรอกกระมัง กู้หมิงจูเป็นบุตรีคนเดียวของนาง นางต้องพึ่งพาอาศัยกู้หมิงจู สถานะของนางในตระกูลกู้ถึงจะได้มั่นคง! ทว่าตอนนี้กู้หมิงจูตายจากไปแล้ว มีผู้ที่อยู่ข้างล่างมากมายที่ต้องการตำแหน่งของนาง! นางกำลังตกอยู่ในวิกฤต จะไม่ให้นางโกรธแค้นได้อย่างไร แล้วข้าก็มิอาจตำหนินางที่มาก่อความวุ่นวายโดยไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้ด้วย!”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง จากที่ข้าได้ยิน นางหมายความว่าฉู่หลิวเยว่ทำร้ายกู้หมิงจูจนตายใช่หรือไม่”

“ข้าก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน พวกเจ้าลองคิดดูสิ ในสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนั้น เหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงรอดมาได้ ส่วนกู้หมิงจูก็เป็นถึงคุณหนูรองอันเป็นที่รักที่สุดของตระกูลกู้ นางต้องมีของดีติดตัวแน่ๆ นางก็ยังตาย แต่ฉู่หลิวเยว่กลับ…”

“อันที่จริงข้าก็อยากพูดมานานแล้ว ฉู่หลิวเยว่นี่ช่างชั่วร้ายจริงๆ! ตอนนั้นที่ตระกูลฉู่ทำไม่ดีกับนาง พอหลังจากที่นางตัดเยื่อใยกับตระกูลฉู่จนขาดสะบั้นแล้ว ตระกูลฉู่ก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ได้ยินมาว่าดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างนางกับกู้หมิงจูก็ไม่ดีเท่าไหร่ หลังจากถูกขังพร้อมกับฉู่หลิวเยว่ นางก็ดันมาตายไป! เรื่องนี้…มันก็พูดยากจริงๆ นั่นแหละ…”

เมื่อไป๋เชินได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้จากทั่วทิศทาง เขาก็โกรธจนทนไม่ไหว แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ นางไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่กลับมีรอยยิ้มที่มุมปากอีกด้วย

“ไอ้หยา! เสี่ยวหลิวเยว่ ตอนนี้เจ้ายังจะยิ้มออกอยู่อีกหรือ ถ้าหากยังให้คนพวกนี้พูดจาพล่อยๆ ต่อไป เจ้าก็จะกลายเป็นคนผิดที่ฆ่ากู้หมิงจูไปจริงๆ แล้วนะ! สำนวนชายสามคนสร้างเสือ[1] เจ้ารู้หรือไม่”

แต่ฉู่หลิวเยว่กลับยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยว่า

“อาจารย์ไป๋เชิน นางพาคนมาตั้งมากมายเพื่อเล่นละคร ถ้าหากพวกเราไม่ตั้งใจชื่นชม ก็น่าเสียดายมิใช่หรือเจ้าคะ”

ไป๋เชินอึ้งไปชั่วขณะ “นี่เจ้า เจ้าหมายความว่า คนพวกนี้…”

“ลำบากฮูหยินกู้ที่มีสถานะเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่านางจะใช้วิธีสกปรกเยี่ยงนี้จริงๆ”

ฉู่หลิวเยว่กล่าวเสียงแผ่วเบา จากนั้นนางก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยว่เจินหลิง

“ฮูหยินกู้ ท่านพูดมาเถอะ ผู้ใดเสี้ยมสอนให้ท่านทำเรื่องพวกนี้”

ฉับพลัน เสียงร้องไห้ของเยว่เจินหลิงก็หยุดชะงักทันที

[1] ชายสามคนสร้างเสือ สำนวนจีน หมายถึงพูดกันปากต่อปากแล้วทำให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง