นางหลบสายตาของฉู่หลิวเยว่อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แล้วจงใจพูดขึ้นเสียงสูง
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร! ไม่มีใครเสี้ยมสอนข้าทั้งนั้น! ข้ามาทวงคืนความยุติธรรมจากเจ้าเอง หากวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบายกับข้า ข้าก็จะไม่ไปไหนเด็ดขาด!”
ฉู่หลิวเยว่ตอบ “อ๋อ” คำเดียว
“ฮูหยินกู้ ท่านไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร แต่ท่านต้องคิดให้รอบคอบ ท่านคุ้มหรือไม่ที่ด่วนตัดสินใจเอาสถานะนายหญิงแห่งตระกูลกู้มาเดิมพันโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา”
คราวนี้เยว่เจินหลิงถึงกับร้องไห้ไม่ออก
“เจ้ากำลังพยายามจะเอ่ยสิ่งใดกันแน่ คุ้มไม่คุ้มอะไร!”
ฉู่หลิวเยว่ทอดถอนหายใจ
นางไม่รู้จริงๆ ว่าเยว่เจินหลิงรั้งตำแหน่งของนางมาได้อย่างไรตั้งหลายปี
หูเบาเชื่อคนง่ายขนาดนี้ โง่มาก ถึงเตือนไปก็ไร้ประโยชน์จริงๆ
นางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“ท่านเอาแต่พูดว่าข้าทำร้ายกู้หมิงจูจนตายอยู่ได้ แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักชิ้น หากเรื่องนี้กระจายไป คงไม่เป็นผลดีต่อข้าแน่ แล้วก็ไม่เป็นผลดีกับท่านเช่นกันฮูหยินกู้ ถึงอย่างไรเสีย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านกำลังใส่ร้ายป้ายสี”
“ผู้ใดใส่ร้ายเจ้ากัน! เจ้าทำผิดแล้วไม่กล้ายอมรับเองต่างหากเล่า!”
เยว่เจินหลิงปักใจเชื่อแล้วว่าฉู่หลิวเยว่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของกู้หมิงจูอย่างแน่นอน คราวนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ฟังทั้งนั้น
นางแสยะยิ้มอย่างเย็นชา
“ฉู่หลิวเยว่ ตอนนี้เจ้าคงภูมิใจมากใช่หรือไม่ ใช่ เจ้าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้วกลายเป็นอัจฉริยะที่เรียกว่าคนทั่วไปไม่กล้ารังแกเจ้าง่ายๆ แล้ว แม้กระทั่งตระกูลฉู่ก็ถูกเจ้าขยี้เล่นในกำมือ ถูกเจ้าสร้างเรื่องจนบ้านแตกสาแหรกขาด! แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้มาในตอนนี้ มันมีที่มาอย่างไรกันแน่ ใครจะไปรู้! ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่าหลายปีก่อนเจ้ายังเป็นได้แค่คนไร้ความสามารถที่ชีพจรพิการอยู่เลย ภายใต้ฉายา “อัจฉริยะ” ของเจ้า ไม่รู้ว่ามีความลับเช่นใดซ่อนอยู่! ถ้าหากเจ้าบริสุทธิ์ใจจริงดังว่า เจ้ากล้าอธิบายต่อหน้าสาธารณชนมากมายเยี่ยงนี้ได้หรือไม่!”
นางสาดใส่คำพูดเหล่านี้รัวๆ และทำให้คนที่อยู่โดยรอบเงียบไปทันที
ทุกสายตาจับจ้องที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความสงสัยและตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ต้องการรู้คำตอบเช่นกัน
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ฟังจนจบ นางกลับผ่อนคลายสีหน้า
สุดท้าย…ก็ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่จริงอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด…
มีเพียงไม่กี่คนที่เกลียดนางเข้ากระดูกดำถึงปานนั้น
ไม่ต้องถาม นางก็สามารถคาดเดาได้
เพียงแต่ว่า เพื่อเป็นการใส่ร้ายนางจะต้องทำให้ซับซ้อนวุ่นวายขนาดนี้ ถึงกับสนับสนุนให้เยว่เจินหลิงพาคนของตระกูลกู้มาก่อความวุ่นวาย นี่มัน…ช่างไร้สมองจริงๆ!
นางเอ่ยกระซิบ
“ฮูหยินกู้ ท่านช่วยออกหน้าแทนใครบางคน ก็อย่าลงเอยด้วยการโดนเขาหลอกใช้โดยไม่รู้ตัวล่ะ”
เยว่เจินหลิงไม่เห็นด้วย นางแสยะยิ้มเย็นชา
“ทำไม เจ้าพูดออกมาไม่ได้หรือ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้เรื่องนี้ถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ ชีวิตลูกสาวของข้าสามารถชดใช้ได้ด้วยความตายของเจ้าเท่านั้น!”
ดูท่าทางแล้ว ดูเหมือนนางต้องการกัดฉู่หลิวเยว่ไม่ปล่อย
“ฮูหยินกู้ ที่ท่านพูดมานี่หมายถึงชีวิตของศิษย์สำนักเทียนลู่คนหนึ่งเชียวนะ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงชายชราทุ้มต่ำอันแสนนุ่มลึกดังขึ้นมา จึงทำให้เยว่เจินหลิงและคนอื่นๆ หยุดร้องไห้ทันที
ฉู่หลิวเยว่มองผู้ที่มาใหม่ด้วยความประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสซุน ท่านก็มาด้วยหรือเจ้าคะ”
ผู้อาวุโสซุนมองหน้านางแล้วพยายามปรับสีหน้าของตนเองให้เป็นสงบนิ่ง ทว่าดวงตาของเขายังคงฉายแววดีใจอย่างอดมิได้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็เลยตั้งใจจะมาดูสักหน่อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงร้องไห้โวยวายจากที่ไกลๆ ที่แท้ก็มีคนกำลังทำให้เจ้าลำบากใจอยู่นี่เอง”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอด้วยความเก้อเขิน
“รบกวนท่านแล้ว”
“ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอก หรือถ้าเป็นก็เป็นเพราะผู้อื่นมาสร้างความวุ่นวาย มิอาจโทษเจ้าได้หรอก”
ผู้อาวุโสซุนกล่าวพลางมองไปที่เยว่เจินหลิง เมื่อเห็นสภาพนางที่ลงไปนั่งกองกับพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเลยสักนิด ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็มืดหม่น
“ฮูหยินกู้ เจ้ามาทำอะไรตรงนี้”
เยว่เจินหลิงตกใจ เพราะนางคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสซุนก็ออกมารับหน้าแทนฉู่หลิวเยว่เหมือนกัน
แม้ว่านางจะโกรธมากเพียงใด แต่นางก็รู้ว่าผู้อาวุโสซุนเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำในสำนักเทียนลู่ และนางก็ไม่กล้าที่จะอวดดีต่อหน้าเขา
นางจึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสซุน ท่านมาแล้วก็ดี หมิงจูก็เป็นศิษย์ของสำนักเช่นกัน ทำไมถึงต้องมาตาย อย่างน่าอนาถ แม้กระทั่งศพ…”
นางพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้ง
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉู่หลิวเยว่! นางทำให้หมิงจูต้องตาย! อสรพิษเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่สำนักเทียนลู่อีกต่อไป!”
ผู้อาวุโสซุนผูกคิ้วเป็นปม
“ฉู่หลิวเยว่ฆ่ากู้หมิงจูอย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด เหตุใดข้าจึงไม่รู้เลย”
“ผู้อาวุโสซุน! ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าตอนนั้นพวกนางสองคนถูกล้อมอยู่บนภูเขาด้วยกัน หมิงจูตายแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่กลับยังรอดมาอยู่ดีมีสุข! ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ท่าน…”
ผู้อาวุโสซุนมองนางด้วยสายตาที่ลึกล้ำและขัดจังหวะนางอย่างไร้ความปรานี
“แน่นอนว่าข้าทราบเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นข้าอยู่ที่เชิงเขาแล้วเห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง”
เยว่เจินหลิงตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นนางก็ดีใจทันที
“ยอดเยี่ยมไปเลย! ฉะนั้นหมายความว่าท่านเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ เป็นเพราะฉู่หลิวเยว่ทำร้ายหมิงจู ใช่หรือไม่ ฉู่หลิวเยว่ เจ้าอยากได้หลักฐานมิใช่หรือ ผู้อาวุโสซุนอยู่ตรงนี้แล้ว คำพูดของเขาก็คือหลักฐานอย่างไรเล่า!”
ด้วยฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักเทียนลู่ ซุนจ้งเหยียนมีตำแหน่งสถานะที่เหนือกว่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว เขาจะไม่มีทางออกมาช่วยใครเลย
ดังนั้นไม่มีใครสงสัยความจริงในสิ่งที่เขาพูดแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่แปลกใจเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสซุน ตอนนั้นท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือเจ้าคะ”
ซุนจ้งเหยียนพยักหน้า
“ในครั้งนั้นเหลือเพียงแค่พวกเจ้าสองคนที่ติดอยู่บนเขา ข้าให้คนอื่นออกจากบริเวณนั้นไปก่อน แล้วข้าก็เข้าไปเพียงลำพังเพื่อต้องการจะช่วยพวกเจ้าสองคนออกมา ทว่าพอถึงเชิงเขา ข้าก็พบว่าที่ตรงนั้นถูกสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนยึดครองเอาไว้ล้อมรอบทุกทิศทางแล้ว โดยไม่มีทางเข้าไปได้เลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจพร้อมกับรู้สึกอุ่นวาบในใจขึ้นมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
นางไม่ได้คาดหวังว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น
ผู้อาวุโสซุนได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อพวกนาง
“ท่านไม่เห็นต้องโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ สถานการณ์ตอนนั้นอันตรายอย่างยิ่ง หากท่านยังฝ่าเข้ามา ท่านก็จะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน”
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจทอดยาว
“เพราะข้าเห็นพวกเจ้าทั้งสองคนถูกกลืนเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำ ข้าคิดว่าทั้งคู่คง…แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
อันที่จริง เขาก็อยากรู้มากเช่นกันว่าฉู่หลิวเยว่หนีมาได้อย่างไรกัน แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามคำถามเหล่านี้
จากนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้า มองไปที่เยว่เจินหลิงและพูดว่า
“ฮูหยินกู้ เจ้าควรจะขอโทษฉู่หลิวเยว่ซะ”
เยว่เจินหลิงตะลึงค้าง
“อะไรนะ”
ผู้อาวุโสซุนเอ่ยเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ
“เพราะว่าตอนนั้น คนที่อาศัยการทรยศเพื่อนร่วมสำนักของตัวเองเพื่อแลกกับโอกาสมีชีวิตรอด ก็คือ…กู้หมิงจูอย่างไรเล่า!”