เสียงของผู้อาวุโสซุนดังลั่นและเต็มไปด้วยความโกรธราวกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง!
ไม่ได้มีเพียงเยว่เจินหลิงเท่านั้น แต่แม้กระทั่งคนอื่นๆ ก็ตกตะลึงลืมตาอ้าปากค้างด้วยเช่นกัน
นี่มัน…นี่หมายความว่า…
“ผู้อาวุโสซุน ท่านพูดอะไรของท่าน!” เยว่เจินหลิงโต้กลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว “คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้คือฉู่หลิวเยว่ คนที่ตายคือหมิงจูของข้า! จะเป็นไปได้อย่างไรที่…”
“ตอนนั้น ฉู่หลิวเยว่และกู้หมิงจูต่างถูกปิดล้อมเอาไว้อยู่บนเขา นาคาปีกทมิฬกลืนเวหานำกองทัพสัตว์อสูรมาปิดล้อมทางเข้าออกภูเขาลูกนั้นเอาไว้ อันที่จริงตอนแรกนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นต้องการสังหารเพียงแค่หลิวเยว่ ทว่าเวลานั้นไม่รู้ว่านาคาปีกทมิฬกลืนเวหาติดกับดักได้อย่างไร ฉะนั้นฉู่หลิวเยว่จึงพยายามหาโอกาสหนีออกมา แต่ในขณะที่นางกำลังจะหนี กู้หมิงจูก็ได้มาขวางทางนางเอาไว้…นางไม่เพียงแต่ต่อสู้กับฉู่หลิวเยว่ แต่นางยังกอดขาหลิวเยว่เอาไว้เพื่อไม่ให้นางหนีไปได้! ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ห่างจากตรงนั้นระยะหนึ่ง แต่ข้ากลับเห็นเต็มตาว่านางทั้งถ่วงรั้งฉู่หลิวเยว่พร้อมทั้งพูดอะไรบางอย่างกับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้น แต่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหากลับเมินเฉย หลังจากนั้นนางก็ถูกกลืนเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำทะมึน แล้วเนื่องจากฉู่หลิวเยว่ถูกนางลากให้ติดสอยห้อยตามไปด้วย และช่วยนางเอาไว้ได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงถูกกลืนเข้าไปในนั้นพร้อมกัน!”
ทุกถ้อยคำที่ผู้อาวุโสซุนพูดยิ่งทำให้เยว่เจินหลิงหน้าซีด จนในที่สุดสีหน้าของนางก็ซีดเผือดราวกับผี
เรี่ยวแรงของนางดูเหมือนจะถูกพรากไปในทันที นางตัวสั่นคลอนและไหวเอนจนคนที่อยู่ข้างๆ ต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้! หมิงจูไม่ใช่คนแบบนั้น นางไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้เด็ดขาด”
นางพยายามตีหน้าเคร่งขรึม ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนางรู้สึกใจเสียไปแล้ว
กู้หมิงจูคือบุตรสาวของนาง ดังนั้นนางจึงรู้อุปนิสัยบุตรสาวดีที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่กู้หมิงจูกลับบ้าน นางก็แสดงความไม่พอใจฉู่หลิวเยว่หลายต่อหลายครั้ง ประกอบกับภายหลังนางได้ไปพนันกับฉู่หลิวเยว่เอาไว้แล้วปรากฏว่าพ่ายแพ้จึงต้องเสียแผนที่ค่ายกลระดับห้าไปสองม้วน เพราะฉะนั้นหมิงจูจึงเกลียดแค้นนางมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกนางติดอยู่บนเขาด้วยกัน บางทีหมิงจูอาจจะ…จริงๆ
ผู้อาวุโสซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“ฮูหยินกู้ เจ้าหมายความว่าข้ากำลังโกหกอย่างนั้นหรือ”
เยว่เจินหลิงพูดไม่ออก แล้วตอนนี้หน้าผากของนางก็เริ่มมีเหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นมา
นางจะกล้าพูดว่าผู้อาวุโสซุนโกหกมดเท็จได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางไม่เชื่อ แต่ผู้อาวุโสซุนก็เป็นที่เคารพอย่างสูง คนอื่นคงจะคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน!
หลังจากที่นางได้รับจดหมายจากลู่เหยาเมื่อค่ำคืนวาน นางก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่งและหมายมั่นเอาชีวิตของฉู่หลิวเยว่ให้จงได้
แต่ยามนี้ นางคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสซุนกลับออกหน้าพูดแทนฉู่หลิวเยว่เช่นนี้
สถานการณ์ถูกกำหนดไว้เยี่ยงนี้แล้ว และหากนางยังรั้นสร้างปัญหาต่อไป เกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น!
“ข้า…ข้า…”
เมื่อเห็นท่าทางของเยว่เจินหลิงเป็นเยี่ยงนี้ ทุกคนก็เริ่มกลับลำ
ตอนแรกเยว่เจินหลิงคิดจะมาสร้างปัญหาให้กับฉู่หลิวเยว่ แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสซุนกลับให้การที่มีน้ำหนัก นางจึงไม่สามารถเอะอะโวยวายได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง หลายคนในฝูงชนก็หันหลังและจากไปอย่างเงียบๆ
ฉู่หลิวเยว่ เหลือบมองครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้เข้าไปขวางแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นางก็พอจะเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาคือใคร และนางก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองคิดถึงพวกลูกหาบเหล่านี้อีก
ในขณะที่เยว่เจินหลิงไม่รู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไรดี ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบมากจากที่ไกลดังขึ้น
บรรดาฝูงชนหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกะวนกะวายเข้ามาพร้อมกับผู้ติดตามของเขา
ทันทีที่เขาได้มาเห็นสภาพของเยว่เจินหลิง สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูย่ำแย่
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”
เมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่น เยว่เจินหลิงก็สั่นสะท้าน จากนั้นนางจึงหันหลังไปมอง
“…ท่านประมุข”
เงาร่างสูงใหญ่ของผู้ที่มานั้น ประกอบกับใบหน้าเหลี่ยมทั้งดูโกรธเกรี้ยวและทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือกู้อวิ๋นเฟย ประมุขตระกูลกู้
เขาจ้องหน้าเยว่เจินหลิงด้วยววตาดุดัน
“เมื่อวานนี้ข้าพูดกับเจ้าเอาไว้อย่างไร เจ้าลืมสิ้นหมดแล้วหรือ!”
เยว่เจินหลิงตกใจกลัวหัวหด นางก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองเขา
“ข้า…ข้าก็แค่คิดถึงหมิงจู…”
กู้อวิ๋นเฟยโกรธโมโหจนแทบจะปะทุออกมาอยู่แล้ว
เมื่อวานนี้ยังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ เยว่เจินหลิงก็วิ่งไปรายงานเขาว่าฉู่หลิวเยว่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว และคิดว่าผู้กระทำต้องเป็นฉู่หลิวเยว่ จากนั้นก็โน้มน้าวให้เขาจับฉู่หลิวเยว่กลับมาไต่สวนให้จงได้
ส่วนกู้เฟยอวิ๋นกลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขารักและทะนุถนอมกู้หมิงจูมาโดยตลอด ในเมื่อนางตายจากไป เขาย่อมรู้สึกเสียใจมากเช่นกัน ทว่าเขาไม่ได้ถึงกับเสียสติเช่นนี้
ประการแรก นี่เป็นเพียงการตั้งสมมติฐานของพวกเขาเองโดยที่ไม่มีหลักฐานชิ้นมดทั้งนั้น และไม่มีทางเอาผิดกับฉู่หลิวเยว่ได้เลย ประการที่สอง สถานะของฉู่หนิงในตอนนี้ไม่เหมือนอดีตอีกแล้ว ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับความสำคัญในสำนักเทียนลู่มากอยู่เช่นกัน หากต้องการเล่นงานนาง มีหรือที่จะกระทำการได้ง่ายๆ เยี่ยงนั้น
เขาบอกเยว่เจินหลิงแล้วว่าอย่าได้กระทำสิ่งใดวู่วาม เมื่อมีหลักฐานมัดตัวเพียงพอแล้วค่อยพูดก็ยังมิสาย
ตอนนั้นเยว่เจินหลิงตกลงรับปากเสียดิบดี แค่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางจะยังกระทำอะไรโง่เง่าเช่นนี้อีก!
นางทั้งยังกล้าพาคนมาก่อความวุ่นวายถึงสำนักเทียนลู่นี่อีก!
เมื่อเห็นสภาพน่าสมเพชของเยว่เจินหลิงแล้ว หน้าตาชื่อเสียงของตระกูลกู้และเขากู้อวิ๋นเฟยได้พังพินาศย่อยยับหมดแล้ว!
“เจ้าหุบปากประเดี๋ยวนี้!”
เยว่เจินหลิงตกใจสะดุ้ง นางรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดออกมาสักคำ
กู้อวิ๋นเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสซุนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ผู้อาวุโสซุน ข้าต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ เป็นเพราะข้าอบรมสั่งสอนไม่ดีเอง นางถึงได้มาสร้างปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ ท่านเป็นผู้มีเมตตาใจกว้างเสมอมา ท่านได้โปรดอย่าถือสาเอาความกับพวกเราที่เพิ่งจะสูญเสียบุตรสาวไปเลยนะขอรับ”
ผู้อาวุโสซุนโบกมือ
“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพยข้าหรอก ผู้ที่เสียชื่อเสียงในเรื่องนี้คือฉู่หลิวเยว่ต่างหาก พวกเจ้าไปถามนางเอาเองเถิด”
กู้อวิ๋นเฟยตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ดูเหมือนผู้อาวุโสซุนจะดูแลเอาใจใส่ฉู่หลิวเยว่มากเป็นพิเศษเชียวนะ…
สุดท้ายแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ในสำนักคนหนึ่งเท่านั้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทางสำนักเทียนลู่ก็เสียหน้าไปมิใช่น้อย แต่ทว่าคนแรกที่ผู้อาวุโสซุนคำนึงถึงกลับเป็นฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ
เขาพยายามระงับความแปลกใจ แล้วเอ่ยกับเยว่เจินหลิงด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก
“เจ้าไม่ได้ยินที่ผู้อาวุโสซนพุดหรือ ยังไม่รีบไปขอโทษฉู่หลิวเยว่อีก!”
เยว่เจินหลิงเบิกตาโต
“ท่านประมุข ท่านให้ข้าขอโทษนางหรือ!”
นางเป็นถึงนายหญิงแห่งตระกูลกู้แล้วฉู่หลิวเยว่มันเป็นใครกัน!
น้ำเสียงของกู้อวิ๋นเฟยเย็นเฉียบ
“หรือว่าเจ้าจะให้ข้าเป็นฝ่ายขอโทษแทนฮะ!”
เยว่เจินหลิงตะลึงค้าง และนางก็มีท่าทีอ่อนลง
ถ้าหากไม่มีกู้หมิงจูแล้ว ตำแหน่งสถานะของนางในตระกูลกู้ก็จะอันตรายอย่างมาก ถ้าหากว่าตอนนี้นางยังกล้าล่วงเกินประมุขตระกูลอีกล่ะก็ เช่นนั้นคง…
นางกัดฟันกรอดๆ นางค่อยๆ ก้าวไปหาฉู่หลิวเยว่ทีละก้าวด้วยขาที่หนักอึ้งราวกับมีตะกั่วถ่วงเอาไว้ จากนั้นนางก็พยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอ
“…ขอ…โทษ”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ฮูหยินกู้ ท่านว่ากระไรนะ ข้าไม่เห็นจะได้ยินเลย”
เยว่เจินหลิงโกรธจนเนื้อตัวสั่น
นางไม่ได้ยินตรงไหน เห็นได้ชัดว่าจงใจแกล้งนางให้ออกแตกตาย!
กู้อวิ๋นเฟยใช้สายตาเตือนนางกลายๆ
เยว่เจินหลิงอับจนหนทาง จากนั้นนางหลับตาปี๋ด้วยความเกลียดแค้นก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าขอโทษ!”