บทที่ 155.1 พูดคุยถูกคอ โดย ProjectZyphon
หลี่ไหวนอนหลับอุตุจนตะวันส่องก้นแล้วก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียง นั่นเป็นเพราะเตียงนี้นอนสบายเกินไป เหมือนนอนอยู่ในปุยฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น เด็กชายเปิดตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ลุกขึ้นนั่ง หันมองไปรอบด้าน สติยังไม่เข้าร่างเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ทั้งเตียงแข็งๆ ในบ้านตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่กระโจมกลางดินกลางทรายในป่าเขา ความรู้สึกแรกของเด็กชายก็คือมีเงินนี่ดีจริงๆ ความรู้สึกที่สองก็คือมิน่าเล่าเฉินผิงอันถึงได้เป็นพวกเห็นแก่เงิน
อันที่จริงหลี่ไหวยังอยากจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันไม่อยู่ข้างกาย ไม่ได้อยู่ในการมองเห็นของตน หลี่ไหวก็เริ่มตื่นตระหนก กระวีกระวาดสวมเสื้อผ้าและรองเท้า เดินไปหยิบหุ่นไม้หลากสีออกจากหีบหนังสือไม้ไผ่เขียวแล้วพุ่งออกจากห้อง เห็นว่าหลินโส่วอีกำลังเล่นหมากล้อมกับผู้เฒ่าท่าทางยากจนคนหนึ่ง แม้แต่หลี่เป่าผิงที่เกิดมาเหมือนไม่ได้เอาก้นมาด้วยก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ตั้งใจมองกระดานหมากอย่างว่าง่าย อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ยืนอยู่ข้างหลินโส่วอี คอยช่วยวางแผนรับมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลี่เป่าผิง พอเห็นหลี่ไหวก็กวักมือเรียก รอจนเด็กชายวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายแล้วจึงลุกขึ้นให้หลี่ไหวนั่ง หลี่ไหวเตรียมจะนั่งลงถึงค้นพบว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันตลอดเวลากำลังจ้องตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม หลี่ไหวคิดแล้วก็วางหุ่นไม้หลากสีลงบนเก้าอี้หินเงียบๆ ตัวเขาเองไม่นั่งแล้ว แค่กล้าเอาก้นวางบนโต๊ะหมิ่นๆ
ชุยฉานเด็กหนุ่มผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วหันไปมองอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย สายตาที่มืดดำคล้ายน้ำในลำธารที่ไหลรินบนใบหน้าของคนทั้งสองไม่หยุดนิ่ง
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของชุยฉานอย่างคนรู้สึกไว นางไม่ได้เงยหน้าประสานสายตากับอีกฝ่าย แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น เพราะปกติหากสายตามืดทะมึนของราชครูต้าหลีผู้นี้มองมาบนร่างของตน รูขุมขุนทั่วผิวหนังของนางจะพากันลุกชันเป็นหนังไก่ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน ราวกับว่าสายตาของอีกฝ่ายเป็นแค่สายตาของคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกกดดันอย่างก่อนหน้านี้อีก สาเหตุเป็นเพราะแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ?
อวี๋ลู่เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้กับ “คุณชายของตน” ท่านนี้อย่างตรงไปตรงมา
ชุยฉานกระดิกนิ้วเรียก “อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าสองคนมานี่”
จากนั้นเขาถึงหันไปส่งยิ้มให้เฉินผิงอัน “ไปคุยกันที่ศาลาหน่อยได้ไหม มีบางเรื่องที่ต้องป่าวประกาศพูดคุยันอย่างเปิดเผย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วคนทั้งสี่ก็เดินไปที่ศาลาลมเย็น ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันตบหัวหลี่ไหวเด็กตาขาวเบาๆ เอ่ยหยอกเย้า “คราวนี้ก็นั่งลงอย่างวางใจได้แล้ว”
พอไปถึงศาลา ชุยฉานปรายตามองกระดิ่งลมที่ห้อยอยู่ใต้ชายคา ก่อนจะพูดกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยว่า “พวกเจ้าแนะนำตัวตนที่แท้จริง ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่แผนร้ายอะไรทั้งนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจข้า พวกเจ้าก็ควรจะเชื่อใจเฉินผิงอันกระมัง?”
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน ต่างก็ไม่คิดรีบร้อนเปิดปาก
นับตั้งแต่ออกมาจากด่าน เด็กหนุ่มอวี๋ลู่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายก็รับหน้าที่เป็นสารถีมาตลอดทาง หนักเอาเบาสู้ เป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่ช่วยงานเฉินผิงอันได้มากที่สุด งานเย็บปักถักร้อยซ่อมแซมปะชุน เด็กหนุ่มก็ล้วนทำได้อย่างคล่องแคล่วประณีต เด็กหนุ่มเป็นโรครักความสะอาด จึงกระตือรือร้นกับการซักเสื้อผ้า ล้างขัดรองเท้าสานยิ่งนัก เห็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าของใครติดคราบดินโคลน หรือเวลาเดินถูกหนามแทงทะลุเป็นรู เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จะต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ถึงขั้นที่ว่าหากอวี๋ลู่เห็นหลี่ไหววางหีบหนังสือเอียงกะเท่เร่โดยบังเอิญเป็นต้องทำหน้ากลัดกลุ้มทุกครั้ง ขอแค่หยุดพักอยู่ใต้แหล่งน้ำ รถม้าจะต้องถูกเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ขัดล้างจนสะอาดไม่เหลือฝุ่นเกาะสักเม็ด
สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังทอดถอนใจที่ตนสู้ไม่ได้ ใต้หล้ายังมีคนที่ทำงานง่วนไม่หยุดมือแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
ส่วนเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ใบหน้าดำเกรียมเคร่งขรึม แต่กลับมีเรือนกายสะโอดสะองนั้น หลี่เป่าผิงที่ยังมีจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยอยู่มากกลับรังเกียจชิงชังนางอย่างลึกล้ำ มองนางเป็นศัตรูคู่อาฆาต ความประทับใจที่หลินโส่วอีมีต่อนางเรียกว่าธรรมดา ไม่ถือว่าดีมากและไม่เลวร้ายมาก อย่างมากก็แค่เล่นหมากล้อมด้วยกันยามมีเวลาว่าง แต่หลี่ไหวกลับสนิทสนมกับนางมากที่สุด คนทั้งสองต่างก็ชอบเล่นจัดวางค่ายกลทหารด้วยกัน
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าเปิดเผยได้เต็มที่ ถึงเวลาข้าค่อยเก็บกวาดให้เอง”
กล่าวจบเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินออกจากศาลา สาวเท้าเดินเล่นไปรอบๆ ก้มตัวหยิบก้อนหินเล็กๆ บนพื้นขึ้นมากอบใหญ่ แล้วเดินไปนั่งข้างบ่อน้ำโบราณ โยนหินลงไปด้านล่างฟังเสียงหินกระทบน้ำอย่างไม่รู้จะทำอะไร
พอนึกถึงว่าตนกลับต้องมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเช่นนี้จริง สายตาของชุยฉานก็เลื่อนลอยราวกับอยู่ห่างไปคนละโลก
เขามองบ่อน้ำที่มืดทะมึนด้วยสายตาของมนุษย์ธรรมดาอย่างแท้จริง จึงไม่อาจมองทะลุไปเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องล่างได้อีก นาทีนี้ชุยฉานเกือบจะทิ้งตัวลงไป กระโดดน้ำฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
ในศาลาลมเย็น อวี๋ลู่เป็นผู้เปิดปากก่อน “ข้าคือรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต อวี๋ลู่ ก่อนหน้านี้หลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มนักโทษลี้ภัยสกุลหลูที่ไปช่วยงานบุกเบิกภูเขา อันที่จริงยังมีนามแฝงอีกชื่อหนึ่ง อวี๋ซื่อลู่ หากอ่านย้อนกลับหลัง ความหมายแฝงก็คือข้าคือกากเดนที่เหลืออยู่ของสกุลหลู ทุกครั้งที่คนอื่นเรียกชื่อข้าก็จะช่วยให้ข้าเตือนสติตัวเองว่า อดีตก็คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว”
เด็กสาวพลันเดือดดาล ถลันลุกขึ้นยืน ชี้หน้าตวาดสั่งสอนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ “ผ่านไปแล้ว?! องค์รัชทายาทเจ้าพูดง่ายนัก ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล จิตใจสงบตัดขาดนิวรณ์ได้ดียิ่งกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างพวกเราเสียอีก แต่หลายร้อยชีวิตในสำนักของอาจารย์ข้าล่ะ พวกเขาขว้างศีรษะสาดโลหิตเพื่อสกุลหลูของพวกเจ้า พลีชีพเพื่อแว่นแคว้น! จะผ่านไปง่ายๆ ได้ยังไง?!”
เด็กสาวน้ำตาไหลอาบน้ำ น้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าถามมโนธรรมในใจตัวเองดูเถอะ ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะสักกี่คนที่ยินดีร่วมรบจนตัวตาย ยินดีสละชีพเพื่อชาติ? มีแค่พวกเรา! นับตั้งแต่ที่บุรพแจกันสมบัติทวีปมีแว่นแคว้น มีราชวงศ์ก่อตั้งขึ้นมา ในประวัติศาสตร์มีแต่พวกเราที่ไม่ถอยไม่ยอมแพ้ ทุ่มเทสุดชีวิต ยอมให้สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกตัดขาด เพียงแค่เพื่อพิสูจน์ว่าจงรักภักดีต่อราชวงศ์สกุลหลูของพวกเจ้า!”
อวี๋ลู่สีหน้าเรียบเฉย “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ข้าเป็นรัชทายาทของสกุลหลูนั้นไม่ผิด ทว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นพวกเอาความคิดของตนเป็นใหญ่ แต่ก็เพราะกลัวพวกข่าวลือที่ไม่มีมูล กังวลว่าตำหนักบูรพาจะยิ่งใหญ่เกินไป จึงไล่ให้ข้าไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาของแคว้นศัตรูอย่างต้าหลี ข้าทั้งไม่เคยควบคุมอำนาจทางการเมือง แล้วก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับราชสำนักหรือยุทธภพ แค่คิดจะตั้งใจเรียนให้ดีเท่านั้น เซี่ยเซี่ย เจ้าบอกมาสิว่า เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร?”
เด็กสาวถูกท่าทางเย็นชาของอวี๋ลู่กระตุ้นให้เสียสติมากกว่าเดิม นางโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าแซ่เซี่ย แต่ข้าไม่ได้ชื่อเซี่ยเซี่ย ข้าชื่อเซี่ยหลิงเยว่ คือผู้ฝึกลมปราณที่เด็กที่สุดของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าที่ฝ่าทะลุขอควดขอบเขตห้าไปได้! คือลูกศิษย์ของเฟิงเสินสกุลเซี่ย! ข้าเกลียดความเลอะเลือนไร้สมองของเชื้อพระวงศ์สกุลหลูพวกเจ้า แต่ข้ายิ่งเกลียดการทำตัวไหลตามกระแสขององค์รัชทายาทอย่างเจ้ามากกว่า กลายมาเป็นข้ารับใช้ของศัตรูคู่แค้นอย่างราชครูต้าหลีก็ยังหน้าชื่นตาบานอยู่ได้ หากบรรพบุรุษสกุลหลูของพวกเจ้าที่อยู่ในปรโลกรู้เข้า…”
สีหน้าของอวี๋ลู่เป็นปกติ ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตัดบทการประณามของเด็กสาว “หากเจ้าเซี่ยหลิงเยว่มีความกล้าหาญของลูกศิษย์เฟิงเสินสกุลเซี่ย ทำไมถึงไม่ตายไปซะ? หากเจ้าฆ่าตัวตายแล้วยังไม่องอาจห้าวหาญมากพอ สามารถลอบสังหารราชครูชุยฉานอย่างเปิดเผย ตายอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ คงจะดียิ่งนัก”
อวี๋ลู่หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่นั่งมองเหตุการณ์ห่างไปไม่ไกลเงียบๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน ข้าขอยืมเงินเจ้าหนึ่งร้อยตำลึงเงินได้ไหม? ข้าจะได้สร้างสุสานขนาดใหญ่ให้เทพธิดาเซี่ย จอมยุทธ์หญิงเซี่ยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใสในใจข้า”
เฉินผิงอันมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ แล้วก็หันไปมองเด็กสาวร่างสูงโปร่ง “หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไมไม่ใช่ชีวิตดีๆ ล่ะ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดต่อว่า “ข้าขอพูดความรู้สึกของตัวเองหน่อยก็แล้วกัน อาจจะไม่มีหลักการอะไร พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียวก็พอ หากมีบัญชีบางอย่างที่ยังคิดคำนวณได้ไม่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็วางมันไว้ก่อน แค่ไม่ลืมก็พอแล้ว วันหน้าต้องมีสักวันที่สามารถเข้าใจมัน จัดการมันได้เรียบร้อย”
เฉินผิงอันมองผู้ลี้ภัยสกุลหลูสองคนที่ต่างก็มีสถานะสูงศักดิ์ คนหนึ่งคือรัชทายาทที่เกือบได้นั่งบัลลังก์มังกร อีกคนหนึ่งคือเทพเซียนบนภูเขาที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในราชสำนัก เฉินผิงอันรู้ว่าเหตุผลที่ตัวเองใช้เกลี้ยกล่อม พวกเขาอาจจะฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก อาศัยอะไรที่พวกเขาต้องมาเชื่อฟังเด็กบ้านนอกที่เติบโตมาในตรอกหนีผิงอย่างตนด้วย?
แต่เฉินผิงอันมองคนทั้งสองที่เผยอารมณ์แท้จริงก็เห็นว่าเซี่ยเซี่ยไม่มีท่าทางเย็นชาห่างเหินเหมือนเดิมอีกแล้ว นางรู้จักโมโหจนหลั่งน้ำตา อวี๋ลู่ก็ไม่ได้อ่อนโยนปรองดองอีกต่อไป เริ่มรู้จักใช้คำพูดทิ่มแทงคนอื่น แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้มีความสุขในความทุกข์ของคนอื่น แต่ก็แน่ใจว่าคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนในเวลานี้เพิ่งจะมีลักษณะของคนที่ตนเองคุ้นเคยปรากฏขึ้นมาบ้าง
—–