บทที่ 155.2 พูดคุยถูกคอ โดย ProjectZyphon
ดังนั้นเฉินผิงอันที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดพูดจาเกลี้ยกล่อมคนอื่นมากที่สุดถึงพยายามเค้นสมองครุ่นคิดจนเอ่ยเสริมไปได้อีกหนึ่งประโยค “พวกเจ้าต่างก็มีความรู้มากกว่าข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่างๆ อย่างไร แต่หากเป็นข้า เรื่องที่กลัวที่สุดก็คือเมื่อข้ามีความสามารถมากพอที่จะตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่น และยิ่งกลัวหากเป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีเหตุผล หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นไม่ใช่ช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นั่นก็แสดงว่าอับจนหนทาง หากต้องลงมือก็ลงมือ เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์อื่นๆ ห้ามทำตามอารมณ์ในเวลานั้นเด็ดขาด ห้ามปล่อยให้ตัวเองถูกจูงจมูกด้วยประโยคที่ว่า ‘ข้ารู้สึกว่าควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น’ อาเหลียงเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องคิดถึงคำว่า ‘ทำไม’ ให้เยอะๆ ข้ารู้สึกว่าเขาพูดได้ถูกต้อง”
“ดังนั้นข้าถึงต้องเรียนรู้ตัวอักษร อันที่จริงข้าเองก็รู้ว่าตอนที่ข้าขอความรู้จากหลี่เป่าผิง หลินโส่วอี หรือตอนที่หัดเขียนตัวอักษรบนพื้นกับหลี่ไหว พวกเจ้าสองคนต่างก็ดูถูกข้า ข้าอยากเรียนหนังสือ เพราะต้องการเรียนรู้หลักการจากในตำรา ข้าต้องการเห็นคนมากกว่าเดิม เดินทางผ่านสถานที่ใหม่ๆ มากกว่าเดิม เป็นเหมือนอย่างอาเหลียงที่กล้าตบอกพูดว่า ข้าเคยเห้นแม่น้ำลำธารมามากกว่าเกลือที่พวกเจ้าเคยกิน มีเพียงแบบนี้เท่านั้น วันหน้าข้าถึงจะได้…ข้าแค่สมมติเท่านั้นนะ หากมีวันนั้นใดที่ข้ามีความสามารถพอๆ กับเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะอย่างเว่ยจิ้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าออกกระบี่ฆ่าคนก็ดี ช่วยคนก็ช่าง หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไปต้องไวอย่างมากแน่ๆ! หรือบางทีข้าอาจไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่ถ้าฝึกหมัดพอกล้อมแกล้ม หมัดที่ข้าเหวี่ยงออกไปก็ต้อง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเฉินผิงอันเปล่งประกายแช่มชื้น ราวกับกำลังคิดถึง “วันนั้น” ของตัวเอง
เงื้อกระบี่ฟาดฟันให้สาแก่ใจ เหวี่ยงหมัดต่อยออกไปให้เต็มคราบ!
เคยมีชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่งมักจะเอ่ยหยอกล้อเฉินผิงอันว่า เจ้าเป็นเด็กหนุ่มนะ ช่วยยิ้มแย้มหน่อยได้ไหม? เอาแต่คิดมากอยู่อย่างนี้ไม่ดีนะรู้ไหม?
อันที่จริงทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้เฉินผิงอันจะต้องอัดอั้นอย่างมาก เขาอยากตะโกนบอกเจ้าหมอนั่นดังๆ ว่า ข้าเองก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้
อวี๋ลู่นั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา เซี่ยเซี่ยกลับมานั่งที่เดิมอย่างกระฟัดกระเฟียด แต่ไม่มีท่าทางพร้อมสู้ตายกับอวี๋ลู่อย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
อวี๋ลู่มองเฉินผิงอันที่สุขุมเยือกเย็นแล้วถามยิ้มๆ อย่างใคร่รู้ “เฉินผิงอัน เจ้าก็เข้าใจพูดเหมือนกันนี่นา ทำไมถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว?”
เฉินผิงอันตอบ “ข้าสนิทกับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพูดหลักการอะไรพวกนี้”
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้แน่นอนว่าต้องเป็น ข้าเฉินผิงอันไม่สนิทกับพวกเจ้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้
อวี๋ลู่ถึงกับสะอึก
เซี่ยเซี่ยสีหน้าเย็นชา ทว่ามุมปากกับตวัดโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกนางกดรอยโค้งนั้นให้ราบเรียบดังเดิม
เซี่ยเซี่ยเหลือบมองชุยฉานที่นั่งเหม่ออยู่บนปากบ่ออย่างระมัดระวัง ลังเลอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยช้าๆ “เดิมทีข้าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรในห้าขอบเขตกลาง ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตที่แปดอย่างประตูมังกร แต่พอกลายมาเป็นผู้ลี้ภัย เหนียงเนียงในวังหลวงที่จิตใจอำมหิตคนหนึ่งก็ส่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของต้าหลีพวกเจ้า ให้ใช้เวทลับตอกตะปูขังมังกรเข้าไปในช่องโพรงของข้าหลายช่อง ขอแค่ข้าควบคุมปราณแท้ก็จะต้องเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ อีกทั้งต่อให้จะยอมรับผลร้ายนับไม่ถ้วนที่ตามมาได้ ก็ยังได้แค่สำแดงอานุภาพของขอบเขตที่สี่หรือห้าเท่านั้น”
เซี่ยเซี่ยเล่าความลับยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวพันกับชะตาชีวิตเหล่านี้จบก็จ้องเขม็งไปยังอวี๋ลู่ที่แสร้งทำเป็นบื้อใบ้ ฝ่ายหลังจึงถามว่า “อะไร?”
เซี่ยเซี่ยหัวเราะเสียงหยัน “เจ้าเลิกเสแสร้งเถอะ เฉินผิงอันสามารถตกปลาได้ก็เพราะอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน อาศัยว่าเป็นนกโง่จึงต้องหัดบินก่อน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยเซี่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อย หางตาค้นพบว่าเด็กหนุ่มที่ถูกตัวเองทิ่มแทงไปหนึ่งทีไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังหัวเราะขำอย่างทึ่มทื่อ นางถึงได้โล่งอกแล้วพูดต่อว่า “แต่เจ้าอวี๋ลู่หากไม่ได้อาศัยตบะของวิถีวียุทธ์ถึงจะตกปลาที่ว่ายไปว่ายมาพวกนั้นได้ ข้าก็ยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าเลย!”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “อ้อ เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เองหรือ ข้านึกว่าเคล็ดลับน้อยๆ นี้ คนอย่างพวกเจ้าจะไม่สนใจเสียอีก ชาวยุทธ์ในยุทธภพอะไรนั่น ไหนเลยจะมีค่าให้เอามาพูดถึง ปีนั้นข้าอยู่ในตำหนักบูรพา เพราะสถานะรัชทายาทจึงถูกกำหนดให้ไม่อาจฝึกวิชาแห่งความเป็นอมตะได้ จึงได้แต่วิ่งไปพลิกอ่านตำราลับการฝึกยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ในตำหนัก ก่อนหน้านี้ข้าเองก็บอกแล้วว่า เสด็จพ่อของข้ากริ่งเกรงในบทเพลงพื้นบ้านเหล่านั้น ไม่ใช่บุตรชายที่กินอิ่มว่างแล้วไปเรียนรู้วรยุทธ์”
อวี๋ลู่หุบยิ้ม เอ่ยเย้ยหยันตัวเองอย่างจริงจัง “แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพการณ์ของยุทธภพและชาวยุทธ์เป็นอย่างไร คนอื่นไม่รู้แน่ชัด แต่เจ้าเซี่ยหลิงเยว่จะไม่รู้งั้นหรือ? ก็คือบ่อน้ำบ่อหนึ่งตรงตีนเขาเท่านั้น ต่อให้ปลาที่อยู่ข้างในจะตัวใหญ่ แต่จะใหญ่ได้แค่ไหนกันเชียว? ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงแค่ราชวงศ์สกุลหลูในอดีตของพวกเราที่มีนักพรตขอบเขตเก้าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยกระมัง ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าล่ะ ไม่มีเลยสักคน ดังนั้นตอนแรกที่ข้าเรียนวรยุทธ์ก็เป็นแค่การเล่นสนุกอย่างเดียวเท่านั้น พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้ายืนพูดไม่ปวดเอว (เปรียบเปรยว่าคนไม่อยู่ในสถานการณ์แต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น) แต่ข้าก็ยังต้องพูดประโยคหนึ่ง เมื่ออยู่ในตำหนักบูรพาที่อุดอู้น่าเบื่อหน่าย หากมีอาจารย์ผู้สอนคนหนึ่งผายลมโดยไม่ทันระวัง นั่นก็จะเป็นเรื่องหายากที่มีค่าพอให้คนสนใจเอามาพูดถึง”
เซี่ยเซี่ยแค่นเสียง “อ้อ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ขอบเขตวรยุทธ์คงไม่ต่ำสินะ”
อวี๋ลู่ถอนหายใจ ส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่สูง เพิ่งจะขอบเขตหก”
สายตาของอวี๋ลู่เผยความตกตะลึง สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
การปีนสู่ที่สูงของขอบเขตชาวยุทธ์นั้นพิถีพิถันในเรื่องฝีเท้าแต่ละก้าวย่างมากที่สุด ส่วนใหญ่มักจะสะสมมากแล้วค่อยปล่อยออกทีละนิด ปรมาจารย์ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จเมื่ออายุมากแล้ว ตัวประหลาดอย่างซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีผู้นี้ กวาดตามองประวัติศาสตร์ทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป จะบรรยายเขาด้วยคำว่าร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนักพรตที่ขอบเขตสูงทั้งที่อายุยังน้อยจึงมักจะถูกคนอื่นอิจฉาริษยาในพรสวรรค์และโชควาสนา ฯลฯ เรียกพวกเขาว่าอัจฉริยะ จากนั้นก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะคำว่าอัจฉริยะนี้สามารถมากพอจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
แต่วิถีวรยุทธ์นั้นไม่เหมือนกัน
ชาวยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตหกขณะอายุสิบสี่สิบห้าปี
คือตัวประหลาดอย่างจริงแท้แน่นอน!
อย่าลืมว่าอวี๋ลู่รัชทายาทสกุลหลูใช้ชีวิตที่มีเกียรติ มั่งคั่งและร่ำรวยอยู่ในตำหนักบูรพา มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่เคยเผชิญกับศึกตัดสินเป็นตายมาก่อน
แค่อ่านหนังสือก็บรรลุขอบเขตหกของวิถีวรยุทธ์เลย?
หลังจากเห็นสายตาและสีหน้าของเด็กสาวแล้ว อวี๋ลู่ก็กลืนคำพูดอีกประโยคที่มารออยู่ตรงปากลงท้องไปเงียบๆ
หากจะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด อย่างมากสุดคงใช้เวลาสามถึงห้าปีกระมัง
พอคิดว่าอยู่ใกล้กับชาวยุทธ์ขอบเขตหกขนาดนี้ เด็กสาวเซี่ยเซี่ยก็พลันครั่นเนื้อครั่นตัว มักจะรู้สึกว่าอยู่ดีไม่ว่าดีตนอาจถูกอวี๋ลู่ที่โมโหเกรี้ยวกราดลุกขึ้นมาต่อยศีรษะของตนให้แหลกเละ
การแบ่งแยกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกอาจมีคลุมเครืออยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ทางที่ดีที่สุดไม่ควรมีความคิดนี้เด็ดขาด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางเด็กสาวผิวดำคล้ำก่อน พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หลินโส่วอีเองก็เป็นผู้ฝึกลมปราณ แม่นางเซี่ยเซี่ย แม้จะบอกว่าตอนนี้ตบะของเจ้าถูกพันธนาการ แต่โลกทัศน์ก็ยังคงมีอยู่ วันหน้ารบกวนเจ้าพูดคุยเรื่องฝึกตนกับเขาให้มาก อืม หลินโส่วอีมีนิสัยเย็นชาไปสักหน่อย เจ้าอาจต้องใช้ความอดทน ใช่แล้ว หลินโส่วอีชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง หน้าบาง ไม่ชอบฟังใครพูดเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดหวานหู แม่นางเซี่ยเซี่ย ช่วยขัดเกลาเขาให้มากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นอาศัยช่วงเวลาที่เล่นหมากล้อมพูดคุยเรื่องการฝึกตน ข้าว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองไปทางเด็กหนุ่มสูงใหญ่ “อวี๋ลู่ ในเมื่อเจ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตหก วันหน้าเรื่องจุกจิกอย่างซักเสื้อผ้าขัดรองเท้าอะไรพวกนั้น ข้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะทำให้เจ้าเหนื่อยยากแล้ว ขอแค่เจ้าเปิดปาก เสื้อผ้าก็มีให้ซักมากพอ!”
สุดท้ายเฉินผิงอันตะโกนเรียกชุยฉานที่อยู่ห่างไปไกล “ข้าคุยกับพวกเขาสองคนเสร็จแล้ว เจ้ากลับมาได้แล้ว อืม หากใช้คำพูดของพวกบัณฑิตก็คือ…ก็คือคุยกันถูกคอ!”
เฉินผิงอันเดินออกจากศาลาด้วยรอยยิ้ม ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีมากจริงๆ
ในศาลา เด็กหนุ่มเด็กสาวหันมามองหน้ากัน รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็คิดไม่ออกว่าคืออะไร
—–