บทที่ 112 เต็มใจพลีชีพเพื่อบ้านเมือง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จี๋อวี่เห็นว่าดวงตาของซ่งชูอีล้ำลึก ไม่มีความเกียจคร้านและการดูถูกเหยียดหยามเช่นปกติอีกแล้ว

ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งชูอีหมุนตัวแหวกม่านออกไป ประสานมือคำนับเว่ย์โหว จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบานัก “ทูลถามฝ่าบาท เหตุใดท่านนายพลจี๋ต้องตายด้วย?”

เว่ย์โหวสามารถเห็นเพียงใบหน้าเลือนลางของซ่งชูอีผ่านม่านบางๆ อย่างไรก็ดีลมหายใจกดดันนั้นเพียงพอที่จะทำให้เขารับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า

เว่ย์โหวกล่าวขึ้นเชื่องช้าหลังจากเงียบไปนาน “กองทัพทหารรัฐเว่ยกดดัน ขอให้ประหารชีวิตนายพลจี๋ เขาไม่ตาย รัฐเว่ย์ของข้าก็ต้องล่มสลาย ท่านว่ากว่าเหรินควรจะเลือกเช่นไร?”

ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง หันไปหาราชทูตแห่งรัฐเว่ย ประสานมือเอ่ย “เรียนถามท่านราชทูต นายพลจี๋ทำผิดกระไร จึงทำให้รัฐผู้สูงส่งบันดาลโทสะเพียงนี้?”

ราชทูตเว่ยผู้นั้นมองสำรวจซ่งชูอีก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวอย่างพินิจพิจารณา “หากท่านต้องการวางแผนต่อต้าเว่ยของข้า ระหว่างทางที่ข้าส่งนายพลจี๋กลับไปนั้น แน่นอนว่าต้าเว่ยของข้าจะเฝ้าระวังเป็นอย่างดี”

“เยี่ยม ในเมื่อใช้โทษประหารต่อนายพลจี๋เช่นนี้ เช่นนั้นต้าเว่ยวางแผนจะจัดการกับข้าน้อยเยี่ยงไร? ห้าม้าแยกศพ?” ซ่งชูอีเอ่ยเย็นชา

ราชทูตรัฐเว่ยหัวใจเต้นแรง หัวใจร่วงตกหลุมพราง ควรจะตอบเยี่ยงไรดีเล่า? ท่านอ๋องมีราชโองการให้ส่งหมิ่นจื๋อห่วนกับซ่งหวยจินกลับไปเป็นๆ…

“เรื่องใหญ่หลวงปานนี้ จำต้องให้ท่านอ๋องของข้าตัดสินใจด้วยพระองค์เอง” หลังจากราชทูตไตร่ตรองแล้วก็ตอบเช่นนี้

ซ่งชูอีพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐเว่ยดำเนินการเช่นนี้ ข้าน้อยไม่ประหลาดใจเลย ท่านราชทูตปฏิบัติตามราชโองการ ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ดีหากวันนี้จำเป็นประหารชีวิตนายพลจี๋ด้วยสาเหตุนี้ ข้าน้อยก็จำต้องมีคำอธิบายให้กับฝ่าบาทและมีคำอธิบายให้กับรัฐเว่ย์!”

“จี้ฮ่วน!” ซ่งชูอีพูดจบก็เรียกด้วยเสียงอันดัง

จี้ฮ่วนรีบเดินขึ้นไปบนเวที เหล่าทหารไม่สามารถหยุดเขาไว้ได้ทัน ทำได้เพียงชักดาบล้อมซ่งชูอีและจี้ฮ่วนเอาไว้

“นำดาบมา” ซ่งชูอีกล่าว

จี้ฮ่วนอึ่งไปครู่หนึ่ง รีบหยิบดาบในมือออกมาทันที ทว่าซ่งชูอีกลับยื่นมือคว้ามันไว้

“ข้าซ่งหวยจิน!” ซ่งชูอีหันหลังทันควันและกล่าวเสียงดัง “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ราชสำนักเลี้ยงดูข้า ข้าก็รับใช้ด้วยความภักดี! ไม่เคยคิดคดต่อรัฐเว่ย์เลยแม้แต่น้อย ข้าซ่งหวยจินก็ไม่เคยทำเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ สิ่งที่ปรารถนาในชีวิตคือการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะสงครามอีกต่อไป”

ฝูงชนเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่กล่าววาจาปลุกเร้าผู้นั้น อดมิได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งในใจ ทั้งๆ ที่มีหน้าตาธรรมดาเป็นที่สุด ทว่าในขณะนี้กลับดูน่าทึ่งเป็นพิเศษ ผู้คนนับพันด้านล่างเวทีต่างเงยหน้ามองนางเงียบๆ

จี๋อวี่จับจ้องม่านหญ้านั้น ราวกับว่าต้องการมองเห็นความสง่างามของซ่งชูอีทะลุสิ่งกีดขวาง ผู้ที่มีท่าทีเหลาะแหละตลอดเวลาจู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมากะทันหัน ทำให้เขาอยากเห็นกับตาตัวเองเหลือเกินว่าจะต่างจากเดิมหรือไม่

“บัดนี้รัฐเว่ย์ประสบกับความยากลำบาก บัณฑิตและนายทหารผู้จงรักภักดีที่ไร้มนทินต้องตาย ซ่งหวยจินยากที่จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา บัดนี้ข้ายินยอมที่จะพลีชีพเพื่อบ้านเมืองไปพร้อมกับนายพลจี๋ เพื่อตอบแทนพระคุณที่ฝ่าบาทมีต่อข้า!” ซ่งชูอีกลับหลังหัน สะบัดเสื้อคุกเข่าลง สองมือถือดาบยาวไว้ “ข้าน้อยมีคำขอร้องเพียงเรื่องเดียว ได้โปรดฝ่าบาทใช้ดาบเล่มนี้ ปลิดชีพกระหม่อมด้วยพระองค์เอง ในนามแห่งความจงรักภักดีของกระหม่อม!”

ฝูงชนเกิดความโกลาหล

คำขอนี้ไม่เกินไปดอกนะ! ในเมื่อซ่งชูอีก็มิใช่ชาวเว่ย์และไม่ใช่ขุนนางแห่งรัฐเว่ย์ เขาเต็มใจที่จะวิ่งเต้นเพื่อรัฐเว่ย์เพื่ออะไร? ยินยอมปลิดชีพตนเพื่อบ้านเมือง ปกป้องรัฐเว่ย์ จะมีกี่คนในโลกนี้ที่สามารถเทียบเคียงความสมบูรณ์แบบนี้ได้?

“ท่านหวยจินคุณธรรมใหญ่หลวง!” ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนเสียงสูงท่ามกลางฝูงชน

จีเหมียนและหลงกู่ชิ่งที่เพิ่งจะตามมาไม่นานยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

‘ซ่งหวยจิน! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?’ จีเหมียนคำรามด้วยความโมโหอยู่ในใจ ทว่าทำเยี่ยงไรก็กลับส่งเสียงไม่ออก

จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงผู้คนร้องตะโกน “ท่านหวยจินคุณธรรมใหญ่หลวง!”

เสียงที่ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าแห่งนครผูหยางนั้นฟังดูโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เรื่องความจงรักภักดีเช่นนี้คุ้มค่าที่จะเติมเต็ม ฉะนั้นจึงแทบไม่มีคนห้ามปรามการตายของซ่งชูอีเลย

ราชทูตแห่งรัฐเว่ย์อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่ภายในเสียงที่เซ็งแซ่นี้ หันหน้าไปมองตำแหน่งที่เว่ย์โหวยืนอยู่

ผ่านไปเป็นเวลานาน

เว่ย์โหวที่อยู่บนพระที่นั่งขยับตัว ลุกขึ้นเดินลงมาจากเวทีสูง ยื่นมือรับดาบทองสัมฤทธิ์ที่ซ่งชูอีถือไว้ หรี่ตามองใบมีดที่สะท้อนแสงอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ดวงหน้าชราภาพนั้นไร้อารมณ์อันชัดเจน

ฝูงชนเงียบสงบลงอีกครั้ง จดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเว่ย์โหวพร้อมกับกลั้นหายใจ ราวกับว่าเขาอาจจะแกว่งดาบได้ทุกเมื่อ

เหงื่อซึมอยู่บนแผ่นหลังของซ่งชูอี บนใบหน้าก็มีความเคร่งขรึมที่ไม่เห็นได้บ่อยนัก

จี้ฮ่วนตกใจกับการกระทำของซ่งชูอีจนยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ก่อนหน้านี้บอกว่าจะมาช่วยนายพลจี๋มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ จึงพลีชีพเพื่อบ้านเมืองพร้อมกันเล่า? หรือว่าแม้แต่นางก็ไร้หนทาง ฉะนั้นจึงรู้สึกผิดต่อนายพลจี๋?

“ซ่งหวยจิน เจ้ามันสารเลว” จีเหมียนบ่นพึมพำ เมื่อเช้ายังรับปากว่าจะกลับไปเล่นหมากลิ่วป๋อกับเขาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวกลับเปลี่ยนใจ พูดจาไม่ต่างอะไรกับผายลม!

ขณะที่จิตใจของฝูงชนกำลังว้าวุ่นอยู่นั้น เว่ย์โหวยกดาบขึ้นฉับพลัน แสงเย็นวาบส่องประกาย

ชั่วพริบตาเดียว ดวงตาของทุกคนเบิกโพลง แม้นคมดาบวาดผ่าน ทว่ากลับมีเพียงเส้นไหมสีน้ำเงินของซ่งชูอีที่ร่วงลงพื้น

“โลหิตของท่าน ไม่ควรแปดเปื้อนอยู่บนดาบของกว่าเหริน” เว่ย์โหวปักดาบลงบนแท่นดิน เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “กว่าเหรินตัดเส้นผมแทนศีรษะ เพื่อเป็นการตอบแทนความจงรักภักดีของท่าน วันนี้กว่าเหรินก็จะส่งท่านกับหมิ่นจื๋อห่วน รวมทั้งจี๋อวี่ให้กับราชทูตรัฐเว่ย หลังจากนี้ หวังว่าท่านจะแคล้วคลาดปลอดภัย”

ซ่งชูอีหมอบคำนับยาวนาน ขณะที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นแผ่นหลังของเว่ย์โหวที่จากไปไกล รู้สึกราวกับว่ามันง่อนแง่นกว่าเดิมเล็กน้อย

นางถอนหายใจโล่งอก ก่อนพบว่ามีเหงื่อเย็นผุดซึมอยู่ที่หลัง

คราวนี้นางได้ชัยชนะอย่างเห็นได้ชัด

ในพระตำหนักแห่งพระราชวังเว่ย์

ทั้งพระตำหนักเงียบสงบ เว่ย์โหวนั่งอยู่บนเบาะนุ่ม ภายในท้องพระโรงสงบนิ่ง ไม่ได้อนุญาตให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติข้างกาย

ความคิดต่างๆ นานาหลั่งไหลเข้ามา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวานในลำคอและกระอักเลือดออกมา

“ฮ่า” เว่ย์โหวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากอย่างเชื่องช้า บนใบหน้าเปี่ยมด้วยความรู้สึกเย้ยหยันตัวเอง

ตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ก็อดกลั้นมาโดยตลอด ทว่ามิได้อดกลั้นเพื่อรอวันกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่เพื่อยืดลมหายใจสุดท้ายออกไป มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้รัฐเว่ย์แห่งนี้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า เขาทำได้เพียงข่มทุกอย่างไว้ในใจและอดทนกับมัน

เว่ยอ๋องบีบคั้นเขาและทำให้เขาอับอายก็ช่างประไร ถึงสุดท้ายแล้วพลังแห่งการกดขี่ก็ยังอยู่ที่นั่น ทว่าบัดนี้แม้แต่ซ่งหวยจินก็สามารถกดดันเขาจนไปสู่ทางตัน!

เว่ย์โหวพิงอยู่ที่เท้าแขน ทอดถอนใจ ซ่งชูอีผู้นี้สามารถมองทะลุความคิดที่เขาต้องการจะฆ่าคนปิดปาก! ไม่ควรประมาทจริงๆ!

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยบังคับผู้มีความสามารถให้อยู่ต่อ เพราะว่ารัฐเว่ย์มิอาจสนับสนุนความทะเยอทะยานของพวกเขาได้ ทว่าเขาจะไม่ยอมมอบซ่งชูอีและหมิ่นฉือให้แก่เว่ยอ๋องโดยเด็ดขาด! ดังนั้นเขาจึงคิดที่กำจัดทั้งสองคนเป็นการส่วนตัว คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะกล้าท้าทายเขาอย่างเปิดเผย ยื่นคอออกมาอย่างอาจหาญท่ามกลางสายตาทุกคนเช่นนี้

เกลียดยิ่งนักที่เขาไม่สามารถลงมือได้ ทันทีที่เขาลงมือคราวนี้ ไม่เพียงแต่ทำผิดต่อเว่ยอ๋อง แต่ยังทำลายชื่อเสียงที่เขามีต่อหัวใจเหล่าบัณฑิตและราษฎรอย่างราบคาบ

“มิน่าเล่าท่านแม่ทัพหลงกู่จึงแนะนำเขาอย่างเต็มที่! ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” เว่ย์โหวอุทานเสียงเบา

การกระทำของซ่งชูอีคราวนี้ดูเหมือนจะเสี่ยงอันตราย ในความเป็นจริงแล้วมิได้เสี่ยงอันตรายถึงเพียงนั้น อีกทั้งผลลัพธ์ไม่เพียงกู้ชื่อเสียงของตนเองกลับคืนมา แต่ยังสามารถช่วยจี๋อวี่ไว้ได้ แม้นมิได้ขจัดภยันตรายได้โดยสิ้นเชิง ทว่าคนเช่นนาง ทันทีที่ได้มอบโอกาสให้ นางก็จะสามารถคิดกลยุทธ์เอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน

เว่ย์โหวหลุบตาลงมองดูกองเลือดที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง พลันตบที่พักแขนอย่างแรง